เฉินฉางเซิงจะทะลวงเคล็ดวิชากระบี่วิหคทองได้อย่างไร เพราะเหตุใดเขาถึงแสดงออกมั่นใจเช่นนี้ เป็นเพราะว่าตอนนี้เคล็ดวิชาฉบับรวมของพรรคกระบี่หลีซานอยู่ที่สำนักฝึกหลวง เขาเข้าใจเพลงกระบี่หลีซานรึ มิใช่ เคล็ดวิชาลับกระบี่วิหคทองเป็นสิ่งที่สืบทอดมาจากอาจารย์ปู่เล็กท่านนั้น เพลงกระบี่ชุดนี้เดิมทีก็มิได้เข้าไปอยู่ในคัมภีร์สรุปรวมเคล็ดวิชาลับของหลีซาน แน่นอนว่าเฉินฉางเซิงไม่เคยเห็นมาก่อน โก่วหานสือยังคงหลงเหลือความโมโห เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ ด้วยเหตุนี้ก็ยิ่งทวีความไม่เข้าใจ ผู้ยิ่งใหญ่ที่ชมการต่อสู้อยู่ริมหน้าต่างบนชั้นสองก็ไม่เข้าใจเช่นเดียวกัน ท่าทางสลับซับซ้อน
อันที่จริงเฉินฉางเซิงมิอาจทำลายเพลงกระบี่วิหคทองที่ทรงพลังแข็งแกร่งนี้ได้ เขาเองก็ชัดเจนตรงจุดนี้ แต่นี่มิได้หมายความว่าเขาจะยอมแพ้ เพราะว่านอกจากการทำลายเพลงกระบี่ ยังมีวิธีโต้ตอบอีกจำนวนมาก
ข้อมือของเขาอ่อนโยนประหนึ่งใบไม้ร่วงหล่น กระบี่สั้นทะลวงม่านสายฝน กลายเป็นสายฝนเส้นเล็ก กวัดแกว่งมุ่งไปฟาดฟันโก่วหานสือจากทางด้านล่างขวา
เขาไม่เคยคิดจะทำลายกระบี่ของโก่วหานสือ และก็ไม่ได้คิดว่าจะไปขวางแต่อย่างใด ยิ่งไม่ได้คิดจะหลบหลีก เขามิได้สนใจกระบี่นี้ เงียบนิ่งสนใจแต่กวัดแกว่งกระบี่ของตนเท่านั้น
พระอาทิตย์อันร้อนแรงอยู่กลางท้องฟ้า สายฝนในหอชำระธุลีกลายเป็นเส้นสีทองถี่ยิบจำนวนนับไม่ถ้วน มีหลายเส้นที่ร่วงหล่นบนใบหน้าของเฉินฉางเซิง กลับไม่อาจทำให้เขาหรี่ดวงตาได้ เขาจ้องใบหน้าโก่วหานสือเขม็ง เดินไปข้างหน้าต่อเนื่อง ระดับความเร็วเพิ่มขึ้นฉับพลัน มายังด้านหน้าของโก่วหานสือประหนึ่งอสนีบาต
ที่เขาใช้ก็คือกระบี่ลมฝนจงซาน มิใช่กระบวนท่าที่ทรงพลังที่สุดพลิกสวรรค์คลุมปฐพีนั่น แต่เป็นกระบวนท่าที่เจ็ดที่เด็ดขาดที่สุด ไร้หนทางหวนกลับที่สุด
เพลงกระบี่เอื้ออาทร
คำตรงข้ามของเอื้ออาทรก็คือตระหนี่ ใช้ได้ในโอกาสที่ยิ่งใหญ่ต่างๆ ดังเช่นเอื้ออาทรต่อความตาย คำนี้เมื่อบางเวลา เป็นตัวแทนของสภาพจิตใจบางอย่าง จิตใจที่จ้องมองความเป็นตายราวกับความว่างเปล่า
เฉินฉางเซิงรวมถึงกระบี่ของเขาเข้าใจถึงสภาพจิตใจเช่นนี้ มิได้สนใจกระบี่พระอาทิตย์ของโก่วหานสืออย่างสิ้นเชิง มองข้ามวิชากระบี่ที่แข็งแกร่งลึกลับของพรรคกระบี่หลีซาน พุ่งออกมาแล้ว
ถ้าหากโก่วหานสือไม่เปลี่ยนกระบวนท่า ไม่ต้องสงสัยแม้แต่น้อยว่าเวลาต่อมา เฉินฉางเซิงก็จะถูกเคล็ดวิชาลับกระบี่วิหคทองตัดออกเป็นสองท่อน แต่ในเวลาเดียวกัน กระบี่ของเขาก็ฟาดฟันลงบนหน้าอกของโก่วหานสือ กระบี่ลมฝนจงซานลำดับที่เจ็ดส่งกลิ่นอายเอื้อเฟื้ออารี อานุภาพกลับเทียบไม่ได้กับกระบี่วิหคทอง หากโก่วหานสือได้รับกระบี่นี้ แน่นอนว่าอาจจะเสียชีวิต และอาจจะได้รับบาดเจ็บสาหัส ปัญหาอยู่ตรงที่ ผู้ใดก็ไม่อาจรู้ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร
บรรดาผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่ริมหน้าต่างชั้นสองต่างมองเจตนาของเฉินฉางเซิงออก ร้องตกตะลึงเสียงหลงออกมา โก่วหานสือรู้สึกแปลกประหลาดอย่างชัดเจน พลันก่อเกิดเป็นความคิดนับไม่ถ้วน เฉินฉางเซิงปรารถนาเสียชีวิตไปพร้อมกับเขา ประสานโชคชะตาระหว่างความเป็นตาย แน่นอนว่าเขาจะไม่ยินยอม เพราะว่าเขาแข็งแกร่งยิ่งกว่า เดิมทีก็มีพลังเหนือกว่า
กระบี่หลีซานกวัดแกว่งออกไป กระบี่วิหคทองเปลี่ยนเป็นป้องกันฉับพลัน
ด้ามกระบี่ทั้งสองยังคงไม่ปะทะกัน เสียงลมพัดป่าสนดังหวีดหวิวขึ้นอีกครา พิถีพิถันไร้ที่เปรียบ
เพลงกระบี่เอื้ออาทรของเฉินฉางเซิง เดิมทีไม่อาจเข้าใกล้เพื่อทำร้ายโก่วหานสือได้
ได้ยินเพียงแค่ในหอชำระธุลีมีเสียงเปรี้ยงดังขึ้น พลังกระบี่แผ่ออกมาทุกทิศทุกทาง เฉินฉางเซิงถลาไปข้างหลัง ม้วนตลบกลางอากาศ ร่วงหล่นบนพื้นดิน พื้นรองเท้าเหยียบย่ำลงก่อให้เกิดเป็นคลื่นน้ำหลายระลอก
ในหอทั่วทั้งผืนเงียบสงัด คนที่อยู่บนชั้นสองจ้องมองเฉินฉางเซิง ท่าทางสลับซับซ้อนยิ่ง กระบี่วิหคทองที่แข็งแกร่งน่าหวาดกลัว คิดไม่ถึงว่าจะถูกเฉินฉางเซิงทะลวงได้ง่ายดายเช่นนี้!
แน่นอนว่า ในความเป็นจริงนั้นไม่ง่ายดาย ถ้าหากมิใช่เฉินฉางเซิงที่มีความรู้มากมาย ใช้กระบี่ลมฝนจงซานที่รวดเร็วดุดันที่สุด ใช้กระบวนท่าที่ไม่ต้องพูดถึงทางหนีทีไล่ ทำให้โก่วหานสือรู้สึกถึงการบีบบังคับที่รุนแรง อีกทั้งมิได้เผยความรู้สึกอ่อนแอใดๆ ออกมา จะบีบบังคับให้โก่วหานสือละทิ้งสถานการณ์ที่ดีนี้ได้อย่างไรเล่า
เฉินฉางเซิงพลันมุ่งไปเบื้องหน้า กระบี่สั้นเกิดเสียงดังรุนแรงขึ้น ทะลวงแทงผ่านท้องฟ้าที่กั้นกันไว้ มุ่งไปหาโก่วหานสือ
บนใบหน้าของเขาไร้ความรู้สึกใดๆ ก่อนหน้านี้ที่เคยปรากฏความรู้สึกมีชีวิตชีวาเต็มไปด้วยพลังราวกับว่าเป็นเพียงภาพลวงตา กลายเป็นสงบนิ่งสุขุมอีกครั้ง ทว่ากลับยังคงเด็ดเดี่ยวแน่วแน่
นี่เป็นกระบี่อะไร ผู้คนที่ชมการต่อสู้คาดเดาไปต่างๆ นานา
โก่วหานสือยกกระบี่ทะลวงท้องฟ้าออกไป นำพลังปราณแท้ที่น่าหวาดกลัวพัดผ่านเข้าไปในหอ ค่อยๆ มีม่านสายฝนร่วงหล่นลงนับไม่ถ้วน พลังกระบี่มาจากทุกทิศทุกทางโจมตีเฉินฉางเซิง ท่าทางของเฉินฉางเซิงยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ก็เหมือนกับก่อนหน้านี้ แม้แต่มองยังไม่มอง สนใจก็มิได้สนใจ จิตใจทั้งหมดต่างก็ร่วงหล่นบนกระบี่ของตน แทงกระบี่สายหนึ่งเข้าไปด้วยความตั้งใจในระดับที่น่ากลัว
ในหอชำระธุลีเกิดเสียงกระบี่คำรามดุดัน
เพลงกระบี่ของเขาล้ำเลิศไม่เท่าเพลงกระบี่ของโก่วหานสือ แต่กระบี่ของเขาง่ายดายยิ่งกว่า ความคิดก็เรียบง่าย คล้ายกับว่าส่งออกไปก่อน แต่ความเป็นจริงกลับปรากฏขึ้นในภายหลัง ถึงอย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้วกระบี่ทั้งสองต่างก็ส่งเสียงร้องคำรามผ่านอากาศออกมาพร้อมกัน
กระบี่ทั้งสองยังคงไม่มีโอกาสปะทะกัน
ยังคงเป็นสถานการณ์ร่วมเป็นร่วมตาย มุ่งสู่ความตายพร้อมกัน
โก่วหานสือส่งเสียงคำรามคราหนึ่ง ในเสียงเต็มไปด้วยความโมโหและจนปัญญา
กระบี่หลีซานในมือเขาคล้ายกับว่าเต็มไปด้วยดอกไม้หลากสีบานสะพรั่งฟุ้งกระจายออกมา!
“บุปผาบานดั่งแพรไหม!” บนชั้นสองมีเสียงตกตะลึงดังออกมา
เมื่อเวลาสุดท้ายนั้น โก่วหานสือเปลี่ยนกระบวนท่าฉับพลัน กลับถือโอกาสออกแรง นำสายฝนเปลี่ยนเป็นดอกไม้บานสะพรั่ง กระบวนท่าหนึ่งปล่อยออกไป เพียงชั่วพริบตาก็หลงเหลือรอยของกระบี่อยู่บนไหล่ของเฉินฉางเซิง
การเปลี่ยนแปลงเพลงกระบี่รูปแบบนี้ล้ำเลิศไร้เทียมทาน กล่าวได้ว่าแสดงให้เห็นถึงฝีมือและเอกลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบของเพลงกระบี่เขาหลีซาน เพียงแค่ถึงอย่างไรก็เป็นการเปลี่ยนเพลงกระบี่ฉับพลัน ท้ายที่สุดแล้วก็ยังขาดความทรงพลังของจิตใจ
กระบวนท่าบุปผาบานดั่งแพรไหมนี้ของเขาแม้จะทำให้เฉินฉานเซิงบาดเจ็บ กลับไร้หนทางที่จะทำให้เฉินฉางเซิงพ่ายแพ้ เวลาเดียวกัน แขนซ้ายของเขาก็ถูกกระบี่เฉินฉางเซิงทำให้บาดเจ็บจนมีโลหิตไหลออกมา
หลังจากเฉินฉางเซิงเข้าสู่ขั้นทะลวงอเวจี ได้ปะทะกับกระบี่ของโก่วหานสือสองครา สุดท้ายล้วนได้จบลงเช่นนี้ เขาล้วนใช้กระบวนท่าเพลงกระบี่ที่มุ่งสู่ความตายไปพร้อมกัน คล้ายกับว่าเดิมทีมิได้คิดมาก่อนว่าสามารถเอาชนะฝ่ายตรงข้ามได้
คนทั้งสองยืนอยู่คนละมุมของหอชำระธุลี สงบนิ่งมิได้มองกัน เงียบนิ่งไร้คำเอื้อนเอ่ย ตรงกลางมีม่านสายฝนหลายชั้น ประหนึ่งกำลังปิดบังเรื่องราวไว้จำนวนมาก และยังอำพรางสีหน้าในขณะนี้เอาไว้ด้วย
ท่าทางของโก่วหานสือเคร่งขรึม เพราะเขามั่นใจแล้วว่าเฉินฉางเซิงอยากจะทำอะไร
เฉินฉางเซิงกุมด้ามกระบี่สั้น พยักหน้าทำความเคารพ เพื่อแสดงว่าขออภัย
ใช่แล้ว เขาสู้โก่วหานสือไม่ได้ ไม่ว่าจะฝึกบำเพ็ญเพียรมุมานะบากบั่นเพียงใด จะมีพรสวรรค์สูงส่งอีกเพียงใด ศึกษาตำราเต๋าอีกมากมายเพียงใด เขาก็ยังคงสู้โก่วหานสือไม่ได้ เพราะว่าการฝึกบำเพ็ญเพียรของโก่วหานสือก็มุมานะบากบั่นยิ่งนัก พรสวรรค์ก็สูงส่ง แตกฉานในคัมภีร์เต๋าเฉกเช่นเดียวกัน อีกทั้งโก่วหานสือยังมีอายุมากกว่าเขา เขาฝึกบำเพ็ญเพียรเป็นระยะเวลายาวนานมากกว่า
ถึงแม้เขาจะเสาะแสวงหาด้วยความยากลำบาก อาศัยการต่อสู้ในการสอบใหญ่เพื่อให้ตนพัฒนายิ่งขึ้น จนกระทั่งก่อนหน้านี้ทำให้ทั่วหล้าต่างตกตะลึงเมื่อทะลวงขั้นอเวจีสำเร็จ แต่ก็ยังคงมิใช่คู่ต่อสู้ของโก่วหานสือ
การชำระล้างกระดูก ไม่สำเร็จ จากนั้นชำระล้างกระดูกต่อไป การนั่งถอดจิตปฐมภูมิที่เสี่ยงต่ออันตราย จากนั้นก็นั่งถอดจิตปฐมภูมิต่อไป จนกระทั่งสุดท้ายทะลวงอเวจีได้อย่างมหัศจรรย์ กลับยังคงไร้หนทางที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้ที่มีระดับวิทยายุทธ์สูงส่ง ความรู้สึกนี้คล้ายกับว่าโศกเศร้าทุกข์ทน แต่เฉินฉางเซิงมิได้คิดเช่นนี้
เขาไม่ได้ผิดหวังและมิได้หมดหวัง กลับกัน เขาเต็มไปด้วยความมั่นใจว่าตนจะต้องได้รับชัยชนะในการต่อสู้สนามนี้ เพราะว่าตอนนี้เขามีคุณสมบัติในการตกตายไปพร้อมกันกับโก่วหานสือ
ก่อนที่จะพัฒนาจนเป็นดังเช่นตอนนี้ ก่อนที่จะทะลวงขั้นทะลวงอเวจี เขากับโก่วหานสือห่างไกลกันอย่างยิ่ง ปรารถนาอยากจะเสียชีวิตไปพร้อมกับฝ่ายตรงข้ามก็เป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ แต่ตอนนี้อย่างน้อยเขาก็มีคุณสมบัติเช่นนี้
แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
เพราะว่าไม่มีผู้ใดมีประสบการณ์การเผชิญความตายได้เท่ากับเขา
หรืออาจจะกล่าวว่า ไม่มีใครกลัวตายและไม่กลัวตายมากไปกว่าเขา
……
……
โก่วหานสือไม่อาจเข้าใจความแข็งแกร่งของเฉินฉางเซิง แต่เขาสามารถรับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งชนิดนี้ เช่นนั้นแล้วเมื่อเขาปรารถนาจะเอาชนะเฉินฉางเซิง ก็จะต้องนำด้านที่ตนแข็งแกร่งที่สุดออกมา
“เจ้าลองรับกระบวนท่านี้ของข้าหน่อยเป็นอย่างไร”
เขาเอ่ยกับเฉินฉางเซิง จากนั้นมุ่งไปเบื้องหน้าด้วยความสงบ ก้าวย่างมั่นคงเชื่องช้า นัยน์ตายิ่งนานยิ่งสุกสว่าง ราวกับว่ากลับไปยังเดือนปีเหล่านั้น กลับไปเป็นเด็กน้อยชนบทในปีนั้น
กระบี่นี้ของโก่วหานสือง่ายดายอย่างยิ่ง ตวัดตัดออกไปจากข้างบนลงสู่ข้างล่าง
จนถึงขนาดคล้ายกับว่าไม่มีสง่าราศี
ทว่ากระบี่นี้ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง ข้างบนนั้นประหนึ่งถึงท้องฟ้าสีคราม ข้างล่างนั้นประหนึ่งถึงใต้ธรณี ระหว่างฟ้าดินก็คือเพลงกระบี่นี้ สามารถตัดผ่านโลกมนุษย์ให้แหลกละเอียดได้อย่างแท้จริง
ทว่า กระบี่นี้ไม่มีสง่าราศีจริงๆ
มองเห็นกระบี่นี้ คนที่รับรู้ถึงเจตจำนงของกระบี่ ในหัวใจล้วนแต่ปวดร้าวทุกข์ระทม
ทุกคนต่างมองเห็นอดีตที่ครั้งหนึ่งตนเองก้าวผ่านมันมาอย่างยากลำบาก
โก่วหานสือมองเห็นมากกว่านั้น เพราะว่าเดิมทีนี้เป็นกระบวนกระบี่ที่เขาคิดขึ้นเอง
เมื่อครั้งยังเยาว์วัยเขาเห็นความลำบากยากจนของครอบครัว มารดาซักเสื้อผ้าให้ญาติมิตรเพื่อดำรงชีวิต เขาไม่มีเงินเข้าโรงเรียนในบ้านเกิด จึงคุกเข่าอยู่หน้าประตูบ้านของอาจารย์ที่มีหนวดเคราผู้นั้นทั้งคืน
เข้าไปร่ำเรียนในโรงเรียนของหมู่บ้านได้ แต่ไม่มีเงินที่จะซื้อเตาอุ่น ลมเย็นด้านนอกหน้าต่างหนาวถึงกระดูก นี่เป็นชีวิตการศึกษาเล่าเรียนที่ยากลำบาก เขาไม่ได้กินอาหาร ตอนเช้าตรู่ทุกวันกินเพียงแค่ข้าวต้มเหลว นำอาหารแช่แข็งมาหั่นเป็นสองท่อน หนึ่งมื้อหนึ่งก้อน นี่ก็คืออาหารแช่แข็ง ใช้ชีวิตในศึกษาเล่าเรียนอย่างยากลำบากมาสิบปี ต้องทานอาการแช่แข็งกี่มื้อกัน
ขณะกวัดแกว่งกระบี่นี้ โก่วหานสือครุ่นคิดสิ่งต่างๆ มากมาย
ความยากจนข้นแค้น เรื่องที่น่าหวาดกลัวที่สุดของโลกมนุษย์ เพราะเหตุใดเขาถึงสามารถยืนหยัดมาจนถึงพรรคกระบี่หลีซานได้ ยืนหยัดมาจนถึงตอนนี้ได้ ไม่ใช่เพราะว่าเพื่อการต่อสู้สนามนี้หรอกหรือ
ใช่แล้ว กระบี่ของเขาก็คือมีดที่หั่นข้าวต้มแช่แข็งในปีนั้น
……
……
เพียงชั่วพริบตาที่โก่วหานสือยกกระบี่ขึ้น ท่าทางของเฉินฉางเซิงก็เปลี่ยนไป
ในตอนที่ยังไม่ได้เห็นกระบี่นี้ เขารับรู้ได้ว่ากระบี่นี้มีคุณธรรมเต็มเปี่ยม ไม่ หากจะกล่าวให้ถูกต้อง กระบี่นี้เป็นเรื่องราวที่มนุษย์ไม่อาจหลบหลีกได้
โก่วหานสือใช้กระบวนท่าที่เลิศล้ำที่สุดออกไปสองกระบวนท่า ในสองครั้งนั่นเขาใช้กระบวนท่าบุกทะลวงเพื่อที่จะทำลายให้หายสิ้น แต่ตอนนี้เผชิญกับกระบี่กระบวนท่านี้ สุดท้ายแล้วเขามีความคิดที่ทำลายได้ยากยิ่ง
เพราะว่ากระบี่นี้ไม่อาจข้ามผ่านได้ หากปรารถนาจะเดินไปสู่ความตายพร้อมกัน อันดับแรกก็ต้องปะทะกัน
เฉินฉางเซิงไม่อยากให้กระบี่ในมือปะทะกับกระบี่หลีซานของโก่วหานสือ เพราะว่าพอพานพบกัน จะเกิดการเปลี่ยนแปลง หากเปรียบเทียบกันทางด้านกระบี่แล้ว เขาไร้หนทางจะใช้ได้อย่างแม่นยำกว่าโก่วหานสือ
เมื่อแรกเริ่ม เป็นโก่วหานสือที่ไม่อยากปะทะกับกระบี่ของเขา ตอนนี้กลับเป็นสิ่งที่กลับกัน
จะทำอย่างไรเล่า
ผู้คนที่ดูการต่อสู้อยู่ริมหน้าต่างชั้นสอง ตกตะลึงกับกระบี่เลิศล้ำโดดเดี่ยวและยากลำบาก เวลาต่อมา ก็ถูกกระบี่ของเฉินฉางเซิงทำให้ดวงจิตตกใจกลัว ร้องตกตะลึงขึ้นมาต่อเนื่องกัน!
เฉินฉางเซิงเท้าเหยียบลงน้ำขังที่อยู่บนพื้นหินข้างๆ ตรงข้อศอกที่โค้งงอมีน้ำฝนหยดลงมา ยังคงแทงตรงออกไป ปลายแหลมของกระบี่สั้นมีแสงสีทองเบาบาง มุ่งทะยานไปเบื้องหน้า
กลิ่นคาวโลหิตปรากฏอยู่ในหอชำระธุลีคละคลุ้ง
กลิ่นมาจากแผลบาดเจ็บบนร่างกายของเขาและโก่วหานสือ และมาจากโลหิตของพวกผู้เข้าสอบที่ต่อสู้ก่อนหน้านี้ แต่มากที่สุดก็คือมาจากเพลงกระบี่ของเขา
“นี่มิใช่เพลงกระบี่ที่แท้จริงของสำนักฝึกหลวงรึ…” ท่าทางของมุขนายกโถงศักดิ์สิทธิ์ท่านหนึ่งพลันตกใจกลัว เอ่ยพึมพำ
สวีซื่อจีก็ไม่อาจนิ่งเงียบได้ต่อไป ร้องตะโกนออกมา “กระบี่นี้มิใช่ถูกห้ามใช้แล้วหรือ”
เจ้าสำนักเด็ดดารากล่าว “คงยังอยู่ในหอตำราของสำนักฝึกหลวง”
เพลงกระบี่ที่แท้จริงของสำนักฝึกหลวงที่เฉินฉางซิงกำลังใช้นี้ ยังมีอีกชื่อหนึ่งที่โด่งดังยิ่งกว่า นามว่ากระบี่พิฆาต ยังเป็นเคล็ดวิชากระบี่ลับของเจ้าสำนักฝึกหลวงท่านก่อนนั้น กล่าวกันว่าหลายปีก่อนขณะเจ้าสำนักผู้ลอบสังหารถูกใต้เท้าสังฆราชปราบปราม เขาใช้เพลงกระบี่นี้ทำให้ใต้เท้าสังฆราชได้รับบาดเจ็บสาหัส
ถ้าหากกล่าวว่ากระบี่ของโก่วหานสือขึ้นอยู่กับความโดดเดี่ยวและความยืนหยัด
เช่นนั้นแล้วกระบี่ที่เฉินฉางเซิงใช้ ก็ขึ้นอยู่กับการสังหารและความบ้าระห่ำ
เมื่อกระบี่ทั้งสองมาปะทะกันเช่นนี้ แล้วผู้ใดจะเหนือกว่าเล่า
สายฝนที่หลงเหลือในหอชำระธุลีพลันหายไป บนพื้นมีทรายหลงเหลือจากสายฝนฤดูใบไม้ร่วงที่เพิ่งตกลงมา
สายลมของกระบี่ลอยหมุนวนไม่ขาดสาย พลังจิตใจกระจัดกระจายไปทั่ว ชายหลังคาสีดำถูกสายลมพัดผ่านเกิดเสียงเบาๆ ไม่หยุด
โก่วหานสือกับเฉินฉางเซิงได้แยกจากกันแล้ว มีโลหิตรินไหลออกมา ได้รับบาดเจ็บสาหัส
ไร้ผู้คนเห็นชัดว่าก่อนหน้านี้เกิดสิ่งใดขึ้น แต่กระบี่ทั้งสองด้ามนั้นก็ยังคงไม่ปะทะกัน
สายตาของม่ออวี่เคลื่อนไปรอบๆ จากนั้นร่วงหล่นบนรอยเท้าของโก่วหานสือ มั่นใจว่าสุดท้ายแล้วเขาได้ก้าวถอยหลัง อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง คิ้วเรียวขมวดขึ้นเล็กน้อย ในดวงตาก่อเกิดความรู้สึกที่แฝงไว้ด้วยความสลับซับซ้อน ริมฝีปากกลับเผยอออกมา
ในหอทั่วทั้งผืนเงียบสนิท ผู้คนตกตะลึงอย่างต่อเนื่อง
ชิวชานจวินกับสวีโหย่วหรงไม่ได้เข้าร่วมการสอบใหญ่ในปีนี้ มีผู้คนจำนวนมากคิดว่าการสอบใหญ่ในปีนี้คงจะไร้สีสัน แต่ผู้ใดจะคาดคิด การต่อสู้รอบสุดท้ายของการสอบใหญ่สุดท้ายแล้วจะต่อสู้มาจนถึงระดับนี้
จากเริ่มต้นถึงขณะนี้ เฉินฉางเซิงกับโก่วหานสือออกกระบี่ใกล้จะครึ่งร้อยคราแล้ว ทว่ากระบี่ของพวกเขากับมิได้ปะทะกันจริงๆ แม้แต่ครั้งเดียว แต่พวกเขาได้รับบาดเจ็บไม่รู้ต่อกี่ครั้ง จนถึงขนาดว่าห่างจากความตายเพียงแค่ชั่วพริบตาหลายต่อหลายครั้ง กลอุบายจิตใจระดับนี้ การฝึกฝนระดับนี้ ที่จริงแล้วทำให้ผู้คนชื่นชมจนไร้คำเอื้อนเอ่ย
คนทั้งสองนี้แท้จริงแล้วฝึกบำเพ็ญเพียรมาอย่างไรกัน พวกเขาฝึกฝนจนมีเคล็ดวิชากระบี่ที่ไร้การสืบทอดเช่นนี้ได้อย่างไร โก่วหานสือถึงขนาดคิดค้นวิชากระบี่ที่งดงามสมบูรณ์แบบเช่นนี้ออกมา!
แน่นอนว่า พวกเขาอาศัยพลังของวิทยายุทธ์และระดับการฝึกบำเพ็ญเพียร มองข้ามเพลงกระบี่ของโก่วหานสือและเฉินฉางเซิง อาศัยเพียงแค่พละกำลังบดขยี้โดยตรง แต่หากเป็นระดับวิทยายุทธ์ที่อยู่ระดับเดียวกันเล่า จะต้องรู้ว่าโก่วหานสือกับเฉินฉางเซิงต่างมีอายุไม่เต็มยี่สิบปี รู้จักเพลงกระบี่จำนวนมากมายเช่นนี้ รู้ว่าควรจะเลือกออกกระบวนท่าอย่างไร อีกทั้งยังเลือกได้เกือบจะสมบูรณ์ ความสามารถเช่นนี้ที่จริงแล้วทำให้ผู้คนต่างก็ตกตะลึงพรึงเพริดไปตามๆ กัน
เฉินฉางเซิงออกพละกำลังที่ดุดันเช่นนี้ เพียงกระบวนท่าที่ปรารถนาจะเสียชีวิตไปพร้อมกัน แสดงออกมาต่อเนื่อง สิ่งที่น่าหวาดกลัวก็คือ ผู้คนล้วนชัดเจนในสิ่งที่เขาเลือกและเจตจำนงกระบี่ของเขา หนุ่มน้อยผู้นี้ปรารถนาจะเอาประกาศแรกอันดับแรกของการสอบใหญ่ ด้วยเหตุนี้แม้แต่เสียชีวิตเขาก็ไม่เกรงกลัว!
“เป็นเช่นนี้ต่อไปจะต้องมีคนเสียชีวิตเป็นแน่” เฉินหลิวอ๋องมองผู้คนที่อยู่ในสนามจากนั้นเอ่ยออกมา
ผู้คนรู้ดีว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นเรื่องจริง จึงรู้สึกกังวลใจ แน่นอนว่าพวกเขายับยั้งการต่อสู้ที่บ้าคลั่งที่จะดำเนินต่อไปนี้ได้ แต่อันดับแรกประกาศแรกของการสอบใหญ่ยังมิได้ตัดสินออกมา โก่วหานสือและเฉินฉางเซิงจะยินยอมได้อย่างไร ถ้าหากจะต้องตัดสินผู้แพ้ชนะ เฉินฉางเซิงอาศัยความตายในการเสาะแสวงหาโอกาสชนะมาตลอด แล้วจะตัดสินให้เขาพ่ายแพ้อย่างนั้นหรือ
……
……
เป็นเพลงกระบี่ที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง
เฉินฉางเซิงคิดไปถึงกระบี่ที่ซอมซ่อจากฟ้าสู่ดินของโก่วหานสือ ครุ่นคิดเงียบนิ่ง ถ้าหากช่วงเวลาสำคัญสุดท้ายนั้นโก่วหานสือไม่เก็บกระบวนท่า เวลานี้อาจจะเป็นตนที่พ่ายแพ้แล้วจริงๆ
“เพราะเหตุใดสุดท้ายเจ้าถึงถอยเล่า” เขาจ้องมองโก่วหานสือพลางถามออกมา
โก่วหานสือครุ่นคิด เอ่ยตอบ “กระบี่นี้ของข้าใช้หั่นข้าวต้มแช่แข็ง”
เฉินฉางเซิงเงียบนิ่งชั่วครู่ กล่าวถาม “จากนั้นเล่า”
“ข้าวต้มแช่แข็งในปีนั้นเป็นท่านแม่ของข้าที่ต้มให้”
“จากนั้นเล่า”
โก่วหานสือ กล่าวตอบ “นางยังมีชีวิตอยู่ ด้วยเหตุนี้ข้าจะต้องมีชีวิตอยู่”
เฉินฉางเซิงเงียบนิ่งเป็นระยะเวลายาวนาน เอ่ยว่า “ขออภัย”
“เจ้าล่ะ เพราะเหตุใดเล่า” โก่วหานสือมองเขาพลางถามออกมา “อันดับแรกประกาศแรกของการสอบใหญ่สำหรับเจ้าแล้วสำคัญถึงเพียงนี้เชียวรึ ยังมีความสำคัญกว่าชีวิตอีกหรือ”
เฉินฉางเซิงถามกลับ “เจ้าเล่า สำหรับเจ้าแล้วสำคัญหรือไม่”
โก่วหานสือเอ่ย “สำหรับผู้ฝึกบำเพ็ญทุกคนนั้น เกียรติยศเช่นนี้ล้วนแต่สำคัญ อีกทั้งพรรคกระบี่หลีซานของข้ายังได้ประกาศอันดับแรกมาสองสมัยแล้ว ถึงอย่างไรก็ไม่อาจขาดช่วงอยู่ที่ข้า”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”
เฉินฉางเซิงหลังจากครุ่นคิดจึงเอ่ยว่า “ขออภัย ประกาศแรกอันดับแรกของการสอบใหญ่สำหรับข้าแล้วสำคัญยิ่ง ด้วยเหตุนี้ข้าไม่อาจถอยได้ ข้าไร้หนทางที่จะถอย เจ้ามีหนทางถอย ด้วยเหตุนี้จึงไม่ยุติธรรมสำหรับเจ้า”
โก่วหานสือกล่าว “ข้าไม่ค่อยเข้าใจความหมายของเจ้านัก แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด คล้ายกับว่ารู้สึกได้เลือนราง”
เฉินฉางเซิงชูกระบี่สั้นในมือ กวัดแกว่งไปยังพื้น เอ่ยออกมา “การต่อสู้ก่อนหน้านี้ จวงห้วนอวี่เคยเอ่ยต่อข้า เท้าเปล่าไม่กลัวที่จะสวมรองเท้า ตอนนี้คิดแล้ว เขาพูดเป็นเรื่องจริง”
เม็ดทรายปลิวขึ้น เสียงจักจั่นด้านนอกหอยิ่งดังขึ้น ก้อนเมฆที่ล่องลอยบนท้องฟ้าไม่สงบ มองท่าทางของเขา รับรู้ได้ถึงพลังกระบี่ของเขา โก่วหานสือคาดเดาอะไรบางสิ่งบางอย่างได้เลือนราง ท่าทางเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เฉินฉางเซิงจ้องมองเขาเอ่ยอย่างจริงจัง “ข้าไร้หนทางถอยจริงๆ และก็ไม่มีสิ่งใดจะเสียอีกแล้ว ด้วยเหตุนี้ข้าจะเกรงกลัวการสวมรองเท้าทำไมเล่า ตั้งแต่ต้นจนจบข้าก็เป็นเด็กหนุ่มที่ต่อสู้ด้วยเท้าเปล่าคนหนึ่ง”
โก่วหานสือเอ่ยออกมา “รองเท้าสำหรับมนุษย์เราแล้ว เดิมทีก็เป็นสิ่งฟุ่มเฟือย”
“ด้วยเหตุนี้ข้าจึงขออภัยต่อเจ้า” เฉินฉางเซิงเอ่ย
อยู่ด้านนอกหอชำระธุลี ถังซานสือลิ่วให้คำแนะนำทางด้านยุทธศาสตร์การต่อสู้แก่เขาชัดเจนยิ่ง ใช้ความรู้สึกขยับก่อน ใช้เหตุผลบอกภายหลัง จากนั้นใช้กำลังต่อสู้ สิ่งสำคัญที่สุดคือโจมตีทางจิตใจ จากนั้นจึงลงกระบี่ เฉินฉางเซิงมิได้ทำเช่นนั้น จนกระทั่งตอนนี้ถึงเริ่มสนทนากับโก่วหานสืออย่างจริงจัง เพราะว่านี่เป็นการแสดงว่าเคารพ ด้วยเหตุนี้จึงเริ่มคุย เพราะว่าเขารับรู้ถึงผลการแพ้ชนะในกระบี่ต่อไปนี้
โก่วหานสือเอ่ยถาม “กระบี่ต่อไป ข้าเตรียมที่จะใช้กระบี่คารวะจอมปราชญ์ เจ้าเล่า”
เฉินฉางเซิงเอ่ยตอบ “กระบวนท่าสุดท้ายของเพลงกระบี่เขาหลีซาน”
โก่วหานสือรู้ว่าเดิมทีตนคาดเดาไม่ผิด
เขาเงียบนิ่งเป็นเวลานาน จ้องมองไปยังท้องฟ้าสีครามด้านนอกหอ รู้สึกว่าหิวเล็กน้อย อยากกินข้าวต้ม
หลังจากเวลาผ่านไปเนิ่นนาน เขาส่ายศีรษะ นำกระบี่เก็บเข้าฝัก หมุนกายเดินจากหอชำระธุลี
ในหอเหลือเพียงแค่เฉินฉางเซิง เขาจ้องมองในสนามว่างเปล่าไร้ผู้คน จ้องมองกำแพงหินสีเทาขาวด้านหน้า เอียงศีรษะเล็กน้อย คล้ายกับว่าสติหลุดลอย
สงบเงียบเป็นอย่างยิ่ง เสียงอื่นใดล้วนไม่มี
เขาจ้องมองเป็นเวลานานถึงรู้สึกตัว รู้สึกว่าเหนื่อยล้า อยากจะพักผ่อนชั่วครู่
เขาถอยหลังไปหลายก้าว พิงกำแพง ค่อยๆ เก็บกระบี่ลงในฝัก จากนั้นเขานั่งลง เช็ดลำคอ กลับแยกแยะไม่ได้ว่าบนแขนเสื้อเป็นโลหิตหรือว่าหยาดเหงื่อ
……