ถ้าจะทิ้งเงินไปเฉยๆ คงไม่เข้าท่าเท่าไหร่ หลี่ว์ซู่จึงเก็บเงินเข้ากระเป๋าแล้วถามออกไปด้วยความสงสัย
“พี่ชาย คนพวกนี้เพิ่งเคยมาที่นี่กันครั้งแรกเหรอ”
“ก็เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกนี่แหละ แต่คนจำพวกนี้น่ะเห็นบ่อยแล้ว คงจะมาจากตระกูลนั้นนั่นแหละ เราอาจจะต้องย้ายกันอีกแล้ว” เฉินป๋อคังตอบขณะจุดบุหรี่ขึ้นสูบ
“ทำไมต้องย้ายล่ะ ไม่ดีใจกันเหรอที่คนรวยๆ มาที่นี่” หลี่ว์ซู่งง
“เหอะๆ ดูแล้วนายคงไม่ได้ออกไปข้างนอกเท่าไหร่สินะ พวกเรานำเข้าศิลาวิญญาณจากต่างประเทศมาขายเอากำไร แต่พอพวกคนพวกนี้มาเราก็ขายกันยากขึ้น พวกนี้ไม่จริงใจเรื่องการซื้อศิลาวิญญาณหรอก” เฉินป๋อคังตอบอย่างแฝงความนัย
แล้วหลี่ว์ซู่ก็เข้าใจ ว่ากำไรที่พวกผู้บำเพ็ญพวกนี้ได้จากการขายศิลาวิญญาณนั้นก็คือค่าเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตนเอง พวกเขาไม่สามารถเดินตามเส้นทางปกติได้ แต่ถึงยังไงคนพวกนี้ก็เป็นผู้บำเพ็ญอยู่ดี พวกเขาสามารถข้ามภูเขาไปขนศิลามาจากต่างประเทศได้ ส่วนกำไรที่ได้จากการขายก็เอามาดูแลชีวิตตัวเอง
แต่หลี่ว์ซู่แอบสงสัยเล็กน้อย ไม่ใช่ว่าพวกคนรวยพวกนี้มากว้านซื้อศิลาไปเหรอ ถ้าเป็นอย่างนั้นพวกผู้บำเพ็ญที่หลบซ่อนตัวเหล่านี้ก็ต้องมีเงินไหลเข้ามาและอยู่กันอย่างสบายขึ้นสิ มีอุปสงค์ก็ต้องมีอุปทาน
เฉินป๋อคังหัวเราะ “นายพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเซี่ยโจวใช่ไหม ฉันก็อยู่ที่นั่นเหมือนกัน จริงอยู่ที่ศิลาเม็ดหนึ่งขายได้สามแสนหยวน แต่ตระกูลนั้นน่ะเล่นแง่ พวกเขาจะเพิ่มราคาซื้อสินค้าขึ้นมาแล้วบอกว่าจะช่วยเรา หลังจากนั้นพวกเขาก็ใช้อำนาจที่มีควบคุมตลาดมืดทั้งหมด ทำธุรกิจกับคนพวกนี้ก็ต้องจ่ายเงินค่าส่วนแบ่งให้ด้วย ตอนแรกก็ขายไม่ค่อยได้กำไรอยู่แล้ว ยังจะมาขอค่านายหน้าเพิ่มอีกสามสิบเปอร์เซ็นต์ นี่มันบีบให้ออกไปขายที่อื่นชัดๆ ฉันก็เลยย้ายมาเมืองลั่วนี่แหละ แต่ดูเหมือนว่าพวกมันก็ยังจับตาดูที่นี่ด้วย”
นั่นแหละคือสิ่งที่เกิดขึ้น พวกตระกูลใหญ่นั่นก็เลยหันมาสนใจธุรกิจตลาดมืดใต้ดินนี้แทนเพราะไปแทรกแซงเครือข่ายฟ้าดินไม่สำเร็จ การที่น่าหลานเชวี่ยกับเกาชังมาที่นี่ก็หมายความว่ามีพวกตระกูลอื่นๆ อยากเข้ามาควบคุมตลาดมืดที่เมืองลั่วนี่เหมือนกัน แบบเดียวกับที่ตระกูลที่คุมตลาดมืดในเซี่ยโจวทำ
ขณะเดียวกัน วิทยาลัยผู้บำเพ็ญเจ็ดแห่งจากทั่วประเทศก็มารวมตัวกันเริ่มฝึกฝน พวกเขากลัวกันว่าในอนาคตพวกผู้บำเพ็ญที่หลบซ่อนตัวจะค่อยๆ มารวมตัวกันบริเวณนี้ แค่นี้การมีอยู่ของตลาดมืดในพื้นที่นี้ก็เยอะกว่าเมืองอื่นๆ อย่างก้าวกระโดดแล้ว
ตลาดมืดจะต้องคำนึงถึงการไหลเวียนของสินค้าเป็นอันดับแรก นอกจากเจ็ดวิทยาลัยผู้บำเพ็ญแล้ว ที่อื่นๆ มีผู้บำเพ็ญมากกว่านี้อีกไหม คำตอบคือไม่
การที่ผู้บำเพ็ญจะเลือกไปอยู่ที่เมืองใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่ามีความเข้มข้นของพลังจิตวิญญาณในเมืองนั้นมากแค่ไหน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องฝึกฝนตัวเองร่วมด้วย ขนาดเครือข่ายฟ้าดินเองยังต้องคำนึงถึงตำแหน่งที่ตั้งก่อนจะสร้างโรงเรียน โดยบริเวณโรงเรียนจะต้องมีความเข้มข้นของพลังจิตวิญญาณมากกว่าที่ไหนๆ ในเมืองนั้น
ผู้บัญชาการทหารหลายๆ คนที่มาจากตระกูลใหญ่ต่างก็แก่งแย่งที่ในเมืองลั่วกันทั้งนั้น
เกาชังและน่าหลานเชวี่ยเดินเข้ามา พวกเขาไม่สนใจอุปกรณ์หรือสินค้าใดทั้งนั้น แต่กลับหยุดฝีเท้าลงเมื่อเห็นศิลาวิญญาณวางขาย
“ฉันให้สามแสนสองร้อยหยวนต่อหนึ่งเม็ด และขอเหมาหมดนั่น”
คนขายแผงลอยหน้าเกาชังเอ่ยอย่างชื่นใจ “นายครับ ผมมีแค่สองเม็ดเท่านั้น แต่กว่าจะได้มาก็ยากลำบากไม่น้อย เกือบโดนเครือข่ายฟ้าดินจับได้แล้ว…”
“งั้นสามแสนสามร้อยหยวน” น่าหลานเชวี่ยเริ่มรำคาญ เธอดูไม่ได้อยากมาต่อราคา เธอแค่อยากกดราคาคนขาย
หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าผู้หญิงท่าทีตรงไปตรงมาเบื้องหน้าเองก็ดูเคี้ยวยากเหมือนกัน…
นอกจากนี้เธอยังพกเงินมาเยอะด้วย พอตกลงราคากันได้แล้ว บอดี้การ์ดข้างหลังก็เอาคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กออกมาจัดแจงโอนเงินให้คนขาย
หลี่ว์ซู่มั่นใจยิ่งกว่าเดิมว่าน่าหลานเชวี่ยคนนี้คือหัวหน้าที่แท้จริงของกลุ่ม เพราะหากไม่ใช่แล้วจะสามารถกำหนดราคาแบบนี้ได้ยังไง
ส่วนเกาชังก็คงเป็นนายหน้าให้กับตระกูลของน่าหลานเชวี่ย แต่หลี่ว์ซู่ก็ยังไม่แน่ใจว่าทำไมน่าหลานเชวี่ยถึงลงมาที่ตลาดมืดเพื่อซื้อสำหรับช่วยฝึกฝนด้วยตัวเองแบบนี้
พอพวกคนขายได้ยินราคาที่น่าหลานเชวี่ยเสนอก็รีบกรูกันเข้ามา พวกเขามีศิลากันไม่มากหรอก แค่คนละหนึ่งถึงสองเม็ดเท่านั้น ที่มีมากที่สุดก็คือห้าเม็ด แต่เกาชังก็ไม่ได้ปฏิเสธคนไหนเลย พวกเขากว้านซื้อศิลาทั้งหมดที่คนขายมี
คนขายบางคนก็พยายามจะกำหนดราคาของเอง ทว่าเกาชังไม่สนใจพวกเขาเลยสักนิด ถ้าน่าหลานเชวี่ยไม่ได้พูดอะไร เขาก็จะไม่เพิ่มราคาให้แม้แต่สตางค์เดียว
น่าหลานเชวี่ยมองไปที่หวังเจ๋อแล้วหัวเราะ “องค์ท่านของแกไปไหนแล้วเสียล่ะ ไม่เห็นหน้าเลย”
หลี่ว์ซู่ตาเป็นประกายทันที เขาก็อยากรู้ว่าองค์ท่านเป็นใครกันแน่ แต่เขารู้ว่าการที่น่าหลานเชวี่ยอยากพบองค์ท่านนี่คงไม่ใช่เรื่องธรรมดาๆ แน่
เธอกับตระกูลของเธอมาเพื่อควบคุมตลาดมืด ถ้าองค์ท่านคนนี้ไม่สามารถต่อกกับอำนาจของตระกูลใหญ่ได้ เขาก็คงถูกควบคุมด้วยแน่นอน หรือไม่ก็ถูกกำจัด… แบบไหนก็เป็นไปได้ทั้งนั้น
“ท่านบอกว่าท่านปวดท้องน่ะครับ” หวังเจ๋อหัวเราะอย่างประจบสอพลอ
น่าหลานเชวี่ยและเกาชังมองหน้ากัน พวกเขาไม่คิดว่าคนที่เรียกได้ว่าเป็นผู้คุมตลาดมืดจะไม่ยอมแม้แต่จะออกมาให้เห็นหน้า นี่ยิ่งกว่ากลัวกันเสียอีก เขาคิดว่าตระกูลนี้จะยอมปล่อยไป ไม่ทำอะไรเลยเหรอถ้าเจ้าของไม่ออกมาให้เห็นแบบนี้
ตระกูลของเธอเกรงกลัวเครือข่ายฟ้าดินมาตลอดและไม่อยากยื่นมือเข้าไปยุ่งด้วย พวกเขาถึงได้ทุ่มเงินปิดสถานที่ให้ปลอดคนภายนอก จะได้ไม่มีเสี้ยนหนามให้รำคาญใจ
ตระกูลพวกนี้มักจะใช้ตลาดมืดเป็นที่ทำเงิน แต่เครือข่ายฟ้าดินไม่ไว้หน้าตระกูลเหล่านี้เลย เครือข่ายฟ้าดินกำจัดตลาดมืดทิ้งทุกครั้งหลังจากมีตระกูลใดเข้าไปคุม
พวกเครือข่ายฟ้าดินชัดเจนในอุดมการณ์ทีเดียว ใครก็ตามที่คิดว่าอำนาจจะชนะทุกสิ่ง เครือข่ายฟ้าดินก็จะแสดงอำนาจและความแข็งแกร่งนั้นกลับไปเช่นกัน
ครั้งนี้ตระกูลของเธอก็ค่อนข้างตรงไปตรงมา แต่ใครจะไปสู้เนี่ยถิงได้
ทว่าสำหรับองค์ท่านคนนี้คงไม่เข้าใจว่าต่อให้คนตายไปคนสองคนก็ทำลายความมั่นคงอะไรไม่ได้หรอก
หากตลาดมืดแหกกฎแล้วสร้างกฎขึ้นมาใหม่ นั่นก็เหมือนกับงูสู้กับมังกรนั่นแหละ
ทันใดนั้นก็มีคนร่างใหญ่เดินเข้ามาในหลุมหลบระเบิดพลางดึงกางเกงขึ้น เขาสวมแว่นตากันแดดขนาดใหญ่ไว้บนหน้า “ฮ่าๆๆๆ คงจะเสียมารยาทน่าดูถ้าฉันไม่ได้มารับแขกด้วยตัวเอง สนใจของชิ้นำกนเป็นพิเศษไหมครับ”
น่าหลานเชวี่ยกับเกาชังมองหน้ากัน พวกเขาไม่คาดคิดว่าองค์ท่านจะมาปรากฏตัวเอาตอนนี้ได้
หลี่ว์ซู่เองก็สั่นอยู่ลึกๆ เหมือนกัน ให้ตายเถอะ! ถึงจะใส่แว่นกันแดดปิดหน้าแต่รูปร่างท่าทางแบบนี้หลี่ว์ซู่คุ้นเคยดี!
ราชันฟ้าหลีอีเสี้ยวหายหน้าหายตาไปช่วงนี้ โผล่มาอีกทีก็มาเป็นองค์ท่านในตลาดมืดใต้ดินแบบนี้เนี่ยนะ! ราชันฟ้าผู้เป็นที่เล่าขานมาเปิดตลาดมืดเอง… อะไรฟะเนี่ย!
ที่หวังเจ๋อพูดว่าองค์ท่านของเขามีเส้นสายในเครือข่ายฟ้าดินน่ะไม่ใช่แล้ว องค์ท่านของแกเป็นราชันฟ้าเองเลยโว้ย!
ฮ่าๆ หลี่ว์ซู่อยากรู้ว่าพอตระกูลใหญ่เจอราชันฟ้าหลีอีเสี้ยวตัวจริงเสียงจริงขึ้นมาจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปกันนะ…