ประตูของหอตำราเปิดอยู่ ถังซานสือลิ่วกลับตั้งใจปีนเข้ามาทางหน้าต่าง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาเกียจคร้านหรือเป็นเพราะสาเหตุอื่น หากเป็นเวลาปรกติ การปีนหน้าต่างคงเป็นเรื่องง่ายอย่างยิ่งสำหรับเขา แต่วันนี้กลับลำบากยากเย็น เขานั่งอยู่บนพื้น หายใจออกมาด้วยความยากลำบาก ไอออกมาสองสามที
“เจ้าบาดเจ็บจริงๆ” เฉินฉางเซิงเดินไปถึงด้านหน้าของเขาจึงนั่งยองๆ ต้องการที่จะจับชีพจรของเขา
ถังซานสือลิ่วทัดทานมือเขาไว้ กล่าวว่า “ข้าไม่เป็นไร เพียงแค่ง่วงนิดหน่อย”
เฉินฉางเซิงรู้ว่าสิ่งที่เขาเอ่ยออกมาไม่เป็นเรื่องจริง แต่เจ้าเด็กคนนี้ก็คล้ายกับง่วงอย่างยิ่ง จึงพิงผนังกำแพงเช่นนี้ หลับตาลงและหลับไปอย่างเงียบๆ
แสงอาทิตย์อ่อนๆ ด้านนอกหน้าต่าง ส่องกระทบบนใบหน้าของถังซานสือลิ่ว ทำให้ใบหน้าของเขาขาวซีดยิ่งกว่าเดิม
เฉินฉางเซิงส่ายศีรษะเบาๆ ไปหยิบผ้าห่มผืนบางจากห้องข้างๆ คลุมบนร่างกายของเขาอย่างเบามือ
แสงท้องฟ้าค่อยๆ ชัดเจน กาลเวลาหมุนไปเชื่องช้า ลั่วลั่วพาเซวียนหยวนผ้อไปสวนร้อยหญ้าแปรเปลี่ยนเป็นคนของนาง มีบางอย่างจะมอบหมายให้เขา
ถังซานสือลิ่วตื่นขึ้นมา มองไปยังเฉินฉางเซิงที่ตั้งใจอ่านตำราอยู่ที่พื้น เอ่ยถาม “เมื่อคืนเพราะเหตุใดไม่ไป”
เฉินฉางเซิงวางตำราลง กล่าวถาม “ไปที่ไหนรึ”
“สำนักเทียนเต้า เมื่อคืนเป็นการชุมนุมไม้เลื้อยคืนที่สอง”
ถังซานสือลิ่วถลกผ้าห่มผืนบางที่อยู่บนร่างกายวางไว้ข้างๆ หาวนอนพลันยืดตัวลุกขึ้นยืน ท่าทางเหมือนกับดีขึ้นมาก พลางกล่าว “ค่ำคืนแรก สำนักฝึกหลวงทำเรื่องที่โดดเด่นอย่างยิ่ง เมื่อคืนทุกคนล้วนแต่รอคอยพวกเจ้า”
เฉินฉางเซิง กล่าวว่า “ไม่อยากไปดังนั้นจึงไม่ไป”
ถังซานสือลิ่วจ้องมองเขาพลางเอ่ย “เจ้าเป็นคนที่แปลกประหลาดจริงๆ”
สำหรับการชุมนุมไม้เลื้อย เพียงแค่คิดว่าเอ่ยว่าจะไม่ไปก็ไม่ไป สำหรับคนทั่วไปมองแล้วเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดอย่างยิ่ง
“สำหรับข้าเจ้ายิ่งแปลกประหลาด”
เฉินฉางเซิงคิดไปถึงเมื่อครั้งที่เขาไปสำนักเทียนเต้า เจ้าเด็กคนนี้กำลังมานะบากบั่นฝึกบำเพ็ญเพียร เอ่ยว่า “เจ้าเตรียมตัวเป็นระยะเวลายาวนานสำหรับการชุมนุมไม้เลื้อย แต่แล้วค่ำคืนแรกกลับไม่ปรากฏออกมา แท้จริงแล้วเกิดเรื่องอันใด”
ฟังคำถามนี้แล้ว ถังซานสือลิ่วเงียบนิ่งชั่วครู่ กล่าวว่า “ข้าไม่ชอบเจ้าเด็กแปลกประหลาดหอจงซื่อ”
เฉินฉางเซิง เอ่ย “แล้ว…”
ถังซานสือลิ่ว กล่าวว่า “แล้วข้าเคยลั่นวาจาไว้ ถ้าหากมีโอกาสจะจัดการเขา”
เฉินฉางเซิงจึงเอ่ย “ข้ารู้เรื่องนี้แล้ว ค่ำคืนนั้นเทียนไห่หยาเอ๋อร์ได้เอ่ยออกมา”
ความรู้สึกของถังซานสือลิ่วไม่ดีเล็กน้อย กล่าวว่า “ในเมื่อเขากล้าปรากฏที่การชุมนุมไม้เลื้อย ข้าจึงเตรียมตัวที่จะจัดการเขา แต่…มีบางคนไม่กล้าให้ข้าจัดการเขา ดังนั้นค่ำคืนนั้นจึงไม่ให้ข้าเข้าร่วม ให้ข้าอยู่ในห้องพัก”
เฉินฉางเซิงเงียบนิ่งไม่เอ่ยสิ่งใด ในใจครุ่นคิดตามอุปนิสัยของเจ้าเด็กคนนี้ กฎระเบียบของสำนักเทียนเต้าหรือว่าความน่าเกรงขามของอาจารย์จะเปลี่ยนแปลงความตั้งใจเขาได้อย่างไร คำที่กล่าวว่าไม่ให้เขาเข้าร่วม เกรงว่าบรรดาอาจารย์ในสำนักเทียนเต้าจะลงมือควบคุมเขาด้วยตนเอง
เขาเข้าใจความรอบคอบของอาจารย์สำนักเทียนเต้า เพราะว่าความเป็นมาของเทียนไห่หยาเอ๋อร์น่าหวาดกลัวเกินไป นอกจากลั่วลั่วที่ความเป็นมาน่าหวาดกลัวมากกว่าแล้ว หาวิธีตอบโต้ที่ดีไม่เจอจริงๆ ถ้าหากถังซานสือลิ่วจัดการเทียนไห่หยาเอ๋อร์ในการชุมนุมไม้เลื้อยจริง ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น
แต่เขาเข้าใจความรู้สึกโกรธแค้นของถังซานสือลิ่ว
“เมื่อคืนเกิดเหตุการณ์อะไรหรือ” เขามองแก้มที่ขาวเล็กน้อยของถังซานสือลิ่ว พลางเอ่ยถาม
ถังซานสือลิ่วกล่าว “เมื่อคืนคือการทดสอบยุทธ์ ผู้ที่ได้อันดับแรกก็คือศิษย์ของสำนักจวนราชวังหลี”
เฉินฉางเซิงไม่อยากให้เขาตกอยู่ในอารมณ์ไม่ดีจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ไม่ได้สนใจเกี่ยวกับการชุมนุมไม้เลื้อย จึงตอบขานว่าเข้าใจ
ถังซานสือลิ่วขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยถาม “เจ้าไม่ได้เตรียมที่จะถามหรือ”
“ถามอะไร”
“เพราะเหตุใดหนุ่มน้อยศิษย์สำนักจวนราชวังหลีถึงสามารถได้รับอันดับแรก”
“สำนักจวนราชวังหลี…เป็นนักเรียนที่ใต้เท้าสังฆราชถ่ายทอดความรู้ให้โดยตรง ได้รับอันดับแรกจะต้องแปลกใจอะไรเล่า”
ถังซานสือลิ่วชี้มาที่ตน พลางกล่าว “มีคนที่สามารถชนะข้าได้ นี่ยังไม่พอให้แปลกใจอีกรึ”
เฉินฉางเซิงในใจครุ่นคิดเจ้าเด็กคนนี้ยังหลงตัวเองเช่นนี้ หมดปัญญาจึงเอ่ยถาม “ดีล่ะ เช่นนั้น…เพราะเหตุใดหรือ”
ถังซานสือลิ่วพึงพอใจ กล่าวว่า “เพราะว่าข้าไม่ได้เข้าร่วม”
ครั้งนี้เฉินฉางเซิงตกตะลึงจริงๆ ถามด้วยความไม่เข้าใจ “เพราะเหตุใด”
“จวงห้วนอวี่และยังมีเจ้าเด็กที่อยู่บนประกาศชิงอวิ๋นเหล่านั้นก็ไม่ได้เข้าร่วม อาจจะเป็นความเย่อหยิ่งในศักดิ์ศรีและก็เพื่อเตรียมตัวสำหรับค่ำคืนที่สาม และข้าก็ไม่ได้เข้าร่วม เพราะในสำนักยังคงไม่ให้ข้าเข้าร่วม ให้ข้าอยู่ในห้องพัก”
สีหน้าถังซานสือลิ่วน่าเกลียดเล็กน้อย
เฉินฉางเซิงหมดหนทางที่จะเข้าใจ ถ้าหากกล่าวว่าค่ำคืนแรกสำนักเทียนเต้าไม่ให้ถังซานสือลิ่วต่อสู้กับเทียนไห่หยาเอ๋อร์ ถึงแม้จะเกินไปเสียหน่อย แต่ที่จริงแล้วเป็นเรื่องที่สุขุมรอบคอบ แต่ค่ำคืนที่สองมีเหตุผลเพียงน้อยนิด หรือว่าสำนักฝึกหลวงไม่กังวลว่าถังซานสือลิ่วจะเอาใจออกหาก
“เพราะเหตุใด”
“เพราะว่าข้าจะท้าประลองกับจวงห้วนอวี่”
หอตำราทั่วทั้งผืนเงียบสงัด
หลังจากที่เฉินฉางเซิงแน่ใจว่าตนมิได้ฟังผิด ก็รู้สึกว่าถังซานสือลิ่วเป็นคนแปลกประหลาดมากยิ่งขึ้นหรืออาจจะพูดได้ว่าเป็นคนที่น่าสนใจ
เขาคิดไม่ถึงว่าจะท้าประลองกับศิษย์พี่สำนักเดียวกันและยังเป็นตัวแทนของสำนักตนอีกด้วย
เฉินฉางเซิงในใจครุ่นคิดถ้าหากตนเป็นอาจารย์สำนักเทียนเต้าก็คงไม่เห็นด้วย
และการชุมนุมไม้เลื้อยก็คงไม่มีกฎระเบียบเช่นนี้
“เพราะเหตุใด”
“เพราะข้ามองเขาแล้วไม่ถูกชะตา”
“เหตุผลนี้…”
“เหตุผลนี้เป็นอย่างไร”
“สุดยอดอย่างยิ่ง”
เฉินฉางเซิงไม่มีเหตุผลที่จะไปหักล้าง เข้ารู้ว่าถังซานสือลิ่วท้าประลองกับจวงห้วนอวี่จะต้องมีสาเหตุที่ลึกซึ้งกว่านี้ ในเมื่อเจ้าเด็กคนนี้ไม่ยินยอมเอ่ย เขาก็คงหมดหนทาง
“ข้าใช้เวลาครึ่งค่อนคืน ถึงจะทะลวงการควบคุมในสำนักได้ รีบไปที่สนามการท้าประลอง แต่เวลานั้น การชุมนุมไม้เลื้อยสิ้นสุดลงแล้ว”
ถังซานสือลิ่วคิดไปถึงสิ่งที่ประสบมาเมื่อคืน นิ่งเงียบชั่วครู่ เอ่ยว่า “ข้าคิดว่าบรรยากาศในสำนักมีกลิ่นเหม็น ไม่อยากอยู่ต่อ เพียงแค่ข้าไม่คุ้นเคยกับเมืองจิงตู ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน ดังนั้นจึงมาหาเจ้า”
เฉินฉางเซิงมั่นใจว่าเขาใช้กำลังในการทะลวงการควบคุมของบรรดาอาจารย์จึงทำให้ได้รับบาดเจ็บ
สำนักเทียนเต้ายิ่งใหญ่น่าเกรงขาม แต่ไม่เหมาะสมกับถังซานสือลิ่ว
ถึงแม้จิงตูจะใหญ่ แต่เขาไม่มีที่ไป
เขาอยู่ในความมืดก่อนที่ฟ้าจะสาง เดินอยู่ในตรอกอย่างไร้จุดหมายปลายทาง ถึงพบว่าตนรู้จักเพียงแค่เฉินฉางเซิงผู้เดียว
เฉินฉางเซิงเดินไปข้างหน้าของเขา พับผ้าห่มผืนบางให้เรียบร้อย หลังจางนั้นนั่งลงข้างกายเขา พิงกับผนังกำแพงด้านล่างหน้าต่าง ไม่เอ่ยสิ่งใด
ไม่ได้มอง ไม่ได้เจรจา แต่ถังซานสือลิ่วรู้ว่าเขากำลังคิดอะไร
“ไม่ต้องเห็นใจข้า ยิ่งไม่ต้องเวทนา…ข้าเป็นผู้มีพรสวรรค์บนประกาศชิงอวิ๋น”
“ผู้มีพรสวรรค์ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ต้องการความเห็นใจ”
“แต่เจ้าไม่มีคุณสมบัติเห็นใจข้า ทั่วทั้งจิงตู เจ้าก็รู้จักแต่ข้าผู้เดียว”
ถังซานสือลิ่วเอ่ยเยาะหยัน คิดความจริงนี้ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงยินดีขึ้นมา
เวลาเดียวกัน ลั่วลั่วกับเซวียนหยวนผ้อกำลังเดินเข้ามาจากประตูใหญ่ของหอตำรา
ในมือของเซวียนหยวนผ้อเห็นได้ชัดว่าถือกล่องอาหารที่ใหญ่กว่าเวลาปกติ
ลั่วลั่วเดินไปด้านหน้าของเฉินฉางเซิง กล่าวว่า “อาจารย์ ควรรับประทานอาหารกลางวันแล้ว”
เฉินฉางเซิงมองถังซานสือลิ่วแวบหนึ่ง กางมือทั้งสองข้างออก แสดงว่าตนมิได้ตั้งใจ
ถังซานสือลิ่วคิดมาตลอดว่าลักษณะนิสัยของเฉินฉางเซิงมีข้อบกพร่องมากกว่าตนร้ายแรงนัก สองเดือนที่อยู่สำนักเทียนเต้าเขายังไม่รู้จักเพื่อนแม้แต่คนเดียว แต่เจ้าเด็กคนนี้รู้จักสองคนแล้ว หนึ่งในนั้นยังเป็นหญิงสาวที่งดงามอย่างยิ่ง เช่นนี้ทำให้เขาได้รับความพ่ายแพ้อย่างรุนแรง
หลังจากนั้นเขาคิดภาพการชุมนุมไม้เลื้อยค่ำคืนแรกที่รองเจ้าสำนักจวงได้กล่าวไว้
“เป็นเจ้าที่จัดการเทียนไห่หยาเอ๋อร์” เขามองลั่วลั่วเอ่ยถาม
พลังปราณแท้ต้านทานพลังปราณแท้ จัดการเจ้าเด็กประหลาดหอจงซื่อ ถึงแม้จะเป็นเขาก็ยากที่จะทำได้ หญิงสาวสำนักฝึกหลวงผู้นี้ไม่ธรรมดา และหลังจากเรื่องราวผ่านพ้นไปคิดไม่ถึงว่ายังสามารถอยู่สุขสบายดี พิสูจน์ได้ว่าความเป็นมาของหญิงสาวผู้นี้ยิ่งไม่ธรรมดา
ตอนนี้มีผู้คนจำนวนมากคาดเดาเบื้องหลังของสำนักฝึกหลวง สามารถไม่เกิดปัญหาจนถึงทุกวันนี้ได้ มีบางคนสงสัยความเป็นมาของเฉินฉางเซิง แต่ถังซานสือลิ่วชัดเจนยิ่งนัก เจ้าเด็กคนนี้เป็นหนุ่มน้อยที่มาจากหมู่บ้านชนบทในเมืองซีหนิง อย่างนั้นก็คงเป็นหญิงสาวผู้นี้
ดังนั้นท่าทางที่เอ่ยถามของเขาจึงจริงจังและเคร่งขรึมอย่างยิ่ง
ลั่วลั่วมิได้สนใจเขา เดินเข้าไปนั่งยองๆ ด้านหน้าของเฉินฉางเซิง เปิดกล่องอาหารออก เช็ดตะเกียบให้สะอาดสะอ้าน ส่งไปในมือของเฉินฉางเซิง
มองภาพนี้ หัวคิ้วของถังซานสือลิ่วทนไม่ได้ที่จะขมวดขึ้นมา
เฉินฉางเซิงรู้สึกเก้อเขิน ส่งตะเกียบในมือให้กับเขา เอ่ยแนะนำ “เขานามว่าถังซานสือลิ่ว”
“ข้ารู้แล้ว อาจารย์” ลั่วลั่วกล่าวตอบ
นางย่อมรู้จักถังซานสือลิ่ว หากจะพูดให้ถูก ก่อนหน้านาง เขารู้จักเพียงแค่ถังซานสือลิ่ว
เฉินฉางเซิงในใจครุ่นคิดถังซานสือลิ่วเป็นผู้มีฝีมือของประกาศชิงอวิ๋น ลั่วลั่วก็ไม่ใช่คนธรรมดา หากรู้จักกันก็มิใช่เรื่องแปลก
ลั่วลั่วเข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ เอ่ย “ข้ารู้ว่าเขาคือใคร แต่ไม่รู้จักเขา”
เฉินฉางเซิงกล่าว “ข้าคิดว่าเจ้ารู้จักจวงห้วนอวี่ ก็คงจะรู้จักเขา”
ลั่วลั่วมองถังซานสือลิ่วแวบหนึ่ง เอ่ยออกมา “ตำแหน่งของจวงห้วนอวี่อยู่ข้างข้า ไม่อยากรู้จักก็คงจะยาก เขา…ห่างออกไปไกล”
เฉินฉางเซิงรู้สึกว่าตนเองเหมือนเคยได้ยินประโยคทำนองนี้ แต่ยังไม่เข้าใจ ถังซานสือลิ่วก็ไม่เข้าใจ แต่เข้าใจสิ่งที่หญิงสาวดูถูก อดไม่ได้ที่จะโมโห ด้วยเหตุนี้เขาจึงเลือกอาหารที่แพงที่สุดหลายอย่างในกล่องอาหารรับประทาน ราวกับลมพายุพัดพาเมฆไป
ลั่วลั่วไม่ยินดีอย่างยิ่ง
เซวียนหยวนผ้อรับประทานอาหารอย่างซื่อๆ ไม่ปริปากเอ่ยใดๆ
รับประทานอาหารกลางวันเรียบร้อยแล้ว ถังซานสือลิ่วแย่งชาดำอันซีเฉ่าที่ลั่วลั่วส่งให้เฉินฉางเซิงอย่างไม่เกรงใจ เขาดื่มล้างปากสองที
ลั่วลั่วมองเขายิ้มเยือกเย็นออกมา
เฉินฉางเซิงจนปัญญาอย่างยิ่ง เอ่ยถามถังซานสือลิ่ว “แล้วต่อไปเป็นอย่างไร”
“ค่ำคืนวันที่สามจะต้องเข้าร่วม ข้าไม่เชื่อว่าสำนักจะทำอย่างนี้กับข้า”
“เพราะเหตุใดถึงมั่นใจเช่นนี้”
“ครั้งนี้เจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพมาสี่คน จวงห้วนอวี่เพียงคนเดียวจะเอาอยู่หรือ”
เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจ เอ่ยถาม “เพราะอะไร”
ถังซานสือลิ่วนำชาดำวางบนพื้น จ้องมองเขาพลางกล่าว “เจ้าไม่รู้หรอกหรือ ปีนี้คณะเจรจาจากทิศใต้จะมาถึงจิงตูก่อนกำหนด”
เฉินฉางเซิงคิดไปถึงวันนั้นที่อาจารย์ซินได้เอ่ยว่าอาจมีการเปลี่ยนแปลง เพิ่งจะรู้ว่าแท้จริงแล้วคือเรื่องนี้ ถามด้วยความสงสัย “ปีที่แล้วไม่ใช่ว่าหลังจากฤดูหนาวถึงจะมามิใช่หรือ ห่างจากการสอบใหญ่เป็นเวลานาน พวกเขามาก่อนเช่นนี้ทำอะไรหรือ”
ถังซานสือลิ่ว เอ่ย “เมื่อแรกเริ่ม ไม่มีผู้ใดเข้าใจ แต่ตอนนี้ ทั่วทั้งต้าลู่ล้วนแต่ล่วงรู้”
เฉินฉางเซิงกล่าวถาม “สาเหตุเพราะอะไร”
ถังซานสือลิ่ว เอ่ย “คณะเจรจาจากทิศใต้อยากมาสู่ขออย่างเป็นทางการในคืนเจ็ดค่ำเดือนเจ็ด”
“สู่ขอรึ” เฉินฉางเซิงถามออกไป
ถังซานสือลิ่วกล่าว “ใช่แล้ว สวีโหย่วหรง…ในที่สุดก็จะต้องสมรสแล้ว”
เฉินฉางเซิงตะลึงงัน หลังจากนั้นเงียบนิ่งเป็นเวลานาน
ทันใดนั้น เขายืดตัวลุกขึ้นเดินออกไปจากหอตำรา
“อาจารย์ ท่านจะทำอะไร” ลั่วลั่วเอ่ยถาม
เฉินฉางเซิงไม่ได้หันหน้ามา กล่าวว่า “อาหารเค็มเล็กน้อย ข้าอยากจะสงบเสียหน่อย”
อาหารวันนี้เค็มเล็กน้อย
เสียงของเขาเบาเล็กน้อย
ประโยคนี้ของเขาสับสนเล็กน้อย
เพราะว่าใจของเขาว้าวุ่นเล็กน้อย