ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 51 ว้าวุ่นเล็กน้อย

ประตูของหอตำราเปิดอยู่ ถังซานสือลิ่วกลับตั้งใจปีนเข้ามาทางหน้าต่าง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาเกียจคร้านหรือเป็นเพราะสาเหตุอื่น หากเป็นเวลาปรกติ การปีนหน้าต่างคงเป็นเรื่องง่ายอย่างยิ่งสำหรับเขา แต่วันนี้กลับลำบากยากเย็น เขานั่งอยู่บนพื้น หายใจออกมาด้วยความยากลำบาก ไอออกมาสองสามที

“เจ้าบาดเจ็บจริงๆ” เฉินฉางเซิงเดินไปถึงด้านหน้าของเขาจึงนั่งยองๆ ต้องการที่จะจับชีพจรของเขา

ถังซานสือลิ่วทัดทานมือเขาไว้ กล่าวว่า “ข้าไม่เป็นไร เพียงแค่ง่วงนิดหน่อย”

เฉินฉางเซิงรู้ว่าสิ่งที่เขาเอ่ยออกมาไม่เป็นเรื่องจริง แต่เจ้าเด็กคนนี้ก็คล้ายกับง่วงอย่างยิ่ง จึงพิงผนังกำแพงเช่นนี้ หลับตาลงและหลับไปอย่างเงียบๆ

แสงอาทิตย์อ่อนๆ ด้านนอกหน้าต่าง ส่องกระทบบนใบหน้าของถังซานสือลิ่ว ทำให้ใบหน้าของเขาขาวซีดยิ่งกว่าเดิม

เฉินฉางเซิงส่ายศีรษะเบาๆ ไปหยิบผ้าห่มผืนบางจากห้องข้างๆ คลุมบนร่างกายของเขาอย่างเบามือ

แสงท้องฟ้าค่อยๆ ชัดเจน กาลเวลาหมุนไปเชื่องช้า ลั่วลั่วพาเซวียนหยวนผ้อไปสวนร้อยหญ้าแปรเปลี่ยนเป็นคนของนาง มีบางอย่างจะมอบหมายให้เขา

ถังซานสือลิ่วตื่นขึ้นมา มองไปยังเฉินฉางเซิงที่ตั้งใจอ่านตำราอยู่ที่พื้น เอ่ยถาม “เมื่อคืนเพราะเหตุใดไม่ไป”

เฉินฉางเซิงวางตำราลง กล่าวถาม “ไปที่ไหนรึ”

“สำนักเทียนเต้า เมื่อคืนเป็นการชุมนุมไม้เลื้อยคืนที่สอง”

ถังซานสือลิ่วถลกผ้าห่มผืนบางที่อยู่บนร่างกายวางไว้ข้างๆ หาวนอนพลันยืดตัวลุกขึ้นยืน ท่าทางเหมือนกับดีขึ้นมาก พลางกล่าว “ค่ำคืนแรก สำนักฝึกหลวงทำเรื่องที่โดดเด่นอย่างยิ่ง เมื่อคืนทุกคนล้วนแต่รอคอยพวกเจ้า”

เฉินฉางเซิง กล่าวว่า “ไม่อยากไปดังนั้นจึงไม่ไป”

ถังซานสือลิ่วจ้องมองเขาพลางเอ่ย “เจ้าเป็นคนที่แปลกประหลาดจริงๆ”

สำหรับการชุมนุมไม้เลื้อย เพียงแค่คิดว่าเอ่ยว่าจะไม่ไปก็ไม่ไป สำหรับคนทั่วไปมองแล้วเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดอย่างยิ่ง

“สำหรับข้าเจ้ายิ่งแปลกประหลาด”

เฉินฉางเซิงคิดไปถึงเมื่อครั้งที่เขาไปสำนักเทียนเต้า เจ้าเด็กคนนี้กำลังมานะบากบั่นฝึกบำเพ็ญเพียร เอ่ยว่า “เจ้าเตรียมตัวเป็นระยะเวลายาวนานสำหรับการชุมนุมไม้เลื้อย แต่แล้วค่ำคืนแรกกลับไม่ปรากฏออกมา แท้จริงแล้วเกิดเรื่องอันใด”

ฟังคำถามนี้แล้ว ถังซานสือลิ่วเงียบนิ่งชั่วครู่ กล่าวว่า “ข้าไม่ชอบเจ้าเด็กแปลกประหลาดหอจงซื่อ”

เฉินฉางเซิง เอ่ย “แล้ว…”

ถังซานสือลิ่ว กล่าวว่า “แล้วข้าเคยลั่นวาจาไว้ ถ้าหากมีโอกาสจะจัดการเขา”

เฉินฉางเซิงจึงเอ่ย “ข้ารู้เรื่องนี้แล้ว ค่ำคืนนั้นเทียนไห่หยาเอ๋อร์ได้เอ่ยออกมา”

ความรู้สึกของถังซานสือลิ่วไม่ดีเล็กน้อย กล่าวว่า “ในเมื่อเขากล้าปรากฏที่การชุมนุมไม้เลื้อย ข้าจึงเตรียมตัวที่จะจัดการเขา แต่…มีบางคนไม่กล้าให้ข้าจัดการเขา ดังนั้นค่ำคืนนั้นจึงไม่ให้ข้าเข้าร่วม ให้ข้าอยู่ในห้องพัก”

เฉินฉางเซิงเงียบนิ่งไม่เอ่ยสิ่งใด ในใจครุ่นคิดตามอุปนิสัยของเจ้าเด็กคนนี้ กฎระเบียบของสำนักเทียนเต้าหรือว่าความน่าเกรงขามของอาจารย์จะเปลี่ยนแปลงความตั้งใจเขาได้อย่างไร คำที่กล่าวว่าไม่ให้เขาเข้าร่วม เกรงว่าบรรดาอาจารย์ในสำนักเทียนเต้าจะลงมือควบคุมเขาด้วยตนเอง

เขาเข้าใจความรอบคอบของอาจารย์สำนักเทียนเต้า เพราะว่าความเป็นมาของเทียนไห่หยาเอ๋อร์น่าหวาดกลัวเกินไป นอกจากลั่วลั่วที่ความเป็นมาน่าหวาดกลัวมากกว่าแล้ว หาวิธีตอบโต้ที่ดีไม่เจอจริงๆ ถ้าหากถังซานสือลิ่วจัดการเทียนไห่หยาเอ๋อร์ในการชุมนุมไม้เลื้อยจริง ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น

แต่เขาเข้าใจความรู้สึกโกรธแค้นของถังซานสือลิ่ว

“เมื่อคืนเกิดเหตุการณ์อะไรหรือ” เขามองแก้มที่ขาวเล็กน้อยของถังซานสือลิ่ว พลางเอ่ยถาม

ถังซานสือลิ่วกล่าว “เมื่อคืนคือการทดสอบยุทธ์ ผู้ที่ได้อันดับแรกก็คือศิษย์ของสำนักจวนราชวังหลี”

เฉินฉางเซิงไม่อยากให้เขาตกอยู่ในอารมณ์ไม่ดีจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ไม่ได้สนใจเกี่ยวกับการชุมนุมไม้เลื้อย จึงตอบขานว่าเข้าใจ

ถังซานสือลิ่วขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยถาม “เจ้าไม่ได้เตรียมที่จะถามหรือ”

“ถามอะไร”

“เพราะเหตุใดหนุ่มน้อยศิษย์สำนักจวนราชวังหลีถึงสามารถได้รับอันดับแรก”

“สำนักจวนราชวังหลี…เป็นนักเรียนที่ใต้เท้าสังฆราชถ่ายทอดความรู้ให้โดยตรง ได้รับอันดับแรกจะต้องแปลกใจอะไรเล่า”

ถังซานสือลิ่วชี้มาที่ตน พลางกล่าว “มีคนที่สามารถชนะข้าได้ นี่ยังไม่พอให้แปลกใจอีกรึ”

เฉินฉางเซิงในใจครุ่นคิดเจ้าเด็กคนนี้ยังหลงตัวเองเช่นนี้ หมดปัญญาจึงเอ่ยถาม “ดีล่ะ เช่นนั้น…เพราะเหตุใดหรือ”

ถังซานสือลิ่วพึงพอใจ กล่าวว่า “เพราะว่าข้าไม่ได้เข้าร่วม”

ครั้งนี้เฉินฉางเซิงตกตะลึงจริงๆ ถามด้วยความไม่เข้าใจ “เพราะเหตุใด”

“จวงห้วนอวี่และยังมีเจ้าเด็กที่อยู่บนประกาศชิงอวิ๋นเหล่านั้นก็ไม่ได้เข้าร่วม อาจจะเป็นความเย่อหยิ่งในศักดิ์ศรีและก็เพื่อเตรียมตัวสำหรับค่ำคืนที่สาม และข้าก็ไม่ได้เข้าร่วม เพราะในสำนักยังคงไม่ให้ข้าเข้าร่วม ให้ข้าอยู่ในห้องพัก”

สีหน้าถังซานสือลิ่วน่าเกลียดเล็กน้อย

เฉินฉางเซิงหมดหนทางที่จะเข้าใจ ถ้าหากกล่าวว่าค่ำคืนแรกสำนักเทียนเต้าไม่ให้ถังซานสือลิ่วต่อสู้กับเทียนไห่หยาเอ๋อร์ ถึงแม้จะเกินไปเสียหน่อย แต่ที่จริงแล้วเป็นเรื่องที่สุขุมรอบคอบ แต่ค่ำคืนที่สองมีเหตุผลเพียงน้อยนิด หรือว่าสำนักฝึกหลวงไม่กังวลว่าถังซานสือลิ่วจะเอาใจออกหาก

“เพราะเหตุใด”

“เพราะว่าข้าจะท้าประลองกับจวงห้วนอวี่”

หอตำราทั่วทั้งผืนเงียบสงัด

หลังจากที่เฉินฉางเซิงแน่ใจว่าตนมิได้ฟังผิด ก็รู้สึกว่าถังซานสือลิ่วเป็นคนแปลกประหลาดมากยิ่งขึ้นหรืออาจจะพูดได้ว่าเป็นคนที่น่าสนใจ

เขาคิดไม่ถึงว่าจะท้าประลองกับศิษย์พี่สำนักเดียวกันและยังเป็นตัวแทนของสำนักตนอีกด้วย

เฉินฉางเซิงในใจครุ่นคิดถ้าหากตนเป็นอาจารย์สำนักเทียนเต้าก็คงไม่เห็นด้วย

และการชุมนุมไม้เลื้อยก็คงไม่มีกฎระเบียบเช่นนี้

“เพราะเหตุใด”

“เพราะข้ามองเขาแล้วไม่ถูกชะตา”

“เหตุผลนี้…”

“เหตุผลนี้เป็นอย่างไร”

“สุดยอดอย่างยิ่ง”

เฉินฉางเซิงไม่มีเหตุผลที่จะไปหักล้าง เข้ารู้ว่าถังซานสือลิ่วท้าประลองกับจวงห้วนอวี่จะต้องมีสาเหตุที่ลึกซึ้งกว่านี้ ในเมื่อเจ้าเด็กคนนี้ไม่ยินยอมเอ่ย เขาก็คงหมดหนทาง

“ข้าใช้เวลาครึ่งค่อนคืน ถึงจะทะลวงการควบคุมในสำนักได้ รีบไปที่สนามการท้าประลอง แต่เวลานั้น การชุมนุมไม้เลื้อยสิ้นสุดลงแล้ว”

ถังซานสือลิ่วคิดไปถึงสิ่งที่ประสบมาเมื่อคืน นิ่งเงียบชั่วครู่ เอ่ยว่า “ข้าคิดว่าบรรยากาศในสำนักมีกลิ่นเหม็น ไม่อยากอยู่ต่อ เพียงแค่ข้าไม่คุ้นเคยกับเมืองจิงตู ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน ดังนั้นจึงมาหาเจ้า”

เฉินฉางเซิงมั่นใจว่าเขาใช้กำลังในการทะลวงการควบคุมของบรรดาอาจารย์จึงทำให้ได้รับบาดเจ็บ

สำนักเทียนเต้ายิ่งใหญ่น่าเกรงขาม แต่ไม่เหมาะสมกับถังซานสือลิ่ว

ถึงแม้จิงตูจะใหญ่ แต่เขาไม่มีที่ไป

เขาอยู่ในความมืดก่อนที่ฟ้าจะสาง เดินอยู่ในตรอกอย่างไร้จุดหมายปลายทาง ถึงพบว่าตนรู้จักเพียงแค่เฉินฉางเซิงผู้เดียว

เฉินฉางเซิงเดินไปข้างหน้าของเขา พับผ้าห่มผืนบางให้เรียบร้อย หลังจางนั้นนั่งลงข้างกายเขา พิงกับผนังกำแพงด้านล่างหน้าต่าง ไม่เอ่ยสิ่งใด

ไม่ได้มอง ไม่ได้เจรจา แต่ถังซานสือลิ่วรู้ว่าเขากำลังคิดอะไร

“ไม่ต้องเห็นใจข้า ยิ่งไม่ต้องเวทนา…ข้าเป็นผู้มีพรสวรรค์บนประกาศชิงอวิ๋น”

“ผู้มีพรสวรรค์ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ต้องการความเห็นใจ”

“แต่เจ้าไม่มีคุณสมบัติเห็นใจข้า ทั่วทั้งจิงตู เจ้าก็รู้จักแต่ข้าผู้เดียว”

ถังซานสือลิ่วเอ่ยเยาะหยัน คิดความจริงนี้ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงยินดีขึ้นมา

เวลาเดียวกัน ลั่วลั่วกับเซวียนหยวนผ้อกำลังเดินเข้ามาจากประตูใหญ่ของหอตำรา

ในมือของเซวียนหยวนผ้อเห็นได้ชัดว่าถือกล่องอาหารที่ใหญ่กว่าเวลาปกติ

ลั่วลั่วเดินไปด้านหน้าของเฉินฉางเซิง กล่าวว่า “อาจารย์ ควรรับประทานอาหารกลางวันแล้ว”

เฉินฉางเซิงมองถังซานสือลิ่วแวบหนึ่ง กางมือทั้งสองข้างออก แสดงว่าตนมิได้ตั้งใจ

ถังซานสือลิ่วคิดมาตลอดว่าลักษณะนิสัยของเฉินฉางเซิงมีข้อบกพร่องมากกว่าตนร้ายแรงนัก สองเดือนที่อยู่สำนักเทียนเต้าเขายังไม่รู้จักเพื่อนแม้แต่คนเดียว แต่เจ้าเด็กคนนี้รู้จักสองคนแล้ว หนึ่งในนั้นยังเป็นหญิงสาวที่งดงามอย่างยิ่ง เช่นนี้ทำให้เขาได้รับความพ่ายแพ้อย่างรุนแรง

หลังจากนั้นเขาคิดภาพการชุมนุมไม้เลื้อยค่ำคืนแรกที่รองเจ้าสำนักจวงได้กล่าวไว้

“เป็นเจ้าที่จัดการเทียนไห่หยาเอ๋อร์” เขามองลั่วลั่วเอ่ยถาม

พลังปราณแท้ต้านทานพลังปราณแท้ จัดการเจ้าเด็กประหลาดหอจงซื่อ ถึงแม้จะเป็นเขาก็ยากที่จะทำได้ หญิงสาวสำนักฝึกหลวงผู้นี้ไม่ธรรมดา และหลังจากเรื่องราวผ่านพ้นไปคิดไม่ถึงว่ายังสามารถอยู่สุขสบายดี พิสูจน์ได้ว่าความเป็นมาของหญิงสาวผู้นี้ยิ่งไม่ธรรมดา

ตอนนี้มีผู้คนจำนวนมากคาดเดาเบื้องหลังของสำนักฝึกหลวง สามารถไม่เกิดปัญหาจนถึงทุกวันนี้ได้ มีบางคนสงสัยความเป็นมาของเฉินฉางเซิง แต่ถังซานสือลิ่วชัดเจนยิ่งนัก เจ้าเด็กคนนี้เป็นหนุ่มน้อยที่มาจากหมู่บ้านชนบทในเมืองซีหนิง อย่างนั้นก็คงเป็นหญิงสาวผู้นี้

ดังนั้นท่าทางที่เอ่ยถามของเขาจึงจริงจังและเคร่งขรึมอย่างยิ่ง

ลั่วลั่วมิได้สนใจเขา เดินเข้าไปนั่งยองๆ ด้านหน้าของเฉินฉางเซิง เปิดกล่องอาหารออก เช็ดตะเกียบให้สะอาดสะอ้าน ส่งไปในมือของเฉินฉางเซิง

มองภาพนี้ หัวคิ้วของถังซานสือลิ่วทนไม่ได้ที่จะขมวดขึ้นมา

เฉินฉางเซิงรู้สึกเก้อเขิน ส่งตะเกียบในมือให้กับเขา เอ่ยแนะนำ “เขานามว่าถังซานสือลิ่ว”

“ข้ารู้แล้ว อาจารย์” ลั่วลั่วกล่าวตอบ

นางย่อมรู้จักถังซานสือลิ่ว หากจะพูดให้ถูก ก่อนหน้านาง เขารู้จักเพียงแค่ถังซานสือลิ่ว

เฉินฉางเซิงในใจครุ่นคิดถังซานสือลิ่วเป็นผู้มีฝีมือของประกาศชิงอวิ๋น ลั่วลั่วก็ไม่ใช่คนธรรมดา หากรู้จักกันก็มิใช่เรื่องแปลก

ลั่วลั่วเข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ เอ่ย “ข้ารู้ว่าเขาคือใคร แต่ไม่รู้จักเขา”

เฉินฉางเซิงกล่าว “ข้าคิดว่าเจ้ารู้จักจวงห้วนอวี่ ก็คงจะรู้จักเขา”

ลั่วลั่วมองถังซานสือลิ่วแวบหนึ่ง เอ่ยออกมา “ตำแหน่งของจวงห้วนอวี่อยู่ข้างข้า ไม่อยากรู้จักก็คงจะยาก เขา…ห่างออกไปไกล”

เฉินฉางเซิงรู้สึกว่าตนเองเหมือนเคยได้ยินประโยคทำนองนี้ แต่ยังไม่เข้าใจ ถังซานสือลิ่วก็ไม่เข้าใจ แต่เข้าใจสิ่งที่หญิงสาวดูถูก อดไม่ได้ที่จะโมโห ด้วยเหตุนี้เขาจึงเลือกอาหารที่แพงที่สุดหลายอย่างในกล่องอาหารรับประทาน ราวกับลมพายุพัดพาเมฆไป

ลั่วลั่วไม่ยินดีอย่างยิ่ง

เซวียนหยวนผ้อรับประทานอาหารอย่างซื่อๆ ไม่ปริปากเอ่ยใดๆ

รับประทานอาหารกลางวันเรียบร้อยแล้ว ถังซานสือลิ่วแย่งชาดำอันซีเฉ่าที่ลั่วลั่วส่งให้เฉินฉางเซิงอย่างไม่เกรงใจ เขาดื่มล้างปากสองที

ลั่วลั่วมองเขายิ้มเยือกเย็นออกมา

เฉินฉางเซิงจนปัญญาอย่างยิ่ง เอ่ยถามถังซานสือลิ่ว “แล้วต่อไปเป็นอย่างไร”

“ค่ำคืนวันที่สามจะต้องเข้าร่วม ข้าไม่เชื่อว่าสำนักจะทำอย่างนี้กับข้า”

“เพราะเหตุใดถึงมั่นใจเช่นนี้”

“ครั้งนี้เจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพมาสี่คน จวงห้วนอวี่เพียงคนเดียวจะเอาอยู่หรือ”

เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจ เอ่ยถาม “เพราะอะไร”

ถังซานสือลิ่วนำชาดำวางบนพื้น จ้องมองเขาพลางกล่าว “เจ้าไม่รู้หรอกหรือ ปีนี้คณะเจรจาจากทิศใต้จะมาถึงจิงตูก่อนกำหนด”

เฉินฉางเซิงคิดไปถึงวันนั้นที่อาจารย์ซินได้เอ่ยว่าอาจมีการเปลี่ยนแปลง เพิ่งจะรู้ว่าแท้จริงแล้วคือเรื่องนี้ ถามด้วยความสงสัย “ปีที่แล้วไม่ใช่ว่าหลังจากฤดูหนาวถึงจะมามิใช่หรือ ห่างจากการสอบใหญ่เป็นเวลานาน พวกเขามาก่อนเช่นนี้ทำอะไรหรือ”

ถังซานสือลิ่ว เอ่ย “เมื่อแรกเริ่ม ไม่มีผู้ใดเข้าใจ แต่ตอนนี้ ทั่วทั้งต้าลู่ล้วนแต่ล่วงรู้”

เฉินฉางเซิงกล่าวถาม “สาเหตุเพราะอะไร”

ถังซานสือลิ่ว เอ่ย “คณะเจรจาจากทิศใต้อยากมาสู่ขออย่างเป็นทางการในคืนเจ็ดค่ำเดือนเจ็ด”

“สู่ขอรึ” เฉินฉางเซิงถามออกไป

ถังซานสือลิ่วกล่าว “ใช่แล้ว สวีโหย่วหรง…ในที่สุดก็จะต้องสมรสแล้ว”

เฉินฉางเซิงตะลึงงัน หลังจากนั้นเงียบนิ่งเป็นเวลานาน

ทันใดนั้น เขายืดตัวลุกขึ้นเดินออกไปจากหอตำรา

“อาจารย์ ท่านจะทำอะไร” ลั่วลั่วเอ่ยถาม

เฉินฉางเซิงไม่ได้หันหน้ามา กล่าวว่า “อาหารเค็มเล็กน้อย ข้าอยากจะสงบเสียหน่อย”

อาหารวันนี้เค็มเล็กน้อย

เสียงของเขาเบาเล็กน้อย

ประโยคนี้ของเขาสับสนเล็กน้อย

เพราะว่าใจของเขาว้าวุ่นเล็กน้อย

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset