ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 553

ตอนที่ 553 ฮีโร่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋

 

 

พวกหัวกะทิถูกเนี่ยถิงส่งออกไปปฏิบัติภารกิจกันหมด เลยไม่มีใครในค่ายฝึกทหารที่แข็งแกร่งกว่าเสี่ยวอวี๋อีกแล้ว

 

 

เธอไม่ได้รุนแรงอะไรเลยด้วยซ้ำ หลี่ว์ซู่เคยพูดเรื่องนี้กับเธอแล้ว ถ้าเกิดการต่อสู้กันในระหว่างหมู่นักเรียนด้วยกันเอง เธอก็ห้ามไปทำร้ายพวกนั้นหรือฆ่าพวกนั้นทิ้ง เธอจะต้องกำหนดขีดจำกัดพลังของเธอให้ดี

 

 

เพราะฉะนั้นหลังจากที่เด็กผู้หญิงพวกนั้นได้สติกัน พวกเธอจึงไม่ได้บาดเจ็บอะไรกันมาก หลังจากพวกเธอกลับจากห้องพยาบาลแล้วก็พบเสี่ยวอวี๋กำลังนั่งส่งข้อความหาหลี่ว์ซู่อยู่ที่ปลายเตียง เธอหัวเราะเสียงเย็น เด็กผู้หญิงพวกนั้นได้แต่กระซิบกระซาบกันจากมุมห้อง เสี่ยวอวี๋ไม่อยากรู้หรอกว่าพวกเธอคุยเรื่องอะไรกันอยู่

 

 

“ก็ยังโน้มน้าวใจให้คนทั้งหมดเชื่อฟังไม่ได้แฮะ” เสี่ยวอวี๋ถอนหายใจออกมาขณะเหลือบมองไปที่พวกเธอ

 

 

ตอนแรกเธอคิดว่าการทำให้ทุกคนฟังเธอเป็นเรื่องง่ายๆ สงสัยจะคิดน้อยไปหน่อย แต่ถ้าทำมันไม่ได้ก็คงไม่ได้เป็นราชันฟ้าหรอก!

 

 

ในความจริงแล้ว เด็กผู้หญิงหลายๆ คนใจแคบกันมาก พวกเด็กนักเรียนหญิงห้องเต้าหยวนที่เสี่ยวอวี๋สู้ด้วยก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน

 

 

ผู้คนก็มักจะเข้าร่วมกองกำลังกันง่ายๆ ถ้าพวกเขาขยันกันพอ พวกผู้เด็กหญิงคุยกันขณะรอให้เสี่ยวอวี๋หลับ จากนั้นก็ค่อยมาทำร้ายเธออีก เสี่ยวอวี๋คอยสะกดอารมณ์ไว้ไม่ให้ระเบิดพลังจนทำให้เด็กนักเรียนหญิงพวกนี้ตายใจ ที่เด็กผู้หญิงพวกนี้นโดนเสี่ยวอวี๋เก็บทีละคนก็เพราะพวกเธออประมาทเกินไป ครั้งนี้พวกเธอจึงรอจนมืดแล้วค่อยเริ่มแผนการใหม่อีกครั้ง และครั้งนี้แหละจะต้องสำเร็จแน่ๆ!

 

 

ปกติแล้วคนทั่วไปจะเป็นฝ่ายตกอยู่ในปัญหาถ้าโคจรมาเจอกับเด็กผู้หญิงอย่างพวกเธอเข้า พวกนั้นต้องนอนตาไม่หลับตอนกลางคืนกันแน่ เด็กผู้หญิงพวกนี้พร้อมที่จะตอบโต้เสมอ แล้วคนทั่วไปจะทำอะไรได้ล่ะ

 

 

แล้วคนปกติก็คงจะต้องเป็นกังวลกันแล้ว แต่เสี่ยวอวี๋ไม่ธรรมดา พอไฟปิดลง เสี่ยวอวี๋ก็ลุกขึ้นนั่งตัวตรงบนเตียงของเธอ

 

 

ทั้งหอพักนั้นเงียบสนิท…

 

 

ก่อนที่เด็กผู้หญิงพวกนั้นจะทันทำอะไร เสี่ยวอวี๋ก็จัดการกับนักเรียนหญิงพวกนั้นอีกรอบ เสียงโหยหวนของพวกเธอทำให้นึกว่าอยู่ในนรกยังไงอย่างงั้น

 

 

เด็กหญิงพวกนั้นพูดไม่ออกกันเลย นี่มันอะไรกันเนี่ย พวกเธอยังไม่ทันได้ทำอะไรเลยนะ เสี่ยวอวี๋ก็ชิงเปิดก่อนแล้ว

 

 

ทำตามแผนหน่อยไม่ได้หรือไงยะ!

 

 

หลังเสี่ยวอวี๋พยายามโน้มน้าวใจพวกเธอ เด็กผู้หญิงทุกคนในหอพักก็ได้รับรู้ ว่าเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่พวกเธอดูถูก ที่จริงแล้วแข็งแกร่งกว่าที่คิดไว้มาก!

 

 

เสี่ยวอวี๋หงุดหงิด ทำไมถึงทำให้พวกนี้เชื่อได้ยากนักนะ!

 

 

แล้วในเวลาไม่ถึงสองวัน หลี่ว์ซู่ก็พบว่าแต้มอารมณ์ที่เสี่ยวอวี๋เก็บมาได้นั้นเพิ่มขึ้นช้าๆ เขาคาดว่าน่าจะนำไปแลกผลไม้แห่งนรกมาได้มากกว่าร้อยผล หลี่ว์ซู่รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เขารีบส่งข้อความไปหาเสี่ยวอวี๋เพื่อถามว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่ เสี่ยวอวี๋ก็ตอบกลับมาว่ากำลังโน้มน้าวใจผู้คนให้เชื่อฟังอยู่

 

 

เอ่อ…

 

 

เขาคิดว่าเสี่ยวอวี๋กำลังเข้าใจเรื่องโน้มน้าวใจคนแบบผิดๆ อยู่ๆ

 

 

[แล้วโน้มน้าวใจยังไงน่ะ] หลี่ว์ซู่ถามอย่างระมัดระวัง

 

 

[ด้วยพลังของฉันไง!] เสี่ยวอวี๋ตอบไปด้วยความภาคภูมิใจ

 

 

เสี่ยวอวี๋ไม่รู้สึกว่าเธอทำอะไรผิดไปสักนิด ถ้าเธอยอมรับความอับอายและปล่อยให้คนมารังแกละก็ เธอนั่นแหละที่จะเป็นคนถูกชักจูง งั้นทำไมถึงไม่เป็นคนที่ชักจูงคนอื่นเสียเองล่ะ!

 

 

แถมพวกนั้นยังเริ่มก่อนด้วย เธอไม่ได้เป็นคนเริ่มเสียหน่อย

 

 

หลี่ว์ซู่รู้สึกหดหู่ ทักษะเข้าใจภาษาจีนของเสี่ยวอวี๋นี่มีปัญหาไม่น้อยเลยแฮะ…

 

 

เครือข่ายฟ้าดินพบว่ามีปัญหาหนึ่งอย่างในการฝึกซ้อมนี้ เด็กหลายคนเสียสติไปเลยขณะเข้าค่ายฝึกฝน

 

 

แต่เสี่ยวอวี๋กลับฝึกฝนได้ดีมาก เพราะในอนาคตเธอจะได้เป็นถึงราชันฟ้ายังไงล่ะ ดังนั้นเธอจึงคิดว่าเธอควรเป็นตัวอย่างให้คนอื่น

 

 

ทว่าเด็กผู้หญิงหลายคนนั้นทำได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ถึงแม้ว่าพวกเธอจะเป็นผู้ฝึกบำเพ็ญแล้วแต่ก็ยังบอบบางและอ่อนแอกันอยู่ดี

 

 

พอตอนตีห้าก็มีสัญญาณเตือนภัยดังขึ้นมาทั่วทั้งค่าย ทั้งเด็กหญิงและเด็กชายต่างตกใจกันใหญ่ ตอนมารวมกันที่จุดรวมพลแล้ว หลายๆ คนยังแต่งตัวไม่เรียบร้อยดี ใบหน้าของทหารผู้บังคับบัญชาส่วนใหญ่ตึงเข้ม

 

 

ทหารผู้บัญชาการสูงสุดที่ยืนอยู่หน้าแท่นเสาธงกล่าวเตือนสติทุกคนอย่างน่ากลัว

 

 

“ปีนี้ผลการฝึกซ้อมของพวกเด็กผู้หญิงแย่มาก ไม่ใช่เพราะพวกเธอไม่มีความสามารถ แต่พวกเธอไม่มีใจสู้กันต่างหาก” เรื่องนี้เป็นเรื่องปกติเสียแล้วในหมู่ผู้บำเพ็ญหญิง ดูอย่างไอมิเป็นต้น เธอเข้าไปเจรจาลับๆ กับสมาคมฟีนิกซ์ในโบราณสถานเกาะช้างตอนนั้น เพราะเธอไม่มีพลังใจที่จะสู้เพราะเธอไม่คิดจะพึ่งพาความสามารถของตัวเองในการต่อสู้เลย

 

 

“ถ้ามีสงครามภายในของผู้บำเพ็ญขนาดใหญ่ขึ้นมา คิดเหรอว่าพวกผู้บำเพ็ญชายจะเสี่ยงชีวิตช่วยพวกเธอ ในขณะที่พวกเธอร้องเล่นเต้นรำเชียร์พวกเขาหรือไม่ก็ไปเข้าร่วมกับทีมแพทย์เสียอย่างนั้น” ผู้บังคับบัญชาสูงสุดหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา “แต่นั่นมันก็เป็นอดีตไปแล้ว ในตอนนี้พวกเธอทุกคนจะต้องยืนหยัดต่อสู้ในสนามรบ ไม่มีการพึ่งโชคลางใดๆ ทั้งนั้น ไม่มีความแตกต่างระหว่างหญิงหรือชายในสนามรบหรอก ที่ฉันรู้มาน่ะมีเด็กหญิงที่เก่งกาจมากคนหนึ่งมาจากห้องเต้าหยวนในเมืองลั่ว เธอแข็งแกร่งกว่าพวกเธอทุกคน เครือข่ายฟ้าดินเพิ่งรายงานเรื่องความสำเร็จทางการทหารของเธอมา ชื่อของเธอก็คือเฉาชิงฉือ”

 

 

“พวกผู้หญิงเอาแต่บ่นตลอดการฝึก แต่ในฐานะผู้บำเพ็ญแล้ว ถ้าทนยืนฟังสักชั่วโมงยังทำไม่ได้ ก็มีแต่ความตายเท่านั้นแหละที่จะรอพวกเธอในสนามรบ คิดเหรอว่าพวกศัตรูจะสงสารเพราะว่าเห็นว่าพวกเธอเป็นผู้หญิงน่ะ ฮ่าๆ ฟังฉันนะ ไม่มีใครสงสารหรอก พวกเขายิ่งจะใช้วิธีการที่โหดร้ายขึ้นไปอีกเพื่อจะเอาชนะพวกเธอ”

 

 

“คิดว่าการวิ่งสิบกิโลแล้วแบกของหนักๆ ไปด้วยมันยากมากไหม พวกกองทัพธรรมดาๆ เขาวิ่งกันห้ากิโลแล้วแบกของหนักกันแบบนั้นล่ะ พวกเธอแข็งแกร่งกว่าพวกเขาด้วยซ้ำ อาจจะแค่นิดหน่อยหรือมากกว่าเป็นสิบเท่าเลยก็ได้” ทหารผู้บัญชาการสูงสุดยังคงพูดสอนต่อไป “ถ้ายังเห็นว่ายังไม่เปลี่ยนความคิดอีกละก็ พวกเธอจะได้รับการฝึกที่หนักหน่วงกว่านี้แน่”

 

 

“จำเป็นด้วยเหรอ ตอนแรกฉันก็คิดว่ามาฝึกทหารเฉยๆ” มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งกระซิบขึ้นมาเบาๆ

 

 

“ฝึกทหารงั้นเหรอ” ทหารผู้บัญชาการสูงสุดหัวเราะอย่างน่ากลัว “คิดว่าที่พวกเราเอาพวกเธอมาที่นี่เพื่อฝึกแบบสบายๆ ปล่อยให้พวกธอพักกันทุกชั่วโมง ให้คุยโทรศัพท์กันตอนพักด้วย แบบนี้เหรอ ตื่นได้แล้ว! การฝึกซ้อมในครั้งนี้ก็เพื่อให้พวกเธอตื่นจากฝันหวานนั่นแหละ”

 

 

หลายคนคิดว่านี่คงจะเป็นแค่การสั่งสอนแบบธรรมดาๆ ไม่มีใครคิดว่าทหารผู้บัญชาการสูงสุดจะทำตามที่พูดจริง

 

 

“ทุกคนเข้าแถวและเตรียมต่อสู้ของจริง ใครไม่ผ่านจะต้องวิ่งสิบสองชั่วโมงและแบกของหนักไปด้วย และจะไม่ได้รับอนุญาตให้กินข้าวไปทั้งวัน ถ้าใครโกงจะถูกส่งไปศาลทหาร คงไม่ต้องอธิบายสินะว่าจะเกิดอะไรตามมา อย่างพึ่งโชคให้มากล่ะ”

 

 

การต่อสู้ของจริงงั้นเหรอ

 

 

เกิดอะไรขึ้นเนี่ย เดี๋ยวนะทำไมถึงเป็นการต่อสู้แบบจริงๆ ขึ้นมาได้ล่ะ พวกเขายังไม่ได้ฝึกต่อสู้เลย แต่นี่จะให้ต่อสู้กันจริงๆ เสียแล้ว ทุกๆ คนมองหน้ากันอย่างว่างเปล่า ไม่ใช่แค่เด็กผู้หญิงที่ช็อกไป พวกเด็กผู้ชายก็ด้วยเหมือนกัน

 

 

ถ้าหลี่ว์ซู่อยู่ที่นี่ เขาก็คงทำตามไปแล้ว บางทีเนี่ยถิงคงคิดว่าในโลกของผู้บำเพ็ญนั้นไม่มีอะไรแน่นอน หรือมีพวกเผ่าพันธุ์ที่มาจากต่างถิ่นแสนไกลอย่างปรมาจารย์หุ่นเชิด พวกเขากดดันพวกมนุษย์อย่างมาก เพราะฉะนั้นเนี่ยถิงเลยต้องตัดสินใจอย่างเด็ดขาด พวกเขายอมแพ้ที่จะฝึกฝนให้ก้าวหน้าระหว่างการฝึกซ้อมในค่ายแล้ว การตัดสินใจอย่างเด็ดขาดเช่นนี้ในสถานการณ์ที่ยากลำบากจะทำให้นักเรียนจากห้องเต้าหยวนทุกคนเตรียมเผชิญหน้ากับฤดูหนาวอันหนาวเหน็บได้

 

 

ฤดูหนาวที่ว่านี้อาจจะมาปีนี้หรือปีหน้าก็ได้ มันอาจจะมาในอนาคตต่อไป แต่เนี่ยถิงไม่อยากให้เครือข่ายฟ้าดินเต็มไปด้วยเด็กน้อยที่ไม่มีการเตรียมพร้อมก่อนเวลานั้นมาถึง

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset