ตอนที่ 4 ท่านอาจารย์
คุณย่าอาจจะผงะเล็กน้อยขณะที่จ้องมองไปที่นักบวชชราอย่างว่างเปล่าโดยไม่สามารถกล่าวอะไรได้ ขณะที่หยางซือเหมยจ้องมองไปยังนักบวชด้วยความสับสนในใจ
จากนั้นก็หันไปให้ความสนใจกับหนังสือโบราณที่วางอยู่บนชั้นหนังสือซึ่งอยู่บริเวณใกล้เคียง และเงยหน้ามองอย่างไร้เดียงสาพร้อมกับเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่จริงจังว่า
“หลวงตาคะ ถ้าหนูเรียนรู้หลักการของลัทธิเต๋า แล้วหนูจะสามารถใช้ทักษะนี้เพื่อกระตุ้นโชคลาภและหลีกเลี่ยงภัยพิบัติเพื่อต่อต้านเจตจำนงของสวรรค์และเปลี่ยนชะตากรรมของตัวเองได้หรือเปล่าคะ?”
ความประหลาดใจในดวงตาของนักบวชชราลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น เพราะคำกล่าวเช่นนี้ไม่น่าจะมาจากปากของเด็กหญิงตัวน้อยวัยห้าขวบ แล้วเด็กคนนี้ทำไมถึงมีความคิดที่แตกต่างจากเด็กทั่วไป?
นักบวชชราก้มลงเพื่ออุ้มเด็กน้อยขึ้นมาและพาเธอไปที่ชั้นหนังสือ พลางชี้ไปที่หนังสือโบราณเหล่านั้นพร้อมกับกล่าวว่า
“สิ่งเหล่านี้คือหนังสือเกี่ยวกับอภิปรัชญาอันล้ำค่าที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ มันประกอบด้วยศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณ การแพทย์ จักรวาลวิทยา การทำนายโชคชะตา และการทำนายของศิลปะทั้งห้า ถ้าหนูศึกษามันอย่างจริงจัง แน่นอนว่าจะต้องสามารถเสริมสร้างโชคดีเพื่อหลีกเลี่ยงภัยพิบัติ และท้าทายเจตจำนงของสวรรค์โดยการเปลี่ยนชะตากรรมได้”
ในฐานะคนขี้โกงที่ชอบหลอกลวงคนอื่นมานานกว่าสิบปีในชีวิตที่ผ่านมาที่ไม่เคยเชื่อในเรื่องของทักษะที่เรียกว่าโหงวเฮ้ง ดังนั้นเธอจึงคิดว่าเขาเพียงแค่ทำให้เธออารมณ์ดีจึงกล่าวคำง่าย ๆ เหล่านั้นอย่างไม่ใส่ใจมากนัก ขณะที่เขากล่าวว่า
“การคำนวณเพื่อทำนายโชคชะตาและโหงวเฮ้งไม่ใช่แค่เรื่องโชคลางโบราณที่ใช้หลอกลวงผู้คน”
หยางซือเหมยที่ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะมองว่าตนเองอายุยังน้อย ขณะที่ยังคงเอ่ยถามอย่างจริงจังว่า
“ความเชื่อเรื่องโชคลางโบราณคืออะไรคะ?”
นักบวชชรามีสีหน้าที่บ่งบอกว่ากำลังดูถูกเหยียดหยามและกล่าวออกมาว่า
“มันคืออภิปรัชญาที่แท้จริง และเป็นปรัชญาที่มีความกว้างขวางและลึกซึ้งมาก ซึ่งประสานองค์ประกอบพลังของหยินและหยางในร่างกาย เพื่อให้เข้าใจถึงทฤษฎีที่เป็นนามธรรม ที่แม้แต่วิทยาศาสตร์ก็ไม่สามารถอธิบายได้ และเป็นสิ่งที่มีความเป็นมาอีกทั้งยังมีพัฒนาการนับพันปีมัน แล้วมันจะเป็นแค่ไสยศาสตร์ได้อย่างไร?”
หลังจากที่นักบวชชรากล่าวจบเขาก็รู้สึกว่าเนื้อหาที่กล่าวไปนั้นมันดูเคร่งเครียดเกินไป แม้แต่หญิงชราผู้เคร่งศาสนาที่อยู่ด้านข้างก็ยังไม่เข้าใจในสิ่งที่เขากล่าว แล้วจะให้เด็กอายุห้าขวบเข้าใจได้อย่างไร?
อย่างไรก็ตามเขาพบว่าเด็กคนนี้ดูเหมือนจะเข้าใจ ด้วยดวงตาที่ครุ่นคิดเหมือนผู้ใหญ่ที่มีสีดำแวววาวคู่หนึ่งกำลังกะพริบถี่ยิบขณะที่มองไปยังหนังสือบนชั้นหนังสือ
“ตกลง! หนูอยากเรียนรู้คำสอนทั้งหมดจากหลวงตา!”
หยางซือเหมยพยักหน้าและลงจากอ้อมแขนของนักบวชชราที่ยังคงอุ้มตนเองอยู่ ขณะที่เธอกล่าวคำเหล่านั้นอย่างจริงจัง
เธอเคยผ่านสถานการณ์ที่ไม่สามารถเข้าใจได้มาแล้วเช่นการเกิดใหม่ของตนเอง แล้วทำไมเธอถึงจะไม่เชื่อในสิ่งลึกลับเช่นอภิปรัชญานี้? มันสมเหตุสมผลแล้วที่จะมีสิ่งเหล่านี้อยู่บนโลก
มันต้องเป็นความจริงอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นมันจะส่งผลกระทบต่อชาวจีนที่เป็นสาวกมานานเป็นเวลาหลายพันปีได้อย่างไร?
***
ในชีวิตที่แล้วมีหมอดูที่มีชื่อเสียงหลายคนในเมืองที่เธออาศัยอยู่ และทุก ๆ วันจะมีบุคคลที่มีชื่อเสียงมากมายมาเข้าแถวรอรับการทำนายโชคชะตา โดยพวกเขาสามารถกระตุ้นโชคชะตาเพื่อหลีกเลี่ยงภัยพิบัติ และเรียกเก็บเงินสูงมาก ซึ่งอย่างน้อยก็ประมาณหนึ่งแสน
ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ในหัวใจของเธอเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาและความเกลียดชังอย่างหาที่เปรียบมิได้ เพราะเธอใช้เวลานั่งอยู่ข้างถนนเกือบทั้งวันแต่ก็ยังไม่สามารถหาลูกค้าได้เลยสักคนเดียว และแม้ว่าจะมีลูกค้า แต่จำนวนเงินที่พวกเขาเต็มใจจะจ่ายนั้นมันก็น้อยมากจนแทบจะไม่พอยาไส้
ในเวลานั้นเธอไม่เข้าใจว่า ทำไมแม้ว่าเธอจะใช้การทำนายดวงชะตาเพื่อหลอกลวงคนอื่นเหมือนกันกับคนพวกนั้น แต่ความแตกต่างในเรื่องของผลลัพธ์นั้นมันช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
เมื่อนึกถึงตอนนี้ทำให้คิดได้ว่า พวกเขาอาจมีทักษะและความรู้อย่างแท้จริงในการชักนำโชคลาภเพื่อหลีกเลี่ยงภัยพิบัติ และเปิดเผยเส้นทางที่ถูกต้องเพื่อต่อต้านสวรรค์ในการเปลี่ยนแปลงโชคชะตา
เมื่อนักบวชชราได้ยินว่าเธอตอบรับก็ดีใจมากและกล่าวกับคุณย่าอย่างไม่อดทนว่า
“เนื่องจากเด็กคนนี้ต้องการเป็นลูกศิษย์ของอาตมาเธอจึงควรอยู่บนภูเขา และเมื่อมีเวลาอาตมาจะพาเธอลงจากภูเขาเพื่อไปเยี่ยมครอบครัว”
ใบหน้าของคุณย่าแสดงให้เห็นว่าเธอกำลังรู้สึกตกใจมาก เพราะนักบวชชราเป็นตัวแทนของเทพ ซึ่งต้องการรับหลานสาวของเธอเป็นศิษย์เพื่อสืบสานมรดกทางศาสนา จริงอยู่ที่มันทำให้หญิงชราผู้นี้มีความสุข แต่มันก็ทำให้เธอรู้สึกเป็นห่วงด้วยเช่นกัน
***
หยางซือเหมยคิดถึงโศกนาฏกรรมที่จะเริ่มต้นเมื่อเธออายุได้หกขวบและไม่รู้ว่ามันจะเปลี่ยนได้หรือไม่?
แต่ตอนนี้เธอต้องการที่จะรักษาความอบอุ่นในปัจจุบันของครอบครัวเอาไว้เช่นนี้ ดังนั้นจึงไม่ต้องการที่จะแยกจากพวกเขาไปอยู่ที่อื่น
“อาจารย์คะ หนูไม่อยากย้ายขึ้นมาอยู่บนเขา แต่หนูต้องการอยู่กับคนในครอบครัวของหนู ดังนั้นทุกวันหนูจะตื่นตอนหกโมงเช้าเพื่อมาเรียนบนภูเขาแล้วจะกลับบ้านตอนบ่ายนะคะ” หยางซือเหมยยื่นข้อเสนอ
นักบวชผู้ชราอาจจะคุ้นเคยกับวิธีการกล่าวที่เป็นผู้ใหญ่เกินตัวของเธอจึงไม่ได้มองเด็กน้อยผู้นี้ด้วยความประหลาดใจอีกต่อไป และปฏิบัติต่อเธอเหมือนกับผู้ใหญ่คนหนึ่ง ขณะที่ครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วจึงพยักหน้าเห็นด้วย
“ตกลง! ทำตามนั้นก็ได้ แม้ว่าอภิปรัชญาของเราจะมีมากมายและลึกซึ้ง ในเมื่อหนูสามารถมาศึกษาได้เพียงแค่ครึ่งวัน แต่ตราบใดที่หนูสามารถทการบ้านที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จได้ก็จะเป็นการดี”
หยางซือเหมยไม่รู้ว่าเขาจะมอบหมายงานประเภทใดให้ตนเอง แต่เชื่อว่ามันจะไม่ยากอย่างที่คิดจึงพยักหน้าตอบรับ
ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังต้องการได้รับทักษะบางอย่างอย่างรวดเร็วภายในเวลาหนึ่งปีนี้ เพื่อช่วยให้ครอบครัวของเธอสามารถหลีกเลี่ยงความหายนะจากการทำลายล้างได้ เพื่อเปลี่ยนชะตาชีวิตของตนเองเสียใหม่
“หนูอ่านหนังสือออกหรือเปล่า?”
อาจารย์นักบวชเอ่ยถามขณะที่ดึงหนังสือ <ตำราแห่งการเปลี่ยนแปลง> ออกมาจากชั้นหนังสือ
หยางซือเหมยพยักหน้า
“อ่านได้บ้าง แต่ไม่มากค่ะ”
“หลวงพ่อค่ะ คุณพ่อของเด็กคนนี้เป็นอาจารย์สอนหนังสือค่ะ ดังนั้นเธอจึงสามารถจำคำศัพท์ได้บ้าง” คุณย่ากล่าวจากด้านข้าง
“ดีมาก อย่างนั้นวันนี้หนูจงนำหนังสือเล่มนี้กลับบ้านไปเพื่อท่องจำ ถ้ามีคำไหนที่ไม่เข้าใจก็ควรถามพ่อของหนู และถ้าทฤษฎีไหนที่ไม่เข้าใจก็มาถามอาจารย์นะ” อาจารย์ผู้ชราภาพผู้กล่าว
หยางซือเหมยเหงื่อตกเล็กน้อยขณะที่มองไปยังหนังสือเล่มหนานั้น แต่ไม่ได้กล่าวอะไรและรับมันเอาไว้พร้อมกับถอนหายใจ
ถ้ามันสามารถเปลี่ยนชะตากรรมของเธอได้จริง นับประสาอะไรกับการท่องจำหนังสือโบราณที่ซับซ้อนนี้ แม้ว่าจะต้องทำอะไรที่ยากกว่านี้เธอก็จะต้องทำให้สำเร็จ
“ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ทุกหกโมงเช้าอาจารย์คนนี้จะรอหนูอยู่ที่ตีนเขา”
หลังจากที่นักบวชชรากล่าวจบแล้ว เขาก็ไปนั่งบนเตียงที่หยางซือเหมยนอนอยู่เมื่อครู่ และหลับตาเพื่อทำสมาธิโดยไม่สนใจสองยายหลานคู่นี้อีกต่อไป
หลังจากมากลับบ้าน หวงซิ่วลี่ผู้ซึ่งเป็นมารดาของเธอ เห็นผ้าพันแผลบนหน้าผากของหยางซือเหมย จึงโผเข้ามากอดเด็กน้อยด้วยความเป็นห่วงและเอ่ยถามว่าเกิดอะไรขึ้น คุณย่าของเธอจึงเล่ารายละเอียดทั้งหมดให้พวกเขาฟัง
“ลูกของแม่กำลังมีเคราะห์รุมเร้าจริงๆ ทำไมถึงน่าสงสารอย่างนี้”
ผู้เป็นมารดากอดเด็กน้อยเอาไว้แน่นด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด
ขณะที่เด็กน้อยสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่เปี่ยมไปด้วยความรักของมารดาตนเอง และมันยิ่งกระตุ้นความปรารถนาของ หยางซือเหมยมากยิ่งขึ้น ขณะที่เธอใช้แขนน้อย ๆ โอบกอดมารดาเอาไว้แน่น