นายน้อยเจ้าสำราญ – ตอนที่ 113 จวนหลังใหญ่

ตอนที่ 113 จวนหลังใหญ่

ยามที่ฟู่เสี่ยวกวนออกมาจากวังหลวงท้องฟ้าก็มืดมิดไปเสียแล้ว

หลักพื้นฐานของกลยุทธ์บรรเทาสาธารณภัยได้ผ่านการพิจารณาแล้ว แต่นโยบายสงครามกลับพบกับฝ่ายค้านที่แข็งแกร่งอย่างอัครเสนาบดีเยี่ยนซือเต้าและเสนาบดีกรมกลาโหมเฟ่ยปัง

แท้จริงแล้วเหตุผลนั้นง่ายดาย สงครามในสมัยนี้ใช้อาวุธโลหะเย็นเป็นหลัก และรูปแบบการทำสงครามด้วยอาวุธโลหะเย็นก็ได้กำหนดแล้วว่าต้องใช้คนและม้าศึกจำนวนมาก ทั้งยังต้องการอาวุธและชุดเกราะเป็นจำนวนมาก รวมไปถึงการป้องกันในแนวหลังที่มโหฬาร

จนกระทั่งฟู่เสี่ยวกวนกล่าวว่าอาวุธโลหะเย็นนั้นควรถูกคัดออก และบ้านเมืองควรให้ความสำคัญแก่การวิจัยอาวุธปืน ในจุดนี้แม้แต่ฝ่าบาทก็มิเห็นชอบ

ในปัจจุบันนี้มีปืนไฟแล้ว แต่สิ่งนี้ยังไร้ค่าอย่างยิ่ง ระยะหวังผลสั้น ความแม่นยำต่ำ ต้นทุนสูง ทั้งยังเปราะบางอย่างยิ่ง !

สภาพแวดล้อมของสงครามเปลี่ยนแปลงไปมาตลอดเวลา และสิ่งนี้ก็ไร้ประโยชน์ยามอยู่ในวันที่ฝนตกหรือหน้าฝนที่ชื้นแฉะ… เจ้าว่าหากเป็นการเผชิญหน้าของสองทัพ แล้วปืนไฟของเจ้ากระสุนด้าน นี่มิเท่ากับปล่อยให้ถูกศัตรูทำลายเยี่ยงนั้นหรือ ?

โดยรวมแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนยังคงต้องสาธิตรูปแบบการทำสงครามของอนาคตโดยละเอียด อย่างเช่นจัดตั้งกลุ่มรบพิเศษบนภูเขา จัดตั้งกองกำลังทหารพรานมืออาชีพ จัดตั้งกองทหารม้าเกราะหนักและต่าง ๆ นานา

กล่าวมิได้ว่าสิ่งที่เขาพูดมานั้นไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง อย่างน้อยเยี่ยนซือเต้าและเฟ่ยปังก็จะคิดตามอย่างลึกซึ้งในทุกครา หลังจากนั้นก็จะปฏิเสธด้วยเหตุผลนานัปการ

ฟู่เสี่ยวกวนมิรู้สึกเสียใจแต่อย่างใด เมื่อเทียบกับกลยุทธ์บรรเทาสาธารณภัยแล้วผลกระทบของเรื่องนี้ใหญ่โตกว่านัก หรือต่อให้เป็นฝ่าบาทก็ยังมิมีความมั่นใจมากพอในการเปลี่ยนแปลง

มิเป็นไร กลับกันเป้าหมายในการเดินทางมาเมืองหลวงครานี้จนถึงตอนนี้ก็สำเร็จจนเกือบจะเห็นผลที่แท้จริงแล้ว นี่ขึ้นอยู่กับการตัดสินพระทัยของฝ่าบาทในตอนสุดท้ายที่มีต่อเขา

ยามที่ฟู่เสี่ยวกวนกลับไปถึงโรงเตี๊ยมหยูเวิ่นหวินก็มาคอยเขาอยู่แล้ว

“เป็นเยี่ยงไรบ้าง ?” หยูเวิ่นหวินเอ่ยถามอย่างตั้งตาคอย

“แน่นอนว่ามิมีปัญหา” ในยามนี้ฟู่เสี่ยวกวนผ่อนคลายไปทั้งร่าง ซูม่อและชุนซิ่วจึงได้วางใจลง

“ยังมิได้ทานอาหารใช่หรือไม่ ? ”

“เสด็จพ่อของท่านตระหนี่นัก ข้าช่วยพระองค์แก้ไขปัญหาที่ใหญ่หลวง แต่มิแม้แต่จะตรัสให้ข้าอยู่ต่อเพื่อทานข้าวเลย”

หยูเวิ่นหวินกลอกตามองบนใส่เขา “เจ้าฝันหวานไปหน่อยแล้ว พวกข้าก็ยังมิได้ทานเช่นกัน เยี่ยงนั้น… ไปหงซิ่วจาวดีหรือไม่ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนประหลาดใจเล็กน้อย และเอ่ยถาม “หงซิ่วจาวมิใช่จำพวกหอนางโลมหรือ ? ”

“หงซิ่วจาวมิใช่ อาจารย์หูฉินหูมิอนุญาตให้เด็กสาวของนางรับแขก ต่างก็เป็นผู้บริสุทธิ์ทั้งสิ้น เพียงไปฟังเพลงดื่มสุรา ในระยะสิบลี้ของแม่น้ำฉินหวายนี้มีเพียงร้านเดียว เจ้าคงจำได้”

ฟู่เสี่ยวกวนจำได้ว่าก่อนที่จะออกเดินทางบิดากล่าวว่ายามที่มาถึงเมืองหลวง หากมีวันว่าง จงไปเยี่ยมหาอาจารย์หูแห่งหงซิ่วจาว เขามิได้ลืม เพียงแค่ก่อนหน้านั้นยังมิมีเวลา ทั้งยังต้องอยู่กับชูหลาน ในยามนี้ที่ได้มีเวลาพักผ่อนแล้ว ก็ลองไปดูเสียหน่อย

ในตอนที่กำลังจะออกเดินทาง เงยหน้ามาก็พบเข้ากับสองพี่น้องต่งซิวเต๋อและต่งชูหลาน ฟู่เสี่ยวกวนดีใจเป็นอย่างมาก หยูเวิ่นหวินเข้าไปถามจึงได้รู้ว่าเสนาบดีต่งกลับจวนแล้ว มิรู้ด้วยเหตุใดจึงได้ปล่อยต่งชูหลานออกมา

ดังนั้นต่งชูหลานจึงเอ่ยถาม “เป็นพระองค์หรือไม่ที่พูดคุยกับบิดาของข้าเพคะ ? ”

หยูเวิ่นหวินส่ายหน้าพัลวัน “เปล่านี่ ข้าหาได้มีความสามารถใหญ่โตถึงเพียงนั้น ? ”

ต่งชูหลานครุ่นคิดและกล่าวว่า “เยี่ยงนั้นก็คงจะเป็นองค์หญิงใหญ่”

แต่มิว่าเยี่ยงไร ต่งชูหลานก็ได้อิสระกลับคืนมาแล้ว นี่คือเรื่องที่สมควรเฉลิมฉลอง ดังนั้นหยูเวิ่นหวินจึงกล่าวว่าให้ไปหงซิ่วจาวด้วยกัน แต่คาดมิถึงว่าต่งชูหลานจะปฏิเสธข้อเสนอนี้

“พวกเราไปทะเลสาบซวนอู่เถิด จวนหลังนั้นซื้อมาไว้เนิ่นนานแล้ว เขายังมิรู้ตำแหน่ง ข้าเองก็ยากนักที่จะได้ออกมา พาพวกเจ้าไปดูด้วยกัน ถ้าหากว่าข้าถูกกักขังขึ้นมาอีกคราจะทำเยี่ยงไร ? ”

หยูเวิ่นหวินครุ่นคิด เรื่องนี้สำคัญยิ่งกว่าการไปหงซิ่วจาว พวกเขาจึงเปลี่ยนเป้าหมายไปทะเลสาบซวนอู่แทน

ฟู่เสี่ยวกวนย่อมมิได้สนใจ มีเพียงต่งซิวเต๋อที่เสียใจอย่างยิ่ง

“ได้ยินมาว่าที่หงซิ่วจาวมีคนใหม่มาอีกแล้วนามว่าหลิ่วเยียนเอ๋อร์ งดงามยิ่งกว่าเซวี๋ยเฟยเฟย โดยเฉพาะการรำดาบนั่น จนเรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ห้ามพลาดของเมืองหลวง น่าเสียดาย น่าเสียดายยิ่งนัก !”

ฟู่เสี่ยวกวนและต่งซิวเต๋อขึ้นรถม้ามาคันเดียวกัน ชายผู้นี้ก็ยังบ่นถึงเรื่องนี้ไม่หยุด ฟู่เสี่ยวกวนจึงประหลาดใจอยู่เล็กน้อย “ท่านเคยเจอหลิ่วเยียนเอ๋อร์เยี่ยงนั้นหรือ ?”

 “ข้าตั้งใจจะไปค่ำนี้ แต่น้องสาวของข้าต้องการให้ข้าพานางมาหาเจ้า แต่เดิมข้าคิดเอาไว้ว่าพวกเจ้าเองก็จะไปที่หงซิ่วจาวเช่นกัน แต่ในตอนนี้กลับต้องไปดูจวนอะไรนั่นของเจ้า ข้ากล่าวว่าจวนหลังนั้นมันไม่วิ่งหายไปไหนหรอก ค่อยไปดูพรุ่งนี้มิได้หรือ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะร่วน แล้วกล่าวว่า “หลิ่วเยียนเอ๋อร์ผู้นั้นเองก็มิวิ่งหนีไปไหนมิใช่หรือ? แล้วจะเป็นอะไรไปหากไปคืนพรุ่งนี้แทน ? ”

ต่งซิวเต๋อตีอกชกหัว “เจ้าจะไปรู้อะไรกัน หลิ่วเยียนเอ๋อร์มาหงซิ่วจาวได้สามวันแล้ว เรื่องแบบนี้ยิ่งลงมือเร็วเท่าใดก็ยิ่งดี เรียกว่าส่งฟืนไฟกลางหิมะ หากรอจนกระทั่งนางมีชื่อเสียงในเมืองหลวงแล้วค่อยไป อย่างมากที่สุดก็มิเกินไปกว่าเพิ่มดอกไม้บนผ้าทอลาย เจ้าว่าจิตใจของหลิ่วเยียนเอ๋อร์ จะเห็นส่งฟืนไฟกลางหิมะ หรือเพิ่มดอกไม้บนผ้าทอลายเป็นสิ่งสำคัญกว่ากัน”

เป็นอีกครั้งที่ฟู่เสี่ยวกวนต้องมองพี่รองผู้นี้ด้วยอีกมุมมองหนึ่ง คนผู้นี้มักจะจับใจความสำคัญของปัญหาได้เสมอ มันสมองมิเลวจริง ๆ

ทั้งสองจึงพูดคุยถึงดอกไม้งามของเมืองหลวงไปทั้งเยี่ยงนี้ ต่งซิวเต๋อมีข้อมูลในมืออย่างมากมายจึงกล่าวอย่างลำพองใจมิรู้จบ

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ให้ความสนใจแต่อย่างใด ฟังไปเรื่อยเปื่อยเพื่อฆ่าเวลา เขามิได้สลักจดจำนามเหล่านั้นเท่าใดนัก

และก็ได้เดินทางมาจนถึงหน้าประตูของจวนใหญ่ที่อยู่ในเขตทะเลสาบซวนอู่

ต่งชูหลานหยิบกุญแจ และเปิดประตูบานหนาที่ใหญ่โต

ชุนซิ่วและซูม่อไปซื้อโคมไฟมาสองสามอัน ต่างถือกันไว้คนละอัน และเข้าไปในจวนหลังใหญ่

ยกเว้นต่งชูหลานที่เคยมาสำรวจอย่างถี่ถ้วนแล้ว ต่างก็เป็นครั้งแรกของคนอื่น ๆ ที่ได้มา แม้แต่หยูเวิ่นหวินก็ยังตื่นตะลึงกับความอลังการของจวนชินอ๋องในราชวงศ์ก่อน เพียงแต่ว่าเป็นเวลานานแล้วที่มิมีผู้อาศัยอยู่ ภายใต้แสงไฟก็พบเห็นวัชพืชเติบโตไปทั่วทุกมุมจวน สีบนชายคาศาลาต่างก็เป็นลายพร้อยไปแล้ว โดยรวมแล้ว จวนนี้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก ใหญ่โตกว่าจวนฟู่ที่หลินเจียงหลายสิบเท่า

แต่ต่อจากนี้ก็ต้องทำการบูรณาจวนหลังใหญ่นี้ เกรงว่าเงินที่จะต้องจ่ายออกไปก็มิเบา

ฟู่เสี่ยวกวนพึงพอใจกับที่แห่งนี้อย่างยิ่ง หน้าจวนหันเข้าหาถนน ด้านหลังคือทะเลสาบซวนอู่ สวนดอกไม้ที่อยู่ด้านหลังยื่นออกไปยังกลางทะเลสาบ หากมีคันเบ็ดตกปลา เพียงเอื้อมมือออกไปก็ตกปลาได้แล้ว

“เจ้ารู้สึกเยี่ยงไรบ้าง ? ” ต่งชูหลานเอ่ยถาม

“ยอดเยี่ยมยิ่ง ! ” ฟู่เสี่ยวกวนตอบอย่างหนักแน่น

ต่งชูหลานหัวเราะ เงินสามหมื่นตำลึง หากฟู่เสี่ยวกวนมิชอบ แม้จะมิขาดทุนหากต้องขายที่นี่ออกไปอีกครา แต่ความตั้งใจของนางจะเสียแรงเปล่าไปในทันที

“ต่อจากนี้เจ้าวางแผนไว้เยี่ยงไร ?”

“อาจจะอยู่ที่เมืองหลวงต่ออีกในช่วงเวลาสั้นๆ แต่อย่างไรข้าก็ยังต้องกลับไปซีซานอีกสักระยะหนึ่ง ทางนั้นยังมีเรื่องอีกมากมายที่รอให้ข้ากลับไปแก้ไข แต่มิได้มีผลกระทบใด ๆ ก่อนอื่นต้องทำความสะอาดที่นี่เสียก่อน คงจะดีกว่าไปพักที่โรงเตี๊ยมอย่างมาก”

หยูเวิ่นหวินครุ่นคิด และกล่าวว่า “พรุ่งนี้ข้าจักนำเรื่องนี้ไปถามเสด็จแม่ นี่คือจวนชินอ๋องของราชวงศ์ก่อน การจะซ่อมแซมอาคารเหล่านี้มิใช่เรื่องง่ายดายนัก ดูแล้วจะต้องให้นายช่างกรมเครื่องไม้ของวังหลวงมาซ่อมแซม อย่าได้ให้นายช่างด้านนอกเหล่านั้นมาทำลายได้”

ต่งชูหลานเห็นด้วยกับความคิดนี้ เค้าโครงของจวนหลังนี้วิจิตรและตระการตา จำเป็นต้องใช้นายช่างมืออาชีพจึงจะมีวิธีกู้สภาพเดิมคืนมาได้ แต่จำต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน

ฟู่เสี่ยวกวนแบมือทั้งสองข้างออก “เรื่องนี้ให้เจ้าทั้งสองเป็นผู้ตัดสินใจ ข้ารับผิดชอบเรื่องเงินให้”

“เงินจากหนังสือความฝันในหอแดงมีอีก 25,000 ตำลึง หากไม่พอค่อยหาเอากับเจ้าอีก”

ต่งซิวเต๋อตกตะลึง เขารู้อยู่แล้วว่าน้องสาวรวย แต่มิคาดคิดว่าน้องสาวจะรวยถึงเพียงนี้ !

หลังจากนั้นต่งชูหลานก็เอ่ยพึมพำขึ้นมาหนึ่งประโยค “ดูเหมือนราคาหนังสือคงต้องสูงขึ้นแล้ว ผืนที่ดินใหญ่เพียงนี้ ค่าใช้จ่ายในภายภาคหน้าคงมิใช่น้อย”

นายน้อยเจ้าสำราญ

นายน้อยเจ้าสำราญ

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง นายน้อยเจ้าสำราญโชคดีที่ได้ทะลุมิติมา ทั้งยังได้เกิดในตระกูลเศรษฐีที่ดิน ชีวิตนี้ไม่ได้ขาดแคลนอาหารและเสื้อผ้าแต่ก็ไม่อยากจะเอาแต่กินจนตายไปทั้งอย่างนั้น ดังนั้นฟู่เซี่ยวกวนจึงได้กระทำเรื่องบางอย่างตามอำเภอใจ โดยไม่ได้คาดคิดเลยว่าจะเกิดผล กระทบที่ใหญ่หลวงตามมาเยี่ยงนี้ ฮ่องเต้ต้องการให้เขาเป็นขุนนางชั้นหนึ่ง องค์หญิงต้องการแต่งตั้งให้เขาเป็นราชบุตรเขย บุตรีแห่งจวนเสนาบดีสำนักตรวจการต้องการแต่งกับเขา คนป่าต้องการหัวของเขา รัฐอี๋ต้องการชีวิตของเขา ส่วนรัฐฝานต้องการเงินของเขา… แต่เขา.. ฟู่เซี่ยวกวนนั้นต้องการเป็นเศรษฐีที่ดินผู้ยิ่งใหญ่ต่างหากเล่า !

Comment

Options

not work with dark mode
Reset