ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 52 ไปร่วมการชุมนุม

ถ้าหากว่าอาหารเค็มจริงแล้ว จะต้องดื่มน้ำ แต่ไม่ใช่ไปสงบอารมณ์ ประโยคสั้นๆ ของเฉินฉางเซิง แปรเปลี่ยนเป็นสับสนเช่นนี้ ดังนั้นอาหารไม่ได้เค็มจริงๆ แต่ใจของเขาต้องการความสงบจริงๆ เช่นนี้ถึงจะไม่วุ่นวายต่อไป

เดินไปถึงริมทะเลสาบ ยืนใต้ต้นไทรย้อย เขาเหยียบย่ำบนรากของต้นไทรย้อยที่นูนขึ้นมา มือทั้งสองไขว้หลัง มองไกลออกไปยังด้านนอกกำแพง คิดเพียงว่ายิ่งมองไกลยิ่งดี แต่กลับไม่รู้ว่าควรจะมองไปยังทิศทางของเมืองซีหนิงหรือว่าทางทิศใต้

หลังจากนี้ชั่วครู่ เขาหยิบของชิ้นเล็กๆ ที่ทำจากไม้ไผ่ออกมาจากเอว วางเข้าไปในอก บอกตนเองหลังจากนี้ไม่ต้องหยิบออกมาอีกแล้ว เมื่อแรกเริ่มอยู่ที่โรงเตี๊ยม เขานำของชิ้นเล็กๆ ที่ทำจากไม้ไผ่ออกมา แล้ววางเข้าไปในส่วนที่ลึกที่สุดของสัมภาระ แต่ไม่รู้ว่าหยิบออกมาเมื่อใด

คณะเจรจาจากทิศใต้มาถึงจิงตูเพื่อมาสู่ขอ สวีโหย่วหรงกับชิวซานจวินจะต้องหมั้นหมายกัน ถึงแม้ระยะเวลาสั้นๆ จะยังไม่สมรส แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องสมรสอยู่ดี

เฉินฉางเซิงคิดมาตลอดว่าความรักใคร่ไม่มีแรงดึงดูดตน ยิ่งไม่มีความคิดสิ่งใดต่อสวีโหย่วหรง เขามาจิงตูเพื่อที่จะถอนการหมั้นหมาย ตอนนี้ก็ยังคงคิดเช่นเดิม ดังนั้นเขาไม่เข้าใจ เพราะเหตุใดหลังจากฟังเรื่องนี้ ตนเองถึงแปรเปลี่ยนเป็นกลัดกลุ้มเช่นนี้ ถึงขนาดเศร้าโศกเสียใจ

ความรู้สึกนี้ทำให้เขาปรับตัวไม่ได้ ไม่ชื่นชอบอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้จึงไม่ยินดีเล็กน้อย

อาจจะไม่ใช่เพราะว่านางต้องสมรส แต่อาจจะเป็นเพราะสาเหตุอื่น

เฉินฉางเซิงปลอบใจตนเอง หลังจากนั้นคิดเหตุผลที่โน้มน้าวตนเองออก ตนกับสวีโหย่วหรงที่จริงมีการหมั้นหมาย ไม่ว่าจะวิเคราะห์ตามหลักกฎหมายหรือว่าทำนองคลองธรรม เขาก็คือว่าที่สามีของนาง นางก็คือว่าที่ภรรยาของเขา หากยังไม่มีการถอดถอนการหมั้นหมายอย่างเป็นทางการ ว่าที่ภรรยาของตนจะไปสมรสกับบุรุษอื่น เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง

เขาจะต้องไม่ยินดีอย่างยิ่ง

ใช่แล้ว ก็เพราะเหตุนี้

จวนขุนพลเทพตงอวี้กับสวีโหย่วหรง ไม่เคารพตนในเรื่องนี้อย่างยิ่ง ดังนั้นข้าโมโหยิ่งนัก…

เขาเอ่ยกับตนเองในใจเงียบๆ

ถังซานสือลิ่วเดินไปถึงริมทะเลสาบ ยืนอยู่ข้างกายเขาพลางเอ่ย “ปัญหาระหว่างจวนขุนพลเทพบาดเจ็บงอวี้กับเจ้ายังไม่สามารถแก้ไขได้อีกหรือ เช่นนั้นคงจะยุ่งยากจริงๆ แต่ไหนแต่ไรมาจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ไว้วางใจสวีโหย่วหรง ถ้าหากสวีโหย่วหรงสมรสกับชิวซานจวิน ผู้คนในราชวงศ์ต้าโจวก็ไม่มีผู้ใดสามารถสั่นคลอนตำแหน่งเขาได้”

ลั่วลั่วมองใบหน้าด้านข้างของเขารู้สึกเป็นห่วง อยากจะเอ่ยสิ่งใดแต่ก็ไม่เอ่ยออกมา

ปฏิกิริยาก่อนหน้านี้ของเฉินฉางเซิงแปลกยิ่งนัก เป็นธรรมดาที่ไม่สามารถลอดพ้นสายตาของลั่วลั่วกับถังซานสือลิ่ว พวกเขาล้วนแต่รู้ ระหว่างเฉินฉางเซิงกับจวนขุนพลเทพตงอวี้มีบุญคุณความแค้น แต่ไม่ว่าพวกเขาจะคิดอย่างไร ก็คิดไม่ถึงว่าเขาคือว่าที่สามีของสวีโหย่วหรง ดังนั้นจึงหมดหนทางที่จะปลอบประโลมใจ

ก็เหมือนที่ซวงเอ๋อร์เคยกล่าวที่จวนขุนพลเทพตงอวี้ ทั่วทั้งโลกล้วนแต่คิดว่าสวีโหย่วหรงกับชิวซานจวินเป็นคู่ที่สวรรค์สร้างให้มาคู่กัน แม้แต่ลั่วลั่วกับถังซานสือลิ่วก็คิดเช่นนี้ ไม่มีผู้ใดคิดว่ายังมีเฉินฉางเซิงอยู่

“ไม่มีอะไร เพียงแค่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงรู้สึกตึงเครียด” เฉินฉางเซิงหันกายจ้องมองทั้งสอง กล่าวต่อว่า “ได้ยินว่าพรรคทางทิศใต้มีผู้มีพรสวรรค์เยอะแยะมากมาย ไม่รู้ว่าเมื่อถึงการสอบใหญ่ปีหน้า สถานการณ์จะเป็นอย่างไร”

ถังซานสือลิ่วรู้เป้าหมายที่เขาจะเข้าร่วมการสอบใหญ่ ในใจครุ่นคิดก็ควรที่จะตึงเครียด เอ่ยว่า “เทือกเขาเทพธิดา เขาหลีซาน…นิกายพรรคทางทิศใต้แข็งแกร่งอย่างยิ่ง หากผู้แข็งแกร่งวัยเยาว์เหล่านี้ของเจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพเข้าร่วมการสอบใหญ่ ปรารถนาจะชนะพวกเขาแท้จริงแล้วไม่ง่ายเลย”

เฉินฉางเซิง กล่าวถาม “ได้ยินว่าจวงห้วนอวี่อยู่ในอันดับสิบของประกาศชิงอวิ๋น ก็ชนะหนึ่งในเจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพหรือ”

“เขาชนะชีเจียน อ่อนวัยที่สุดในเจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพและยังเป็นเด็กที่อ่อนแอที่สุด”

เอ่ยถึงเจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพ ถังซานสือลิ่วที่เย่อหยิ่ง ท่าทางแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังหนักแน่นขึ้นมา “เจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพครั้งนี้มาเข้าร่วมการชุมนุมไม้เลื้อยทั้งหมดสี่คน คิดว่าคนที่จะต้องเข้าร่วมการสอบใหญ่คือโก่วหานสือเป็นคนนำขบวน จวงห้วนอวี่จะกล้าลงมือกับเขาหรือ”

“แล้ว…ชิวซานจวินล่ะ” เฉินฉางเซิงเอ่ยถาม

“การสู่ขอเป็นเรื่องของผู้อาวุโสจัดการ สหายในสำนักต่างให้ความช่วยเหลือ ชิวซานจวินจะมาจิงตูได้อย่างไร สำหรับการสอบใหญ่ในปีหน้าเขาจะเข้าร่วมหรือไม่ นั่นเป็นเรื่องไม่แน่ชัด เพียงแต่ว่าเจ้าอย่าได้ดูถูกโก่วหานสือ คนผู้นั้นยอดเยี่ยมจริงๆ”

ถังซานสือลิ่วเป็นคนเย่อหยิ่งอย่างยิ่ง นี่ไม่เกี่ยวกับการประกาศชิงอวิ๋นลำดับที่สามสิบหกของเขา ล้วนแต่เป็นอุปนิสัยที่เป็นปัญหา ความคิดหนึ่งเดียวหลังจากเข้ามาสำนักเทียนเต้าก็คือเหยียบจวงห้วนอวี่ลำดับที่สิบของประกาศชิงอวิ๋นอยู่ใต้ฝ่าเท้า ถึงแม้จะมีสาเหตุอื่น แต่อย่างน้อยก็อธิบายได้ว่าเขาไม่ได้ให้ความสำคัญจวงห้วนอวี่เท่าไหร่

คนที่สามารถทำให้เขาให้ความสำคัญมีน้อยอย่างยิ่ง ดังเช่นสวีโหย่วหรง ชิวซานจวิน ดังเช่นลูกหมาป่าเผ่ามารผู้นั้น ยังมีหญิงสาวลึกลับที่ลำดับบนประกาศอยู่ก่อนหน้าของจวงห้วนอวี่และก็คือเฉินฉางเซิงประเภทที่ไม่เหมือนผู้อื่น

“เจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพลำดับที่สอง อยู่อันดับรองลงมาจากชิวซานจวิน”

ลั่วลั่วรู้ว่าในโลกของการฝึกบำเพ็ญเพียรเฉินฉางเซิงไม่ค่อยเข้าใจ จึงอธิบายว่า “ได้ยินว่าคนผู้นี้มีความรู้ลึกซึ้งกว้างไกล ท่องคัมภีร์เต๋าได้ มีตำแหน่งสูงในลูกศิษย์หนุ่มสาวของเขาหลีซานจนกระทั่งลูกศิษย์หนุ่มสาวของพรรคต่างๆ นับว่ามีบทบาทราวกับเป็นมันสมอง”

เฉินฉางเซิงกล่าวถาม “เช่นนั้นเขายอดเยี่ยมตรงไหนหรือ”

ถังซานสือลิ่วหมดคำพูด เอ่ยว่า “ท่องคัมภีร์เต๋ายังไม่พอที่จะยอดเยี่ยมอีกหรือ”

ได้ยินคำว่าท่องคัมภีร์เต๋าสี่คำนี้ เฉินฉางเซิงคิดไปถึงศิษย์พี่กับตนเอง ในใจครุ่นคิดมีอะไรที่ยอดเยี่ยมอย่างนั้นหรือ แต่เขารู้ดี หากตนเองพูดออกไป ลั่วลั่วอาจจะมิได้สนใจ ถังซานสือลิ่วคงจะต้องหยอกล้อว่าตนเสแสร้งเป็นแน่ ทำได้เพียงแค่เปลี่ยนหัวข้อสนทนา

“เจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพมีผู้ใดมาบ้าง”

“อันดับที่สี่กวนเฟยไป๋ อยู่ในประกาศชิงอวิ๋นก็ได้อันดับที่สี่พอดี เล่ากันว่าเป็นคนที่เย่อหยิ่งอย่างยิ่ง”

เอ่ยถึงชื่อของคนผู้นี้ ใบหน้าของถังซานสือลิ่วไม่มีความรู้สึกเลื่อมใสใดๆ นัยน์ตาแปรเปลี่ยนเป็นลุกไหม้รุนแรง เอ่ยว่า “การชุมนุมไม้เลื้อยค่ำคืนที่สาม เป้าหมายของจวงห้วนอวี่จะต้องเป็นเขาแน่ ข้าจะคิดวิธีช่วงชิงมา”

เฉินฉางเซิงกางนิ้วมือออกมานับ กล่าวว่า “เขาคืออันดับที่สี่ เจ้าคืออันดับที่สามสิบหก ระยะห่างสามสิบสองคน”

ถังซานสือลิ่วใบหน้าเปลี่ยนเป็นเข้มขึ้น เอ่ย “เจ้าหมายความว่าอย่างไร”

เฉินฉางเซิงกล่าว “ความหมายของข้าก็คือ ไม่ต้องคิดว่ากินคนอ้วนเพียงคำเดียว ใจร้อนจะทำให้เสียการ ทำเรื่องอันใดต้องค่อยๆ ก้าวไปตามลำดับ มีความเป็นระเบียบ ไม่กระหายความสำเร็จเฉพาะหน้า เรื่องที่ทำช้าๆ จะได้พร้าเล่มงาม ทำให้น้อยลงจะยอดเยี่ยม และมีเหตุผลคือ…”

“ว่าต่อสิ” ถังซานสือลิ่วแสยะยิ้ม เอ่ยว่า “ช่างพูดมากอย่างยิ่ง”

เฉินฉางเซิงเห็นท่าทางไม่ค่อยจะดีของเขา จึงหัวเราะไม่เอ่ยสิ่งใด

ถังซานสือลิ่วกล่าว “ถ้าหากอะไรๆ ก็นับจากการเรียงลำดับ แล้วการชุมนุมไม้เลื้อยกับการสอบใหญ่จะมีความหมายอย่างไร ผู้ที่มีสายเลือดพรสวรรค์อย่างสวีโย่วหรงกับชิวซานจวิน แน่ชัดว่าข้าสู้ไม่ได้ ลูกหมาป่ากับหญิงสาวที่ไม่อาจกล่าวถึงไม่ได้อยู่อันดับก่อนหน้ากวนเฟยไป๋ แต่เจ้าถามกวนเฟยไป๋ เขากล้ากล่าวหรือไม่ว่าแข็งแกร่งกว่าคนทั้งสอง”

เฉินฉางเซิงในใจครุ่นคิดแท้จริงแล้วก็คือเหตุผลนี้ เพียงแต่ลูกหมาป่าที่ได้ยินมาหลายครั้งคือผู้ใด หญิงสาวที่ไม่อาจกล่าวถึงคือผู้ใด

ถังซานสือลิ่วคิดไปถึงเมื่อเห็นหนุ่มน้อยเผ่าปีศาจที่รูปร่างสูงใหญ่อยู่ในหอตำราก่อนหน้านี้ เอ่ยถาม “เจ้าเด็กคนนั้นก็เข้ามาอยู่ในสำนักฝึกหลวงหรือ”

“อืม เขาไม่อยากอยู่ที่สำนักเด็ดดาราต่อ”

“ข้าได้ยินมาแล้ว การชุมนุมไม้เลื้อยค่ำคืนแรกสำนักเด็ดดาราแสดงออกมาน่ารังเกียจอย่างยิ่ง นอกจากเจ้าเด็กคนนั้น คาดไม่ถึงว่าไม่มีผู้ใดยืนขึ้นมา…แต่ เจ้าเด็กคนนั้นถูกเทียนไห่หยาเอ๋อร์ทำให้บาดเจ็บเช่นนั้น เกรงว่าจะพิการเสียแล้ว เจ้าแน่ใจนะว่าจะเก็บกลับมา”

“ข้าแม้แต่การชำระล้างกระดูกยังไม่สำเร็จ ยิ่งไม่ใช่ของไร้ประโยชน์กว่ารึ”

ถังซานสือลิ่วแสยะยิ้ม พลางกล่าวออกมา “จะมีของที่ไร้ประโยชน์คนไหนกล้าเอ่ยว่าจะอยู่ประกาศแรกอันดับแรกของการสอบใหญ่เล่า”

“อาจารย์ของข้าจะต้องเอาประกาศแรกอันดับแรกได้แน่” ลั่วลั่วกล่าวอย่างมีเหตุผล มองเฉินฉางเซิงนัยน์ตาเต็มไปด้วยความเลื่อมใสศรัทธา

ถังซานสือลิ่วตะลึงงัน เอ่ยถาม “นี่เกิดอะไรขึ้น”

เขารู้ว่าลั่วลั่วไม่ใช่คนธรรมดา ก่อนหน้านี้เห็นนางทำท่าทางเคารพนอบน้อมต่อเฉินฉางเซิง ก็รู้สึกไม่เข้าใจ เวลานี้เห็นนางเรียกเฉินฉางเซิงว่าอาจารย์ ลักษณะท่าทางเลื่อมใสใกล้ชิด ยิ่งทำให้สับสน ไม่เข้าใจว่าความสัมพันธ์ของคนทั้งสองแท้จริงแล้วเป็นอย่างไร

เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าควรจะอธิบายอย่างไร

ลั่วลั่วจึงใจกว้างแนะนำให้เขา “ข้าเป็นศิษย์ของอาจารย์”

“หา”

ถังซานสือลิ่วตกใจ จ้องมองเฉินฉางเซิง เอ่ยว่า “เจ้าไม่ใช่ว่าเพิ่งจะอายุสิบสี่ปีหรอกหรือ”

เฉินฉางเซิงเอ่ย “นางต้องการที่จะคารวะเป็นอาจารย์ ข้าก็หมดหนทาง”

ถังซานสือลิ่วคิดใคร่ครวญ กล่าวว่า “เจ้าเพียงแค่วางท่าทางเป็นผู้ใหญ่ มองอายุดูแก่กว่าความจริงมาก กลับกันมิได้มีอะไร”

ลั่วลั่วเอ่ยด้วยความไม่ยินดี “อย่างอาจารย์เขาเรียกว่าเป็นผู้ใหญ่ที่สุขุม เจ้าคิดว่าจะมีผู้ใดคิดเหมือนเจ้ารึ”

ถังซานสือลิ่วไม่อยากต่อปากต่อคำกับหญิงสาว ตบเสื้อผ้าเบาๆ เตรียมที่จะจากไป ประโยคสุดท้ายที่เอ่ยถาม “ค่ำคืนสุดท้ายเจ้าจะไปหรือไม่”

ลั่วลั่วในใจครุ่นคิดตามลักษณะนิสัยของอาจารย์ อาจจะเหมือนกับคืนเมื่อวาน คงจะไม่ไป

เฉินฉางเซิงครุ่นคิด กล่าวว่า “ไปดูเสียหน่อยก็ดี”

เพราะคณะเจรจาทิศใต้เป็นสาเหตุ การชุมนุมไม้เลื้อยค่ำคืนสุดท้ายจึงถูกเลื่อนมาหลายวัน และยังย้ายสถานที่ดำเนินการจากสำนักเทียนเต้ามาที่วังเว่ยยาง วังเว่ยยางก็เป็นส่วนหนึ่งของพระราชวัง จากรายละเอียดเช่นนี้ก็สามารถมองออกว่าราชสำนักให้ความสำคัญกับเรื่องนี้

หากคณะเจรจาจากทิศใต้สู่ขอสำเร็จ ความสัมพันธ์ของเผ่ามนุษย์ระหว่างทิศใต้กับทิศเหนือก็จะแนบแน่นยิ่งขึ้น สวีโหย่วหรงอาจจะเป็นเทพธิดาคนแรกของพรรคทางทิศใต้ในประวัติศาสตร์ที่มีฐานะเดิมเป็นคนจิงตู ราชวงศ์ต้าโจวมีผลกระทบต่อทางทิศใต้อย่างรุนแรง จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์คงจะยินดีหากเรื่องนี้ประสบผลสำเร็จ

กล่าวตามเหตุผล ไม่มีผู้ใดหรืออำนาจใดที่จะสามารถยับยั้งเรื่องที่จะเกิดนี้ได้

ถึงแม้จะเป็นเผ่ามารที่ไม่ปรารถนาเห็นการสมรสนี้สำเร็จ ก็ไม่มีหนทางใดๆ

ทั่วทั้งโลกใบนี้ มีคนเพียงน้อยนิดที่จะล่วงรู้ การสมรสนี้มีตัวแปรเพียงหนึ่งเดียวอยู่

ตัวแปรนั้นอยู่ที่สำนักฝึกหลวงที่ทรุดโทรม

คือหนุ่มน้อยที่มีนามว่าเฉินฉางเซิง

ต้นฤดูใบไม้ร่วง กลางคืนเย็นฉ่ำราวสายน้ำ แต่กลับไม่มีความรู้สึกหนาวเหน็บ

ค่ำคืนนี้ ในเมืองจิงตูมีโคมไฟสว่างจ้า เป็นคืนเจ็ดค่ำเดือนเจ็ด

เฉินฉางเซิงกับลั่วลั่วเดินออกจากสำนักฝึกหลวง จากส่วนลึกของตรอกไป๋ฮวาเดินกลับไปยังความคึกคักและความเจริญรุ่งเรืองของโลกมนุษย์

คนทั้งสองเดินไปวังเว่ยยางที่ไม่ไกลออกไป

จนกระทั่งถึงเวลานี้ เขาไม่เข้าใจว่าตนต้องไปทำอะไร เมื่อคนทางทิศใต้สู่ขอจวนสวี ตนเองควรจะทำสิ่งใด

เขาไม่ได้ตัดสินใจ เขาเพียงแค่อยากไปดู

เดิมทีเขาไม่ได้คาดคิดว่าค่ำคืนนี้จะเกิดสิ่งใดขึ้น

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset