ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 965 ภูเขาด้านหลังกระท่อมกระบี่

เมื่อรถม้าเข้ามาใกล้พวกเขามากขึ้นเรื่อยๆ หลี่ว์ซู่ก็ยังไม่เคลื่อนไหวใดๆ และซ่งป๋อ หัวหน้ากองคาราวานก็ดีใจแล้ววิ่งไปหยุดรถม้าทันที “มีใครอยู่ในรถม้าหรือเปล่า กองคาราวานของกระผมยินดีจะขอซื้อรถม้าของท่านในราคาสูง กระผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้พวกท่านขุ่นเคือง แต่ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะมีบางอย่างเกิดขึ้นกับพวกเรา และหวังว่าท่านจะเข้าใจ ช่วยบอกกระผมด้วยว่าต้องใช้เงินเท่าใดและมีเงื่อนไขใดบ้าง กองคาราวาของกระผมจะพยายามทำอย่างสุดความสามารถ”  

 

 

ซ่งป๋อกล่าวอย่างสุภาพมากโดยไม่ได้อาศัยพลังของตนรังแกคนอื่น และไม่คิดบีบบังคับคนอื่นให้ขายรถม้าของพวกเขาเช่นกัน   

 

 

ความจริงแล้ว สิ่งแรกที่พ่อค้าเดินทางเหล่านี้เรียนรู้ก็คืออย่าทำร้ายผู้อื่นและยอมรับความผิดพลาด ดังนั้นก่อนที่จะเข้าใจสถานการณ์ พวกเขาจะต้องรักษาความสุภาพเอาไว้ก่อน ซึ่งทั้งหมดนี้มักจะนำสิ่งดีๆ เข้ามามากกว่าอันตรายเสมอ  

 

 

อย่างไรก็ตาม ทันทีที่ซ่งป๋อกล่าวจบ เขาก็รู้สึกได้ถึงพลังมหาศาลที่มาจากทางด้านหลังเมื่อมีคนดึงเขากลับไปด้วยการดึงเสื้อผ้า ซ่งป๋อรีบหันไปและเห็นเพียงว่าผู้ที่กระทำการนั้นคือ หลี่ว์ซู่ แต่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมหลี่ว์ซู่ถึงทำเช่นนี้  

 

 

และในเวลาต่อมา ก็มีกระสุนกรวยแหลมถูกยิงออกมาจากด้านใน และม่านประตูของรถม้าก็ฉีกขาดออกป็นชิ้นๆ!  

 

 

ซุนจ้งหยางและพวกของเขาหันไปมองในทันที กระสุนกรวยแหลมนี้จะไม่สามารถทำอันตรายใดๆ ให้แก่พวกเขาได้หากพวกเขายังอยู่ในสภาวะสูงสุด แต่ยามนี้มันต่างออกไป เพราะซุนจ้งหยางและพวกของเขาไร้พลังที่จะต่อสู้!  

 

 

โชคดีที่กระสุนกรวยแหลมนั้นยังคงช้ากว่าหลี่ว์ซู่หนึ่งก้าว ซ่งป๋อมองดูกระสุนกรวยที่แหลมคมผ่านไปข้างหน้าเขาแล้วคิดว่า หากหลี่ว์ซู่ช้าลงกว่านี้เพียงเล็กน้อย ศีรษะของเขาก็คงจะกลายเป็นแตงโมเน่าและสมองระเบิดเละไปเสียแล้ว !   

 

 

แต่หลี่ว์ซู่รู้ได้อย่างไรกันว่าคนในรถม้านั้นมีเจตนาไม่ดี? และใครเป็นคนส่งรถม้าคันนี้มาเล่า?  

 

 

และก่อนที่คนในรถม้าจะออกมา คนขับรถม้าก็ดึงกริชเล็กๆ ออกมาจากแขนเสื้อแล้วแทงไปที่หลี่ว์ซู่ แล้วทันใดนั้นหลี่ว์ซู่ก็เหวี่ยงร่างของซ่งป๋อไปทางด้านหลังของเขาด้วยมือข้างเดียวของเขา และคนขับรถม้าก็มองดูหลี่ว์ซู่ทันทีอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดีในขณะที่หลี่ว์ซู่คว้ากระสุนเจาะเกราะเอาไว้ด้วยมือเปล่า แล้วขว้างมันคืนกลับใส่คนขับรถม้าด้วยมือเปล่าของเขาราวกับดาวตก  

 

 

คนขับรถม้ารู้สึกสยดสยองราวกับว่าร่างกายทั้งร่างของเขาได้แตกเป็นเสี่ยงๆ และร่างกายของเขาก็ปลิวกระเด็นออกไปทางด้านหลัง กระสุนเจาะเกราะหนักไม่ได้เจาะร่างกายของเขาโดยตรง แต่มันกระแทกคนขับรถม้าจนกระเด็นไปปะทะกับรถม้าแทน  

 

 

ในเวลาเดียวกันนั้นหลี่ว์ซู่ก็ดีดนิ้วและพลังกระบี่ก็ปรากฏขึ้นระหว่างนิ้วของเขาราวกับว่ามีบางสิ่งในอากาศถูกตัดขาดจากกัน  

 

 

เวลานี้หลี่ว์ซู่อยู่เหนือขอบเขตที่จะต้องใช้กระบี่ต่อสู้แล้ว เขาสามารถใช้ทุกสิ่งเป็นกระบี่ได้ และพลังกระบี่ของเขาเหนือพลังกระบี่นับพัน  

 

 

กระบี่เป็นวัตถุภายนอกซึ่งมีพลังกระบี่เป็นรากฐาน  

 

 

คนในรถไม่กล้าที่จะสัมผัสกับพลังกระบี่โดยตรง เขาเพียงหลบหลีกจากแรงกระแทกระหว่างคนขับรถม้าและกระสุนกรวยเจาะเกราะแล้ววิ่งหนีไป เขาทำลายผนังด้านหลังของรถม้าจนพัง และจากนั้นก็วิ่งหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต เมื่อดูจากความเร็วของเขาแล้ว ก็ดูเหมือนว่าเขาน่าจะเป็นยอดฝีมือระดับสอง  

 

 

แต่แม้จะเป็นยอดฝีมือระดับสอง ก็ไร้ประโยชน์ ซุนจ้งหยางและพวกของเขาตระหนักว่ายอดฝีมือระดับนี้ได้ตัดสินใจในเสี้ยววินาทีว่าเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลี่ว์ซู่ ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะหลบหนีไปในทันที!  

 

 

บัดนี้พวกเขาล้วนมองไปที่หลี่ว์ซู่แล้วคิดว่า นี่คือผู้บำเพ็ญน้อยที่พวกเขาดูถูกจริงๆ หรือไม่?  

 

 

ซุนจ้งหยางและพวกของเขาต่างพากันมองหน้ากันและกันอย่างเงียบๆ แม้แต่อัจฉริยะระดับสองในหมู่พวกเขาที่นี่ก็อาจจะไม่สามารถเอาชนะเล่ออี๋หลี่ว์ผู้นี้ได้! พลังกระบี่นี้มีพลังรุนแรงที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ยิ่งราวกับเป็นพลังกระบี่ที่ไร้เทียมทาน!   

 

 

เขาสามารถเรียกพลังกระบี่ออกมาอย่างง่ายดายได้ตามต้องการเช่นนี้ นี่คือระดับสูงสุด! แล้วเด็กคนนี้เรียนรู้มาจากที่ใดและเขาเป็นยอดฝีมือแบบใดกัน?  

 

 

“เคยได้ยินจากผู้อาวุโสในตระกูลกล่าวถึงบ้างหรือไม่” ซุนจ้งหยางกล่าวอย่างสงบนิ่ง “ปรมาจารย์ในกระท่อมกระบี่จะสามารถเปลี่ยนทุกสรรพสิ่งให้เป็นกระบี่ได้ และเขาจะสามารถดึงพลังกระบี่และกระบี่แสงได้ตามต้องการด้วยมือของเขาเองอย่างง่ายดาย?”  

 

 

“เดี๋ยวนะ นายกำลังจะบอกว่า เขามาจากกระท่อมกระบี่หรือ? แต่ทำไมกระท่อมกระบี่ถึงมีศิษย์ที่เยาว์วัยได้ถึงขนาดนี้?” มีคนถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ  

 

 

“รู้แค่ว่า กระท่อมกระบี่จะเลือกคนจากกองทัพทุกปี แต่ลืมไปว่า กระท่อมกระบี่นั้นมีภูเขาอยู่ด้านหลังด้วย!” ซุนจ้งหยางกล่าวอย่างสงบ  

 

 

“เดี๋ยวก่อน ภูเขาด้านหลังนั่นมีอยู่ในตำนานเท่านั้นนี่” โมเสี่ยวหยาขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “กระท่อมกระบี่อยู่ในเมืองหลวง และไม่มีภูเขาใดอยู่ในเมืองหลวง! แล้วมีใครเคยเห็นภูเขาด้านหลังในตำนานนั้นบ้างล่ะ?”  

 

 

“มันมีอยู่” ซุนจ้งหยางกล่าวอย่างหดหู่ “ท่านพ่อของฉันบอกว่า ราชาแห่งทวยเทพในโลกนี้คือฟ้า เขาเป็นเสมือนเทพ เขาเป็นตัวแทนของผู้คนในโลกนี้ แต่ย้อนกลับไป เมื่อเขาพิชิตโลก เขายังไม่ได้ทรงพลังมากนัก และต้องขอบคุณความช่วยเหลือของกระท่อมกระบี่”  

 

 

“ทุกคนรู้เรื่องนี้หรือ?” โมเสี่ยวหยาถามอย่างสับสน “แล้วเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับภูเขาด้านหลังล่ะ?”  

 

 

“พวกนายอาจจะไม่รู้หรอกว่าจริงๆ แล้ว กระท่อมกระบี่มีภูเขาด้านหลัง และคนที่ออกมาจากภูเขาด้านหลังก็คือคนที่อยู่บนโลกใบนี้เพื่อราชาแห่งทวยเทพ จริงๆ ทหารมังกรจักรพรรดิมักจะอยู่ในหมู่รัฐบาลและประชาชนเสมอ แต่ผู้คนจากภูเขาด้านหลังนั้นมีอยู่ทั่วโลก พวกเขาไม่ได้เข้าไปโดยผ่านการสอบประเมิน แต่พวกเขาจะถูกพามาเมื่อถือกำเนิดขึ้น เมื่อยามที่ฉันเพิ่งเกิด ท่านพ่อของฉันต้องการส่งฉันไปที่ภูเขาด้านหลัง แต่ฉันถูกปฏิเสธ”  

 

 

“เคยเห็นภูเขาด้านหลังว่าเป็นอย่างไรบ้างไหม?” มีคนถามขึ้นมาด้วยความสงสัย  

 

 

“ไม่ ฉันไม่เคยเห็นมัน แต่เคยได้ยินว่ามีคนมาจากภูเขาด้านหลัง ไม่แน่ว่าพวกนายอาจจะเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนด้วยเช่นกัน” ซุนจ้งหยางกล่าว “หลงเชวี่ย”   

 

 

โม่เสี่ยวหยาตกตะลึง “นายหมายถึง หลงเชวี่ยหรือ?”   

 

 

“ใช่” ซุนจ้งหยางถอนหายใจ “ยังจำการต่อสู้เมื่อสามปีที่แล้วได้ไหม? มีบางคนบอกว่าพ่อค้าชื่อหลงเชวี่ยเอาชนะผู้อุปถัมภ์ที่ทรงพลังของจอมทัพสวรรค์อุดร ในเวลานั้น พวกนายไม่เชื่อ แต่ฉันเชื่อ”  

 

 

“แล้วนายหมายความว่า เล่ออี๋หลี่ว์คนนี้ก็เป็นคนที่มาจากภูเขาด้านหลังด้วยหรือ?” โม่เสี่ยวหยางงงวยเล็กน้อย “มีคนละโมบเช่นนี้อยู่ที่ภูเขาด้านหลังของกระท่อมกระบี่ด้วยหรือ?”  

 

 

“แม้ว่าฉันจะยังคิดไม่ออกเหมือนกัน” ซุนจ้งหยางถอนหายใจด้วยอารมณ์ “แต่เธอคิดดูสิว่าทักษะกระบี่ระดับนี้จะมาจากที่ไหนได้อีก ยกเว้นที่นั่น? ฉันขอถามเธอ คิดว่าเขาอายุไม่เกินสิบแปดปี แต่มีใครในหมู่พวกเราบ้างที่มีพละกำลังเช่นนี้เมื่ออายุสิบแปดปี? แล้วมีใครที่สามารถฆ่าคนอย่างนิ่งสงบได้อย่างเขา? ฉันเพิ่งฆ่าคนเป็นครั้งแรกเมื่ออายุสิบเก้าปี ฉันยังอาเจียนไปถึงสามวันสามคืนติดต่อกัน!”  

 

 

โม่เสี่ยวหยาคิดไม่ออก จู่ๆ หนุ่มน้อยที่เธอรังเกียจเหยียดหยามจะกลับกลายเป็นคนที่อาจมาจากภูเขาด้านหลังกระท่อมกระบี่ได้อย่างไรกัน?   

 

 

หรือแม้หลี่ว์ซู่จะไม่ใช่คนที่มาจากภูเขาด้านหลังของกระท่อมกระบี่ เธอก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมหลี่ว์ซู่ถึงแข็งแกร่งอย่างที่ซุนจ้งหยางกล่าว พลังกระบี่ของหลี่ว์ซู่นั้นทรงพลังรุนแรงมาก แม้กระทั่งว่ายอดฝีมือระดับหนึ่งก็อาจบาดเจ็บได้ หากพวกเขาไม่ระมัดระวัง  

 

 

ในบรรดายอดฝีมือระดับสอง โม่เสี่ยวหยายังไม่เคยเห็นคนใดที่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของหลี่ว์ซู่ได้  

 

 

ชั่วเวลานั้นหลี่ว์ซู่ก็ไล่ตามยอดฝีมือระดับสองที่กำลังหลบหนีเพื่อเอาชีวิตรอดได้ทัน เขาเรียกพลังกระบี่จากปลายนิ้วของเขาและพุ่งพลังกระบี่เข้าไปที่แผ่นหลังแล้วพุ่งเจาะไปที่หัวใจของคู่ต่อสู้โดยตรงจนทำให้คนผู้นั้นตายอย่างฉับพลันทันที  

 

 

ขณะที่ซุนจ้งหยางและพวกของเขากำลังครุ่นคิดอย่างเงียบๆ พวกเขาก็ได้ยินหลี่ว์ซู่แสร้งร้องอุทานราวกับว่าเขาประหลาดใจ “โอ๊ะ? แม้ด้านหลังของรถม้าคันนี้จะแตก แต่เราก็สามารถซ่อมได้ พวกคุณยังต้องการซื้อมันหรือไม่?”  

 

 

ซ่งป๋อรู้สึกอนาถใจ “เห็นได้ชัดว่านี่เป็นรถม้าที่ไร้เจ้าของแล้ว”  

 

 

ทันใดนั้นหลี่ว์ซู่จึงหยิบกระสุนกรวยเจาะเกราะขึ้นมาจากบนพื้นแล้วชี้ไปที่ซ่งป๋อพลางกล่าวว่า “ไหนลองพูดใหม่ซิ”  

 

 

“มันเป็นรถม้าของนาย ของนาย ของนาย… “  

 

 

“ได้แต้มอารมณ์จากซ่งป๋อ+999!”   

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

Status: Ongoing
หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset