“อืม….”
ร่างกายมันรู้สึกเจ็บไปหมด
แต่ว่า มันกลับรู้สึกอบอุ่นอย่างน่าประหลาดใจ
ภายใต้จิตสำนึกของผมที่กำลังดำมืดอยู่
ผมได้เอื้อมมือไปหาความอบอุ่นที่ผมสัมผัสได้ด้วยสัญชาตญาณ
ความอบอุ่นนั่นปกคลุมทั่วร่างกายของผม
และมันก็ปกคลุมพอดีกับตัวผมเลย
มีบางอย่างที่อุ่นๆชื้นๆขยับอยู่ที่ริมฝีปากของผม
มันก็รู้สึกดีอยู่หรอก แต่พอผ่านไปซักพักมันก็รู้สึกจั๊กจี้เหมือนกัน
“อะ อืม?”
ความรู้สึกเหล่านั้น ทำให้ผมค่อยๆรู้สึกตัวและลืมตาขึ้นทีละนิด
และในขณะเดียวกันนั้น ผมก็รู้สึกเหมือนว่ามีอะไรบางอย่างอยู่เหนือตัวผม
กำลังเคลื่อนไหวอย่างร้อนรนอยู่
“อืม…เอ๋? ที่นี่มัน…”
ผมมองไปรอบๆพร้อมกับขยี้ตาไปด้วย
เอ่อ ถ้าจำไม่ผิด…ตอนที่ผู้หญิงคนนึง
ที่เหมือนจะเป็นสมาชิกของหัตถ์แห่งพระเจ้ากำลังเข้ามาโจมตีพวกผมนั้น
ผมได้พลัดตกลงมาตามทางลาดชันพร้อมกับลิลิธจังสินะ
พอผมสำรวจร่างกายของตัวเอง
ก็พบว่าร่างกายของผมนั้นเต็มไปด้วยดินโคลนและเศษใบไม้ต่างๆ
แต่ว่าก็ถือว่าโชคดีไปนะที่ไม่มีกระดูกตรงไหนหัก
อาจจะเป็นเพราะว่าตอนที่ตกลงมา
คงจะมากระแทกกับพวกโคลนกับเศษใบไม้ก็ได้
ถึงผมจะไม่ได้บาดเจ็บสาหัสอะไร
แต่พอสังเกตดูดีๆแล้ว แขนเสื้อของผมมันขาดไป
และที่แขนก็มีแผลค่อนข้างใหญ่อยู่ด้วย
แล้วก็ดูเหมือนว่าจะมีใครบางคน
ใช้ผ้าบางๆพันแผลไว้เพื่อห้ามเลือดไว้แล้วด้วย
ผมเงยหน้าขึ้นและมองไปรอบๆ
หลังจากนั้น ผมก็เห็นลิลิธจังที่อยู่ห่างออกไปนิดหน่อย
กำลังมองมาที่ผมอย่างเขินอายในขณะที่ซ่อนอยู่ในพุ่มไม้ด้วย
หน้าของเธอเองก็เปื้อนโคลนและใบไม้เหมือนกันผมเลย
“ลิลิธจัง นี่เธอทำอะไรไปอย่างงั้นเหรอ?”
“หะ ห๊ะ!?”
พอผมเรียกเธอไป ลิลิธจังก็หน้าแดงและเริ่มตื่นตระหนก
“มะ มะมะมะ ไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษซะหน่อยนะ!? อย่ามาพูดจาใส่ร้ายป้ายสีคนอื่นจะได้มั้ย!? ไม่ใช่ว่าเพ้อเจ้อไปเองรึไง!?”
“หืม? แล้วคนที่ทำแผลให้ไม่ใช่ลิลิธจังหรอกเหรอ?”
“…อ๊ะ อันนั้นสินะ? ก็นะ อันนั้นลิลิธเป็นคนทำเองแหละ”
พอดูใกล้ๆแล้วก็จะเห็นว่า
ขอบกระโปรงของลิลิธจังก็เหมือนจะถูกฉีกขาดไป
บางทีแล้ว ลิลิธจังน่าจะได้สติก่อน
จากนั้นเธอก็น่าจะฉีกกระโปรงของเธอออก
แล้วก็มาทำแผลให้ผมก็ได้
“ว่าแล้ว ใช่จริงๆด้วยสินะ? ขอบคุณนะที่ช่วยดูแลแบบนี้น่ะ”
“…มะ มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก จริงๆแล้วคนที่ควรจะขอบคุณน่ะ ควรเป็นลิลิธที่ถูกปกป้องจากการโจมตีของผู้หญิงคนนั้นน่ะต่างหากล่ะ…”
ลิลิธจังใช้นิ้วปัดหน้าม้าของตัวเองและหันหน้าหนี
หน้าเธอตอนนี้แดงแจ๋จนถึงหูเลย
หลังจากที่ผมครุ่นคิดอยู่พักนึง ผมก็ได้ลุกขึ้นยืนและขยับตัวเข้าไปใกล้กับลิลิธจัง
ตอนที่ผมเข้าไปใกล้ ลิลิธจังก็ไหล่กระตุก
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นเธอก็ไม่มีทีท่าว่าจะหนีไปเลยแม้แต่น้อย
“อะ อะไรล่ะ?”
“เปล่าหรอก…คือเรื่องเมื่อกี้น่ะอยากรู้ใช่มั้ยล่ะว่ามันเกิดอะไรขึ้นน่ะ? ถึงผมจะไม่ได้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดก็เถอะ แต่ผมก็จะอธิบายให้ฟังเท่าที่ผมรู้ก็แล้วกันนะ”
“…อืม”
ลิลิธจังพยักหน้าให้ผม ผมก็เลยนั่งลงข้างเธอโดยเว้นระยะไว้ประมาณหนึ่ง
เท่าที่ดูแล้ว เหมือนว่าเราจะออกห่างกันมาค่อยข้างไกลพอสมควรเลย
พื้นที่รอบๆก็เป็นพื้นที่รกร้างแล้วก็ไม่มีเสียงการต่อสู้ดังมาถึงเลยด้วย
แถมดูเหมือนว่าจะยังไม่มีการตามล่าพวกเราด้วย
ดังนั้นควรจะอธิบายเรื่องราวของหัตถืแห่งพระเจ้าให้ลิลิธจังฟังไปตอนนี้เลยน่าจะดีกว่า
สถานการณ์แบบนี้ ลิลิธจังเองก็คงอยากรู้ว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นด้วยเหมือนกันแหละนะ
เพราะงั้น อย่างแรกที่ผมจะอธิบายให้เธอฟังเลย
ก็คือเรื่องความสัมพันธ์ของผมกับคุณซิลเวีย–
และผมก็อธิบายให้ลิลิธจังฟังเกี่ยวกับเรื่องของหัตถ์แห่งพระเจ้า
รวมไปถึงการแต่งงานปลอมๆในครั้งนี้กับคุณซิลเวียให้เธอฟังด้วย
เรื่องที่ผมเป็นพนักงานกิลด์ในเมืองคาสซานดร้า
เรื่องที่คุณซิลเวียเป็นนักผจญภัยในเมืองคาสซานดร้า
เรื่องที่ผมมาที่หมู่บ้านนี้ตามคำขอของคุณซิลเวีย
แล้วก็เรื่องที่ได้รับข้อมูลมาว่ามีคำขอในการลอบสังหารส่งไปที่หัตถ์แห่งพระเจ้าด้วย
นักผจญภัยคนอื่นๆจากเมืองคาสซานดร้าจึงตามมาคุ้มกันที่หมู่บ้าน
ซึ่งนี่ก็เป็นสิ่งที่คุณคิยาโนตที่เป็นหนึ่งในผู้สืบทอดมรดกก็รู้เหมือนกัน
แต่ผมก็ไม่ได้บอกเธอไปว่าเมย์ฟา ซึสึและคุณคิยาโนต
เป็นสมาชิกของกิลด์แห่งความมืดน่ะนะ
“……”
พอยิ่งอธิบายไปเรื่อยๆ
ลิลิธจังก็ยิ่งทำหน้าซับซ้อนมากขึ้น
พอผมอธิบายจนจบ เธอก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เลยล่ะ
“เฮ้อ…อะไรกันล่ะเนี่ย แปลว่าเรื่องที่ลิลิธข่มขู่คุณพี่ชายนั่น มันก็แทบไม่มีความหมายอะไรเลยน่ะสิ? ก็นะ ถึงสุดท้ายแล้วมันจะไม่ได้ผลอยู่ดีก็เถอะ”
ลิลิธจังทำแก้มป่อง
ในขณะเดียวกันผมก็ปัดสิ่งสกปรกที่ติดมืออยู่ออกไป
พร้อมกับถามลิลิธจังที่กำลังแก้มป่องไปด้วย
“ที่ลิลิธจังสะกดรอยตามผมมาน่ะ เป็นเพราะว่าเป็นห่วงคุณซิลเวียงั้นเหรอ?”
“…เปล่าซักหน่อย มันไม่ใช่เรื่องพิเศษอะไรแบบนั้นหรอก ก็แค่สงสัยว่าคู่แต่งงานใหม่ของซิลเวียจะเป็นผู้ชายแบบไหนก็แค่นั้นเอง”
ลิลิธจังหันหน้าหนี สวนทางกับคำพูดเลย
หลังจากที่พูดไป ลิลิธจังก็เงียบไป
และความเงียบนั้นก็ทำให้เกิดความอึดอัดระหว่างพวกเรา
“……”
“……”
“อ๋า…จะว่าไปแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าพวกเราพลัดตกลงมาเลยสินะ? ถ้างั้นเราควรเตรียมตัวสำหรับการนอนพักที่ข้างนอกนี่เลยดีมั้ยนะ?”
“…ถ้าเดินไปทั่วล่ะก็ อาจจะถูกมอนส์เตอร์โจมตีเอาก็ได้ เพราะงั้นอย่าเลยจะดีกว่านะ แล้วก็นะ การเดินไปมาในป่าน่ะ ถ้าหลงทางขึ้นมามันก็อันตรายด้วย ถ้ามีคนสังเกตว่าคุณพี่หายไปล่ะก็ เดี๋ยวซิลเวียกับคนอื่นๆก็คงจะมาตามหาเองนั่นแหละ”
“งะ งั้นเหรอ”
ลิลิธจังดูใจเย็นผิดคาดเลยแฮะ
จะว่าไปแล้ว เหมือนเธอจะเรียนอยู่ที่สถาบันเวทย์มนตร์ด้วยใช่รึเปล่านะ?
ที่สถาบันเวทย์มนตร์นั้น ใครๆก็สามารถเข้าไปเรียนได้
ถ้าจ่ายค่าธรรมเนียมในการเข้าครั้งแรก
แต่เท่าที่ผมได้ยินมา
ดูเหมือนว่าถ้าพวกเขาจะเรียนต่อในชั้นปีที่สูงขึ้นหรือต้องการที่จะเรียนจบนั้น
จะต้องทำข้อสอบตามเนื้อหาที่เรียนในแต่ละปีที่มีความยากพอสมควร
เพราะงั้นในหนึ่งปีจึงมีนักเรียนที่ซ้ำชั้นเป็นจำนวนมากด้วย
พอลองนึกย้อนกลับไปจากการสนทนาก่อนหน้านี้ของโอคุงกับลิลิธจัง
ถ้าวิเคราะห์ดูแล้ว การที่โอคุงขอให้ลิลิธจังเขียนวิทยานิพนธ์ให้
นั่นก็หมายความว่าลิลิธจังนี่อาจจะเป็นนักเรียนดีเด่นในสถาบันเวทย์มนตร์เลยสินะเนี่ย
“งั้นเหรอ นั่นสินะ งั้นพวกเราก็ควรรอความช่วยเหลือนิ่งๆอยู่ตรงนี้สินะ ถ้าลิลิธจังหายไป ยังไงก็คงจะต้องมีคนมาตามหาแหละนะ งั้นเราก็มาอดทนรอกันดีกว่า”
คำพูดนั้นเป็นคำพูดที่พูดออกไปจริงๆไม่ได้มีความนัยอะไรเลย
ระหว่างที่พูดตอบโต้กับลิลิธจังไปผมก็ทบทวนคำพูดของลิลิธจังในหัวไปด้วย
แต่ดูเหมือนว่าคำพูดนั้นจะส่งไปไม่ถึงลิลิธจังแฮะ
เธอหันหน้ามาทางผม แล้วเธอก็กัดริมฝีปากและจ้องมองมาที่ผม
“อะไรน่ะ ประชดกันอยู่รึไง?”
“เอ๊ะ?”
“คุณพี่เองก็น่าจะรู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ว่าหม่าม้าของลิลิธน่ะไม่มีทางจะมาตามหาลิลิธหรอก กลับกันแล้ว การที่ลิลิธหายตัวไปแบบนี้ ทุกคนอาจจะโทษว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นฝีมือของลิลิธอยู่ก็ได้”
จู่ๆลิลิธจังก็อารมณ์ไม่ดี ซึ่งผมเองก็สับสนนิดหน่อย
ที่คำพูดปลอบประโลมของผมมันกลับตาลปัตรเป็นแบบนี้ไป
“มันไม่น่าเป็นแบบนั้นหรอกมั้ง? ยังไงการที่ลิลิธจังหายตัวไปแบบนี้ ทุกคนก็คงต้องเป็นห่วงอยู่แล้วแหละ”
“…ถ้าเป็นคุณพี่ล่ะก็ว่าไปอย่าง แต่กับลิลิธน่ะมันไม่ใช่ จะหม่าม้า จะปะป๊า จะซิลเวียหรือจะท่านทวดเอง…ยังไงก็คงไม่มีใครมาตามหาลิลิธหรอก…”
คำพูดของผมเหมือนจะยิ่งทำให้ผลลัพธ์มันไปในทางตรงกันข้าม
เสียงของลิลิธจังเองก็เริ่มฟังดูมืดมนขึ้นไปทุกที
คราวนี้ผมเลยไม่รู้เลยว่าควรจะพูดอะไรต่อไปดี
นั่นก็เพราะ–แค่ได้เห็นผมก็พอจะรู้เรื่องแล้วยังไงล่ะ
“……”
“……”
ผมไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อดี
นั่นเลยทำให้ความเงียบเข้าปกคลุมระหว่างเราอีกครั้งหนึ่ง
แต่ว่าครั้งนี้ลิลิธจังก็ได้เป็นคนทำลายความเงียบนั้นด้วยตัวเอง
“ก็ไม่รู้หรอกนะว่าคุณพี่รู้อยู่แล้วรึเปล่า….แต่ว่าลิลิธน่ะยังไม่เคยคุยกับปะป๊าเลยซักครั้งเลยน่ะนะ”
หลังจากที่ลิลิธจังถอนหายใจเฮือกใหญ่
เธอก็ได้เริ่มพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจนยิ่งกว่าเดิม
“ลิลิธน่ะเป็นเด็กที่เกิดมาจากการยืมเมล็ดพันธ์น่ะ คุณพี่น่ะรู้จักการยืมเมล็ดพันธ์รึเปล่า?”
“อะ อื้ม มีคนเคยบอกผมมาแล้วน่ะ”
จากสถานการณ์ตอนนี้ ผมคงจะพูดออกไปไม่ได้หรอก
ว่าผมรู้เรื่องนี้มาจากคุณพ่อของลิลิธจังน่ะ
“หม่าม้าน่ะนะ…เห็นว่าชอบปะป๊าก็เลยพยายามเข้าหาเขาอยู่ตลอด แต่ว่าปะป๊าก็ไม่ได้สนใจที่จะหันมามองเลยแม้แต่น้อย เธอเลยคิดว่าถ้ามีลูกกับปะป๊าล่ะก็อย่างน้อยก็ต้องรับตัวเองไปเป็นภรรยาคนที่สองแน่ๆ มะม๊าก็เลยไปทำการยืมเมล็ดพันธ์….แต่สุดท้ายแล้วปะป๊าก็ไม่เคยจะเหลียวแลหม่าม๊าเลยแม้แต่น้อยเลยล่ะ”
“……”
“เพราะงั้นแหละ หม่าม้าก็เลยไม่ค่อยชอบลิลิธซักเท่าไหร่ ถึงจะไม่เคยพูดออกมาตรงๆก็เถอะ แต่ลิลิธน่ะเคยได้ยินมาจากคนอื่นว่า หม่าม้าพูด [ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ ไม่ต้องมีเด็กคนนี้เลยจะยังดีซะกว่า] ไม่ก็ [ถ้าเด็กคนนั้นเป็นเหมือนซิลเวียได้ล่ะก็คงจะดี] แบบนี้ด้วยล่ะ”
ลิลิธจังยกเข่าขึ้นและเอาหน้าของเธอซุกไว้ระหว่างเข่า
หลังจากที่ผมคิดอยู่พักนึง ผมก็ถามเธอออกไปเบาๆ
“ทำไมถึงยอมเล่าเรื่องแบบนั้นให้ผมฟังล่ะ?”
“…ก็ไม่รู้สินะ? ลิลิธเองก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกัน แต่พอได้ฟังเรื่องราวของคุณพี่แล้ว ลิลิธก็คงรู้สึกประมาณว่าที่ทำมาทั้งหมดมันเปล่าประโยชน์ล่ะมั้ง…ในครอบครัวก็ไม่มีใครให้พูดเรื่องแบบนี้ได้ซะด้วย บางทีแล้วก็แค่อาจจะอยากระบายให้ใครฟังก็ได้ล่ะมั้งนะ”
ลิลิธจังค่อยๆตัวสั่นและน้ำตาคลอ
“…อา…ถ้าได้รับสืบทอดมรดกของท่านทวดล่ะก็ ลิลิธคิดว่าหม่าม้าเองก็คงจะกอดลิลิธบ้าง ก็เลยอุตส่าห์พยายามอย่างเต็มที่เพราะอยากจะได้รับคำชมแท้ๆ…ทำไมมันถึงไม่เป็นไปดั่งที่หวังซักอย่างเลยนะ….”
จะว่าไปแล้ว–คู่ลิลิธจังกับโอคุงนี่
ไม่ว่าจะมองยังไงก็ดูไม่เห็นจะเหมือนคนรักกันซักนิดเลยแฮะ
ถึงดูเหมือนว่าลิลิธจังจะดูสนใจโอคุง แต่โอคุงนี่ดูจะไม่สนใจลิลิธจังเลยซักนิด
จากที่ฟังบทสนทนาที่อยู่หน้าเต็นท์ตอนนั้นแล้ว
การแต่งงานในครั้งนี้จะต้องเป็นการแต่งงานปลอมๆเพื่อรับมรดกแน่ๆ
แล้วลิลิธจังก็น่าจะเขียนวิทยานิพนธ์ที่สถาบันเวทย์มตร์ให้
เพื่อเป็นการตอบแทนในการมาเป็นคู่หมั้นปลอมๆล่ะมั้งนะ
แต่ถึงแม้ว่าลิลิธจังจะพยายามไปขนาดนั้นก็ตาม
คุณแม่ของลิลิธจังก็ไม่ได้สนใจใยดีอะไรเธอจังเลยแม้แต่น้อย
“ลิลิธจัง…”
“โธ่…ทำไมลิลิธถึงทำอะไรไม่เคยจะสำเร็จซักอย่างเลยล่ะ? ทั้งที่พยายามมากถึงขนาดนี้แท้ๆ แต่ทำไมถึงไม่มีใครชมลิลิธบ้างเลยล่ะ?”
เสียงร้องของลิลิธจังเริ่มจะดังขึ้น
แผ่นหลังเล็กๆของเธอก็ค่อยๆสั่นระริก
“ฮึก…ในตระกูลนั้นก็มีเพียงแค่ท่านทวดเท่านั้นที่ใจดีกับลิลิธ แต่ท่านทวดนั้นก็มาจากไปแบบนี้ ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย? ทั้งๆที่ซิลเวียเป็นพี่สาวของลิลิธ แต่เธอกลับมีเพื่อนที่คอยเป็นห่วง มีครอบครัวที่คอยมอบความรักให้ และมีแม้แต่คนรักอย่างคุณพี่ชาย…ทั้งอย่างงั้นทำไมลิลิธถึงไม่มีใครมาคอยอยู่เคียงข้างเลยกันล่ะ? ฮึก”
ผมคิดไปมาว่าจะทำยังไงดี สุดท้ายผมก็ยื่นมือไปลูบหลังของเธอเบาๆ
ตอนที่ผมเอื้อมมือไปสัมผัสกับลิลิธจัง เธอก็กระตุกเล็กน้อย
แต่เธอก็ไม่ได้พยายามจะผลักใสผมออกไปแต่อย่างใด
“ฮึก ฮือ…”
ในขณะที่ผมกำลังฟังลิลิธจังที่กำลังร้องไห้อยู่
จู่ๆผมก็นึกถึงตอนที่ผมพบกับคุณซิลเวียครั้งแรกขึ้นมา
ถ้าผมจำไม่ผิด ตอนนั้นคุณซิลเวียก็ร้องไห้ออกมาแบบนี้
แล้วเธอก็อิจฉาคุณไอริสจนพูดออกมาว่า [ทำไมถึงมีแค่ฉันกันล่ะ] ด้วยนี่นะ
“อย่างที่คิดเลย ทั้งสองคนนี่เป็นพี่น้องกันจริงๆนั่นแหละนะ”
“ห๊ะ?”
ลิลิธจังเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยสีหน้าสงสัย
ไม่รู้ว่าเธอตกใจกับคำพูดของผมรึเปล่า
แต่น้ำตาของเธอนั้นดูเหมือนว่าจะหยุดไปอย่างกระทันหันเลย
“อ๊ะ ขอโทษที่จู่ๆก็พูดแบบนั้นออกมานะ คือ ก็แค่คิดว่า [ยังไงคุณซิลเวียกับลิลิธจังนี่ก็เป็นพี่น้องกันจริงๆนั่นแหละน้า] น่ะนะ”
“อะไรล่ะนั่น?”
“เมื่อก่อนน่ะนะ คุณซิลเวียเองก็เคยร้องไห้ต่อหน้าผมแบบนี้เหมือนกันน่ะ แล้วเธอก็อิจฉาเพื่อนจนพูดออกมาว่า[ทำไมถึงมีแค่ฉันกันล่ะ] พร้อมร้องไห้ไปด้วยเลยล่ะนะ”
“…อย่างงั้นเหรอ?”
ลิลิธจังมองมาที่ผมพร้อมทำสีหน้าอย่างกับว่าไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“ซิลเวียผู้เข้มแข็งคนนั้นเอง ก็รู้สึกแบบนั้นกับคนอื่นเหมือนกันงั้นเหรอ…?”
“อืม ใช่แล้วล่ะ คุณซิลเวียผู้สุดยอดคนนั้นเอง ก็ยังเคยรู้สึกอิจฉาคนอื่นเหมือนกันนะ”
ผมพูดต่อไปพร้อมกับลูบหลังของลิลิธจังไปด้วย
“การที่อยากได้อะไรในสิ่งที่ตัวเองไม่มีน่ะ มันเป็นธรรมชาติของคนอยู่แล้วล่ะนะ เพราะงั้นลิลิธจังเองก็คงจะเป็นแบบนั้นนั่นแหละนะ”
“เอ๊ะ?”
“ถึงแม้ว่าพ่อแม่จะไม่สนใจก็ตาม…แต่ผมคิดว่ามันจะต้องมีใครซักคนที่สังเกตเห็นถึงจุดที่น่ารักและเข้มแข็งของลิลิธจังอยู่แน่นอนเลยล่ะ”
ลิลิธจังตกตะลึงกับคำพูดของผม
แต่คำพูดของผมก็ทำให้สีหน้าของเธอขุ่นมัวอีกครั้งหนึ่ง
“…ไอ้คำพูดชื่นชมเยินยออะไรแบบนั้นน่ะไม่ต้องก็ได้นะ ยังไงไอ้คนแบบนั้นมันก็ไม่มีทางมีอยู่จริงอยู่แล้วล่ะ”
น้ำตาของเธอเริ่มกลับมาที่หางตาของเธออีกครั้ง
ผมจึงรีบพูดตอบลิลิธจังที่เริ่มจะร้องไห้อีกครั้งไป
“มะ ไม่ใช่แบบนั้นหรอกนะ! อย่างผมนี่ไงที่คิดว่าลิลิธจังน่ารักน่ะ แล้วพอได้ยินเรื่องราวต่างๆมาแล้วก็เลยคิดว่า [ลิลิธจังน่ะพยายามมาได้ดีมากแล้ว] อยู่น่ะนะ”
“…เอ๊ะ”
หลังจากที่พูดแบบนั้น ผมก็เพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่า
ก่อนหน้านั้นผมกำลังพยายามจะทำอะไรกับลิลิธจังผู้ที่พยายามอยากหนักอยู่
ไม่สิ นั่นมันก็เพราะลิลิธจังข่มขู่ผม
ผมก็เลยต้องทำแบบนั้นเพื่อที่จะหาอะไรมาใช้ตอบโต้ต่างหากล่ะ…
ผมคิดว่าการ NTR นั้นมันเป็นสิ่งที่ไม่ดี ผมก็เลยไม่เคยคิดจะทำด้วยนั่นแหละนะ!
…ไม่สิ มันไม่ใช่สิ่งที่ควรจะภาคภูมิใจซักหน่อยนะ!
“เอ๊ะ อะ เอ่อ…เอ๊ะ?”
“แต่ก็นะ ไอ้คนอย่างผมเนี่ย ต่อให้จะพูดแบบนี้ไปก็คงจะไม่ได้ทำให้รู้สึกดีขึ้นอยู่แล้วแหละนะ แต่ว่า มันจะต้องมีคนที่มองเห็นถึงความสุดยอดของลิลิธจังเหมือนกับผมอยู่อย่างแน่นอนล่ะ เอาเป็นว่าตอนนี้ก่อนอื่นก็เลิกคิดมากเกี่ยวกับเรื่องพ่อแม่ได้แล้วนะ!”
“อะ เอ่อ เมื่อกี้บอกว่าลิลิธน่ารักเหรอ? เอ๋?”
ลิลิธจังเงยหน้าขึ้นมามองผมและหน้าแดง
ก่อนที่จะรู้ตัว น้ำตาของเธอก็หยุดไหลไปซะแล้ว