ตอนที่ 548 ผ่านความเป็นความตายกันมา
แม้หลี่ว์ซู่จะออกจากตลาดมืดนี่แล้ว แต่เรื่องของเขาก็กลายเป็นตำนานที่ผู้คนพูดถึง
ที่จริงหลี่ว์ซู่ หลี่อีเสี้ยวและน่าหลานเชวี่ยรู้สถานการณ์ดีที่สุด หลี่ว์ซู่แสดงความเมตตาระหว่างการโจมตีด้วยกระบี่แสงของเขา แต่เขาตัวคนเดียวคงไม่สามารถเอาชีวิตรอดจากการร่วมมือโจมตีของหลี่อีเสี้ยวและน่าหลานเชวี่ยได้ ถึงอย่างนั้นทั้งสองก็ต้องยอมรับว่าหลี่ว์ซู่มีความสามารถที่จะโค่นพวกเขาทั้งสองลงได้ถ้าเขาตั้งใจจริงๆ เพราะหลี่ว์ซู่มีทั้งกระบี่แสงและกระบี่บินที่ได้รับตกทอดมาจากหอเกียรติกระบี่
แต่ผู้ชมมองไม่เห็นแบบนั้น พวกเขาเห็นว่าหลี่ว์ซู่สามารถหยุดพลังหมัดของหลี่อีเสี้ยวและการโจมตีของน่าหลานเชวี่ยได้ด้วยการใช้กระบี่แสง เขาดูจะฟัดกับยอดฝีมือทั้งสองได้อย่างสบายๆ เก่งมาจากไหนเนี่ย!
เขาดูไม่ใช่คนที่มาจากเครือข่ายฟ้าดินด้วย ไม่งั้นจะไปประมือกับหลี่อีเสี้ยวทำไม แต่มีผู้บำเพ็ญลับที่หลบซ่อนตัวแล้วแข็งแกร่งขนาดนี้ด้วยเหรอ หวังเจ๋อกลัวจนตัวสั่นเมื่อคิดว่าเขาเคยปฏิบัติตัวกับหลี่ว์ซู่อย่างไร แต่หลังจากนั้นก็ตามมาด้วยความรู้สึกชื่นชมและศรัทธา
เขาจะต้องเป็นฮีโร่ในหมู่ผู้บำเพ็ญลับที่ยืนหยัดสู้กับราชันฟ้าได้แน่นอน เขาต้องเป็นยอดฝีมือจากตระกูลใหญ่ชัวร์!
ในขณะที่กำลังชื่นชมหลี่ว์ซู่อยู่นั้น ผู้ชมหลายๆ คนก็รีบหนีออกไปข้างนอก เหลือเพียงคู่ต่อสู้ที่มีชะตาต่อกันทิ้งไว้สองคนเพื่อสะสางเรื่องให้จบ
หลี่อีเสี้ยวไม่ใช่คนทึ่ม แม้ไม่ใช่คนอ่อนไหวกับความรักโรแมนติกและความรู้สึกต่างๆ แต่เขาก็รู้ตัวว่าเขาฆ่าน่าหลานเชวี่ยไม่ลง
เพราะฉะนั้นหนทางทีดีที่สุดที่จะหลุดพ้นจากการปะทะกันนี้ก็คือถอยหนี
ในขณะที่สู้กันอยู่ หลี่อีเสี้ยวก็เรียกตราพยัคฆ์มาเสียจนดูเหมือนว่าเขาเตรียมพร้อมจะจู่โจมน่าหลานเชวี่ยได้ทุกเมื่อ น่าหลานเชวี่ยเห็นแบบนั้นก็ตกใจแล้วเปลี่ยนการต่อสู้เป็นแบบเป็นตั้งรับเพื่อรับการโจมตี แล้วทันใดนั้นเองหลี่อีเสี้ยวก็รีบวิ่งออกไป แล้วราชันฟ้าก็สูญหายไปด้วยประการฉะนี้แหละ!
“ฉันไม่ได้กลัวเธอหรอกนะ ฉันเป็นถึงราชันฟ้า ไม่อยากเสียเวลาไปสู้กับเธอให้เปลืองแรงหรอก!” หลี่อีเสี้ยวพยายามรักษาหน้าตัวเองไว้
พอมาถึงตอนนี้ น่าหลานเชวี่ยก็เพิ่งรู้สึกตัว ที่จริงแล้วมันก็ไม่เป็นไรหรอกหากเธออยากสู้กับหลี่อีเสี้ยวให้รู้ดำรู้แดง แต่หากมีใครคิดจะใช้ประโยชน์จากการปะทะกันของคนทั้งคู่ล่ะ ผู้ใช้กระบี่คนเมื่อกี้เป็นใครกันแน่
ตอนนี้ก็ไม่มีใครรู้ว่าเจ้าหมอนั่นเป็นมิตรหรือศัตรู ถึงแม้ว่าหมอนั่นจะออมมือไว้ก็เถอะ อาจเป็นกับดักลวงก็ได้
ในโลกนี้น่ะเชื่อใครจากภายนอกไม่ได้ทั้งนั้น
…
วันต่อมาหลี่ว์ซู่ไปโรงเรียนปกติ เขารับรู้ได้ถึงการซุบซิบที่เผ็ดร้อนทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไปในห้องเรียน เป็นเรื่องเหตุการณ์ที่ตลาดมืดเมื่อวานนี่เอง
เมื่อพูดกันปากต่อปาก ใครก็เก็บความจริงไว้ไม่อยู่ เนื่องจากมีผู้บำเพ็ญลับอยู่ในเหตุการณ์กันมากมาย ทำให้ไม่สามารถเก็บเป็นความลับไว้อีกแล้ว มีคนถึงกับไปโพสต์ในบอร์ดกระทู้ของมูลนิธิด้วยซ้ำ
ด้วยเหตุนี้เรื่องจึงแพร่ออกไปว่ามีผู้บำเพ็ญระดับ B สามคนสู้กันที่หลุมหลบระเบิดในเมืองลั่ว คนแรกคือราชันฟ้าหลี่อีเสี้ยว อีกคนคือน่าหลานเชวี่ย ลูกสาวคนโตของกลุ่มน่าหลาน อายุยี่สิบเก้าปี และคนสุดท้ายยังเป็นปริศนาอยู่ ว่ากันว่าเขาต่อกรกับสองคนก่อนหน้าได้สบายๆ …
แต่ไม่มีใครพูดถึงว่าที่นั่นเป็นตลาดมืด บอกเพียงแค่ว่าเป็นหลุมหลบระเบิดเท่านั้น
ผู้เขียนยังกล่าวชื่นชมบุคคลปริศนาคนนั้นในโพสต์อีกด้วยว่าพลังกระบี่นั้นเปล่งแสงดูแวบวาบอย่างกับฉากในหนัง…
และที่ยิ่งไปกว่านั้น ผู้คนเองก็สนใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ระหว่างราชันฟ้าหลี่กับน่าหลานเชวี่ยเป็นอย่างมาก เล่ากันว่าหลี่อีเสี้ยวไปหลอกผู้หญิงมาแล้วสุดท้ายก็ทิ้งเธอไป แต่อีกข่าวหนึ่งก็ว่าแม่ของน่าหลานเชวี่ยไปปรึกษาปรมาจารย์ที่ภูเขามังกรพยัคฆ์เพื่อดูดวงชะตาของทั้งสองคน แล้วผลดวงก็ออกมาว่าดวงจะเป็นกาลกิณีต่อกัน …
การให้ความสำคัญกับผู้บำเพ็ญในสมัยนี้ก็เหมือนกับผู้บำเพ็ญเป็นดาราคนดัง สมัยก่อนที่ยังไม่เกิดปะทุพลังขึ้น วัยรุ่นต่างก็ซุบซิบกันเรื่องดารา
ตอนนี้ก็แค่เปลี่ยนมาซุบซิบกันเรื่องผู้บำเพ็ญแทน แม้แต่คนธรรมดาๆ ที่อยากเข้ามาในโลกของการฝึกฝนนี้ก็ยังซุบซิบในเรื่องนี้ด้วย
ในตอนนี้ราชันฟ้าหลี่ที่หายตัวไปนานก็กลับมาที่โรงเรียนแล้ว ตอนที่หลี่ว์ซู่เดินผ่านห้องครูใหญ่ เขาเหลือบไปเห็นหลี่อีเสี้ยวกัดปากกาตัวเองอยู่ หน้าตาดูกังวลไปหมด แต่พอหลี่อีเสี้ยวเห็นหน้าหลี่ว์ซู่ก็ทำหน้าสดใสขึ้นมา
“หลี่ว์ซู่ นายรู้วิธีเขียนจดหมายสำนึกผิดไหม”
“ผมเป็นเด็กดีมาตลอดตั้งแต่เด็กๆ ก็เลยไม่เคยเขียนจดหมายสำนึกผิดครับ” หลี่ว์ซู่ทำหน้าขรึม
เขาเดินเข้าไปในห้องพักครูใหญ่แล้วเหลือบดูจดหมาย มีคำไม่กี่คำเขียนไว้ในจดหมายนั้น หัวข้อเรื่องเขียนว่า ‘จดหมายสำนึกผิด’ ส่วนข้อความต่อจากนั้นเขียนไว้ว่า ‘ราชันฟ้าเนี่ยถิงที่เคารพรัก…’
“แน่ใจเหรอว่าเขียนถึงราชันฟ้าเนี่ยถิงแบบนี้ดีแล้ว…” หลี่ว์ซู่แทบลมจับ
“ก็ในอินเทอร์เน็ตบอกไว้แบบนั้นนี่นา” หลี่อีเสี้ยวตอบ รู้สึกสับสนกว่าเก่า
“เหรอครับ… งั้นก็โชคดีนะ” หลี่ว์ซู่ตอบเสียงเรียบแล้วเตรียมตัวจะหันหลังกลับ
“คืนก่อนเป็นฝีมือนายใช่ไหม” อยู่ๆ หลี่อีเสี้ยวก็ถามไล่หลังมา
“ใช่ ผมเอง” หลี่ว์ซู่หันหลังกลับไปมองหน้าหลี่อีเสี้ยวแล้วหัวเราะใส่
[ได้แต้มอารมณ์จากหลี่อีเสี้ยว +666! ]
“สงสัยตั้งแต่เห็นว่าขายกุยช่ายแล้ว เจ้าเด็กเวรนี่! บอกมานะว่าไปฝึกจนแข็งแกร่งแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่!” หลี่อีเสี้ยวบ่นด้วยความรู้สึกว่าไม่ยุติธรรม “ถ้าเป็นนายจริงๆ ทำไมไม่มาช่วยฉันสู้ยัยบ้านั่นล่ะ”
ที่หลี่ว์ซู่ตอบไปแบบนั้นก็เพราะเขาคิดว่าหลี่อีเสี้ยวฉลาดพอที่จะรู้ความจริง แต่ผู้ชายคนนี้ก็บ้าบิ่นจริงๆ เลยแฮะ
เกาเสินอิ่นไม่ใช่คนธรรมดาๆ ที่ไม่มีใครรู้จัก ซึ่งก็ทำให้คนไม่เชื่อมโยงว่าเขาเกี่ยวข้องอะไรกับหลี่เสียนอี ถึงแม้หลี่อีเสี้ยวจะไม่รู้ว่าหลี่ว์ซู่เคยฝึกกระบี่กับปู่เสียนอีมาก่อน แต่เขาก็รู้ดีว่าหลี่ว์ซู่มีหน้ากากกระดูกที่สามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์ได้ จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะโยงเรื่องไปว่าเกี่ยวกับหลี่ว์ซู่ทั้งที่ไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด
“แล้วทำไมผมต้องเข้าไปยุ่งเรื่องถ่านไฟเก่าของคุณด้วยล่ะ” หลี่ว์ซู่ตอบยิ้มๆ “ว่าแต่เกิดอะไรขึ้นกับคุณทั้งสองคนน่ะ”
“พูดถึงเรื่องนี้ เราผ่านความเป็นความตายด้วยกันมาหลายรอบเลยนะ” หลี่อีเสี้ยวรำพึงด้วยความเศร้า
“งั้นก็ต้องเคยสนิทกันมากๆ เลยสิ” หลี่ว์ซู่งุนงง
“เปล่า ที่ฉันพยายามจะบอกก็คือเราต่อสู้กันมามาก แล้วแต่ละครั้งฉันกับยัยนั่นก็เกือบได้ไปปรโลก” หลี่อีเสี้ยวตอบ
“???”
งั้นหลี่อีเสี้ยวก็เข้าใจความหมายของการ ‘ผ่านความเป็นความตายด้วยกันมา’ แบบผิดๆ แล้วล่ะ!
“แล้วไปเป็นองค์ท่านที่ตลาดมืดได้ยังไงเนี่ย ราชันฟ้าเนี่ยอนุญาตแล้วเหรอ” หลี่ว์ซู่เปลี่ยนเรื่อง
“ก็เขียนจดหมายสำนึกผิดอยู่นี่ไง” หลี่อีเสี้ยวถอนหายใจแบบเครียดๆ แต่สีหน้าของเขาดีขึ้นมาทันที
“คิดว่าชื่อ ‘องค์ท่าน’ เป็นยังไงบ้างน่ะ ฉันไปอ่านเจอว่าพระมหากัสสปะ ‘ยิ้ม’ ให้กับพระพุทธเจ้าที่กำลังถือดอกไม้ไว้ในมือ ฉันเลยไปหาข้อมูลเพิ่มก็เจออีกเรื่องที่ว่ามีผู้ชายคนหนึ่งที่เข้าใจความสุขสงบอย่างถ่องแท้ แล้วฉันก็คิดถึงชื่อของฉันเอง พระพุทธเจ้ากับฉันต้องมีชะตาต่อกันแน่ๆ!”
หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าเขาเข้าไม่ถึงตรรกะนี้เท่าไหร่
“พระพุทธเจ้ารู้ไหมเนี่ยว่าคุณเอาชื่อมาใช้ ท่านจะยอมเหรอครับ”