ตอนที่ 7 ไม่มีริ้วรอย
ในวันรุ่งขึ้นเมื่อได้ยินว่าคุณยายและคุณแม่ของเธอตื่นนอนแล้ว หยางซือเหมยก็ลุกขึ้นจากเตียงเช่นกัน จากนั้นเธอก็พร้อมที่จะออกเดินทางมุ่งหน้าขึ้นไปบนเขาเพื่อพบกับนักบวช
เด็กบ้านนอกในยุค 90 มีอิสระในการใช้ชีวิตมาก ตราบใดที่พวกเขากลับมารับประทานอาหารที่บ้าน กิจกรรมของพวกเขาก็จะไม่ถูกจำกัดเพราะผู้ใหญ่ก็ยุ่งอยู่กับหน้าที่การงานมากเช่นกัน
เมื่อเด็กหญิงตัวน้อยเดินมาถึงบริเวณตีนดอยท้องฟ้าก็ยังคงมืดอยู่ เพราะมันยังไม่ถึงเวลาหกโมงเช้าด้วยซ้ำ และเนื่องจากยังไม่เห็นแม้แต่เงาของนักบวช เธอจึงตัดสินใจเดินมุ่งหน้าขึ้นไปบนภูเขาเพียงลำพัง
ขณะนี้ถนนที่ใช้สำหรับเป็นทางสัญจรขึ้นลงภูเขาล้อมรอบไปด้วยหมอกอันมืดสลัวและหนาวเย็นอีกทั้งยังเต็มไปด้วยเสียงดังของเหล่าแมลงและนก นอกจากนี้ยังมีเสียงที่ผิดปกติและน่ากลัวบางอย่างดังขึ้นบ้างเป็นครั้งคราว
ซึ่งถ้าเป็นเด็กผู้หญิงอายุห้าขวบธรรมดาทั่วไปคงจะรู้สึกหวาดหวั่นและตื่นตระหนกเป็นที่สุด
อย่างไรก็ตามตอนนี้หยางซือเหมยไม่ได้เกรงกลัวอะไรอีกต่อไปแล้ว เพราะครั้งนี้เป็นชีวิตใหม่ที่เธอสามารถลิขิตมันด้วยตนเองอีกครั้ง
อีกทั้งให้ชาติที่แล้วเธอเคยเป็นคนไร้บ้านและผ่านความยากลำบากมาแล้วมากมาย ดังนั้นเธอจึงมีประสบการณ์ในการใช้ชีวิตไม่น้อย
และนอกเหนือจากความกลัวที่จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตนเองแล้วเธอก็ไม่เคยคิดที่จะกลัวสิ่งอื่นใดอีกเลย
เพียงแต่ว่าตอนนี้ขาของเธอมันทั้งสั้นและทั้งเล็กเกินไป อีกทั้งเธอยังไม่เคยออกกำลังขาเมื่อก่อนดังนั้นจึงเป็นการยากลำบากสำหรับเธอที่จะเดินขึ้นไปถึงบนยอดเขา
หลังจากเดินขึ้นไปแล้วประมาณครึ่งทางเห็นจะได้ เด็กน้อยก็มองเห็นร่างของนักบวชชราที่สวมชุดสีฟ้ายืนตระหง่านอยู่ตรงหน้าเธอ
“อาจารย์…นม้ส…การค่ะ”
เธอหายใจติดขัดด้วยความเหนื่อยล้าขณะที่ก้มตัวลง แต่ยังคงทักทายนักบวชด้วยความเคารพ
นักบวชชราขยับตัวเล็กน้อยเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้า ในตอนแรกเขาวางแผนที่จะเดินมุ่งหน้าลงเขาไปเพื่อไปรับเธอ
แต่กลับเห็นภาพเงาเล็ก ๆ ของเด็กหญิงตัวน้อยเด็กหญิงตัวน้อยปรากฏขึ้นก่อนเวลาที่ด้านล่างและเธอก็เริ่มเดินขึ้นมาข้างบน
ดังนั้นเขาจึงยืนนิ่งอยู่ที่นั่นเพื่อมองดูเธอก้าวขึ้นมาทีละก้าวด้วยความยากลำบาก
ซึ่งมันทำให้นักบวชชราผู้นี้มีความสุข ด้วยความรู้สึกโชคดีมากที่สามารถรับศิษย์ผู้ที่มีความมุ่งมั่นในวัยเพียงเท่านี้ และรับว่าเป็นพรอันประเสริฐ ที่ได้รับจากบรรพบุรุษอย่างแท้จริง
“ทำไมไม่รอให้อาจารย์ลงไปรับล่ะ หนูไม่กลัวเหรอ?”
นักบวชชราก้มลงเพื่อเอ่ยถามเด็กน้อย แต่แล้วเขาก็เห็นว่าจุดที่ทุบด้วยน้ำเต้าของพระพุทธรูปเมื่อวานนี้ได้กลายเป็นไฝสีแดงสด และสิ่งนี้ทำให้เขาถึงกับสะดุ้งในทันที
หยางซือเหมยส่ายหัว
“หนูไม่กลัวค่ะ หนูแค่อยากจะเรียนรู้เรื่องเกี่ยวกับลัทธิเต๋าให้มากขึ้นอย่างรวดเร็ว”
เด็กน้อยกล่าวพร้อมกับจ้องมองไปยังนักบวชชราอย่างคาดหวัง แต่ทันใดนั้นก็พบว่าเหนือศีรษะของเขามีจัวอักษรที่เลือนลางปรากฏขึ้นและจากนั้นก็ค่อย ๆชัดเจนขึ้น:
‘นักบวชหลี่หยูชิง เดิมชื่อหลี่จุนเจี๋ย;
เกิดในปี 2423;
พ.ศ. 2454 – เข้าร่วมในการปฏิวัติซินไห่
พ.ศ. 2462 – เข้าร่วมในขบวนการที่สี่พฤษภาคม
พ.ศ. 2480 – เข้าร่วมในสงครามต่อต้านญี่ปุ่น
พ.ศ. 2488 – เริ่มศึกษาลัทธืเต๋า…
เกิดในปี พฺ.ศ.2423 เลยเหรอ?
นั่นหมายความว่านักบวชผู้นี้มีอายุถึงหนึ่งร้อยสิบสองปีใช่หรือเปล่า?
เมื่อมองไปที่ใบหน้าของเขา มันทำให้รู้สึกราวกับว่า อายุของนักบวชชราผู้นี้จะน้อยกว่าคุณปู่ที่มีอายุหกสิบปีของตนเองด้วยซ้ำ
…เขาไม่มีแม้แต่รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า โดยมีเพียงผมและเคราเท่านั้นที่เป็นสีขาว
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อมองไปยังท่าทางที่อารมณ์ดีของเขาแล้ว ซึ่งดูเหมือนอารมณ์จะมีความคงที่อยู่ตลอดเวลา ทำให้เกิดความสงสัยว่า สิ่งนี้เป็นผลมาจากการฝึกฝนวิชาของลัทธิเต๋าหรือเปล่า?
เมื่อคิดอย่างนี้เธอก็ยิ่งมีความตั้งใจที่จะเรียนรู้วิชาในลัทธิเต๋าให้มากขึ้น
***
เมื่อเห็นเธอจ้องมองไปที่ด้านบนศีรษะของตนเอง นักบวช
หยูชิงจึงคิดว่า ทำไมเด็กน้อยถึงแสดงท่าทีประหลาดใจ ก็เลยเอ่ยถามว่า
“เด็กน้อย กำลังมองอะไรอยู่หรือ?”
“อาจารย์ ท่านมีอายุเท่าไหร่ค่ะ”
“ถ้าจะบอกว่าอาตมามีอายุหนึ่งร้อยสิบสองปีแล้ว เธอเชื่อหรือเปล่า”
แน่นอนว่าเขาอายุหนึ่งร้อยสิบสองปี ซึ่งดูเหมือนว่าสิ่งที่เธอเห็นนั้นจะเป็นเรื่องจริง
ทำไมเธอถึงมองเห็นสิ่งนี้ได้?
แม้ว่าสิ่งที่เธอเห็นจะไม่มากนัก แต่มันก็ผิดปกติมากและทุกครั้งหลังจากอ่านมัน เธอก็จะรู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย
“ท่านอาจารย์ดูหนุ่มกว่าคุณปู่ของหนูอีก และไม่มีริ้วรอยแม้แต่นิดเดียว นั่นเป็นผลมาจากการฝึกฝนวิชาของลัทธิเต๋าหรือเปล่าคะ?
มันเป็นเหมือนกับที่คุณย่าของหนูเคยเล่าให้ฟังเกี่ยวกับชีวิตที่เป็นนิรันดร์และความอ่อนเยาว์หรือเปล่าคะ?”
หยางซือเหมยเอ่ยถามด้วยใบหน้าที่ไร้เดียงสาและน่าเอ็นดูมาก