ตอนที่ 285 เมื่อท่านสุภาพบุรุษลงมือ
“ข้าจะเลี้ยงดูคุณชายฟู่แล้วมันเกี่ยวอันใดกับเจ้า ? ”
คำถามที่แสนจะแทงใจดำของอู่หลิงนั้นทำเอาเหยียนหานยู่ตัวแข็งทื่อเป็นท่อนไม้
ก็จริง เรื่องส่วนตัวขององค์หญิงมิได้เกี่ยวอันใดกับเขาเลยแม้แต่น้อย ?
แต่เหยียนหานยู่ก็ได้สติกลับขึ้นมาโดยเร็ว เขามองฟู่เสี่ยวกวนด้วยสายตาที่ดูแคลนยิ่งนักและมุมปากนั้นได้แฝงรอยยิ้มที่เต็มไปความเยาะเย้ยแล้วกล่าวขึ้นมาว่า “ในฐานะบุรุษผู้หนึ่ง ข้ารู้สึกต่ำต้อยแทนท่านยิ่งนัก และในฐานะนักกวีแห่งราชวงศ์หยู ข้าก็รู้สึกเศร้าโศกแทนท่านเหลือเกิน ท่านอยากรู้หรือไม่ว่าเป็นเพราะเหตุใด ? ”
สายตาของอู่หลิงนั้นเผยให้เห็นถึงความเย็นชา ฟู่เสี่ยวกวนเพียงแค่ไปลูบไหล่นางเบา ๆ โดยมิได้ใส่ใจนัก แต่กลับลูบไฟโกรธภายในใจของนางให้หายไปเป็นปลิดทิ้ง
ฟู่เสี่ยวกวนจ้องมองเหยียนหานยู่ จ้องอย่างเงียบเชียบเยี่ยงนั้นอยู่เนินนาน ทุกคนต่างคิดว่าฟู่เสี่ยวกวนคงจะอยากเอ่ยอะไรบางอย่าง จะเป็นก่นด่าอย่างเดือดดาลก็ดีหรือจะเป็นแก้ต่างให้ตนเองก็ดี ทว่าเมื่อผ่านไปชั่วครู่ เขาก็ถอนสายตาออกแล้วเอ่ยคำหนึ่งออกมาอย่างแผ่วเบา “จองหองพองขน ! ”
เหยียนหานยู่ผงะเล็กน้อย นี่หมายความว่าเยี่ยงไรกัน ?
ขณะที่เขากำลังจะพยายามเอ่ยสิ่งใดออกมา แล้วฟู่เสี่ยวกวนได้ถือกาน้ำชาแล้วรินใส่ถ้วยชาของอู่หลิงพร้อมกับเอ่ยขัดจังหวะ “สิ่งที่องค์หญิงทรงตรัสออกมานั้นมิบังควรยิ่ง กระหม่อมรู้ซึ้งว่าองค์หญิงต้องการให้กระหม่อมฝักไฝ่ในการสร้างสรรค์งานเขียนโดยมิมีสิ่งเร้าใดมาขัดขวาง และด้วยเหตุนี้องค์หญิงจึงอยากให้ทุนทรัพย์ในการสนับสนุนกระหม่อม แต่กล่าวตามตรง กระหม่อมนั้นเป็นเศรษฐีที่ดินแห่งเมืองหลินเจียง อีกทั้งหยูเวินหวินและต่งชูหลานเองก็ยังช่วยกระหม่อมจัดการธุรกิจบางอย่างอีกเช่นกัน ดังนั้นชีวิตของกระหม่อมหาได้ขัดสนประการใดไม่ แต่สิ่งที่องค์หญิงทรงตรัสจะทำให้ผู้อื่นดูแคลนได้ พวกเขาคงจะคิดว่าองค์หญิงทรงมีใจให้กระหม่อม ทว่าแท้จริงแล้วคนเล่านั้นมิล่วงรู้ว่าพวกเราเพิ่งได้ประสบพบพานกันเท่านั้น วาจามนุษย์นั้นน่าสะพรึงกลัวนัก ในฐานะองค์หญิง ท่านควรจะระมัดระวังในการวางตนยิ่ง เพราะบนปฐพีแห่งนี้มีหมาบ้าที่พร้อมจะลอบกัดคนมากมายนัก”
คำกล่าวที่ร่ายยาวของฟู่เสี่ยวกวนเมื่อครู่นั้นทำเอาสิ่งที่อู่หลิงได้เอ่ยไว้แทบจะอันตรธานหายไป อีกทั้งยังสามารถจุดไฟแค้นขึ้นมาในใจของเหยียนหานยู่ให้ติดขึ้นมา
“ฟู่เสี่ยวกวน เจ้ารู้หรือไม่ว่ากองทัพแห่งแคว้นอี๋ของข้านั้นได้รุกล้ำถึงเมืองหลานหลิงแล้ว ? ”
ครานี้ฟู่เสี่ยวกวนไม่แม้นแต่จะชายตามองเหยียนหานยู่ เขาทำราวกับว่าไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น “เมื่อครั้งที่อยู่บนเส้นทางสัญจรแห่งภูเขาฉีซานนั้นช่างยากนักที่จะทราบถึงสถานะที่แท้จริงขององค์หญิง กระหม่อมต้องขออภัยโทษมา ณ ที่นี้ด้วย”
เดิมทีอู่หลิงอยากจะช่วยฟู่เสี่ยวกวนจัดการเหยียนหานยู่อีกสักครา แต่เมื่อเห็นฟู่เสี่ยวกวนมีสีหน้าที่เรียบเฉยและน้ำเสียงนั้นไร้ซึ่งความขุ่นเคืองใด ๆ นางจึงล้มเลิกความตั้งใจนี้ไป นางนึกคิดในใจว่าฟู่เสี่ยวกวนเป็นแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่งแต่เหตุใดจึงมีความคิดเยี่ยงนักปราชญ์ยิ่งนัก น่าชื่นชมอย่างแท้จริง
นางยิ้มตอบด้วยความยินดี “นั่นเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ข้ามิทราบว่าท่านโดนเป่ยหวังฉวนเจ้าคนขี้ขลาดนั่นซุ่มโจมตี ข้าได้นำกองทัพไปจับกุมเป่ยหวังฉวนเพื่อนำมาไถ่โทษที่มันได้กระทำต่อคุณชายเช่นนั้น แต่ข้าก็มิอาจจับมันมาได้ ”
เมื่อวาจานี้ได้ถูกตรัสออกมาก็ได้ดึงดูดความสนใจของเหล่าปัญญาชนได้ดีนัก ฝานเทียนหนิงขมวดคิ้วจนแทบผูกกัน ส่วนท่าป๋ายวนนั้นก็แววตาเป็นประกายด้วยความประหลาดใจขึ้นมา
แม้ว่าพวกเขาจะเป็นเหล่าปัญญาชนที่อยู่ในวัยศึกษาเล่าเรียน แต่พวกเค้าต่างมีความเข้าใจเกี่ยวกับยุทธภพมาบ้าง พวกเขารู้ว่าบนผืนปฐพีกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้มีสุดยอดปรมาจารย์ผู้ซึ่งมีนามว่าเป่ยหวังฉวน เรื่องราวพวกนี้พวกเขาต่างเคยได้ยินมาหมดแล้ว
ในเมื่อฟู่เสี่ยวกวนยังสามารถกระโดดโลดเต้นจนมาถึงที่นี่ได้นั้นก็หมายความว่าเป่ยหวังฉวนลอบโจมตีเขาไม่สำเร็จ
ฟู่เสี่ยวกวนเองก็ไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจนัก ในเมื่อเป่ยหวังฉวนเป็นสุดยอดปรมาจารย์ผู้เก่งกล้าปานนั้น กองทัพหญิงหนึ่งพันนางของอู่หลิงย่อมมิอาจจัดการเขาให้อยู่หมัดได้
ยิ่งไปกว่านั้นเขาเองก็รู้ดีว่าเป่ยหวังฉวนนั้นมีสถานะเยี่ยงไรในราชวงศ์อู๋ และเขาก็รู้ดีหากแม้ได้พบเป่ยหวังฉวนต่อหน้าราชวงศ์อู๋อีกครา เขาก็คงทำได้เพียงแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงริมชายแดน
“หาใช่เรื่องใหญ่ไม่ องค์หญิงได้โปรดสบายพระหฤทัยเถิด เขาได้รับบาดเจ็บ และคงมิกล้ามาทำร้ายพวกเราได้เป็นการชั่วคราว”
เป่ยหวังฉวนได้รับบาดเจ็บรึ ?
เหล่าปัญญาชนทั้งหลายต่างตกตะลึง นึกคิดในใจว่าเป็นถึงปรมาจารย์ผู้สูงส่งถึงเพียงนั้นจะมีผู้ใดสามารถทำร้ายเขาได้ ?
อู่หลิงเองนางก็ใคร่รู้เช่นกัน แต่นางไม่ได้เอ่ยถามออกไป
เพียงไม่นานหลังจากนั้นอาหารก็ถูกยกมาจากหอป้านเย่ และในขณะเดียวกันนั้นบ่าวรับใช้ในหอต้อนรับก็ได้ยกอาหารแกล้มสุรามาให้เหล่าปัญญาชนคนอื่น ๆ ในห้อง
ห้องนี้มีโต๊ะเพียงแค่ 2 ตัวเท่านั้น โต๊ะหนึ่งเป็นของฟู่เสี่ยวกวนกับอู่หลิงและคณะ อีกโต๊ะหนึ่งเป็นของเหยียนหานยู่และท่าป๋ายวน ส่วนเหล่าปัญญาชนคนอื่น ๆ นั้นได้นั่งอยู่ในห้องถัดไป ต่างก็ได้นั่งกับคนที่ตนได้คุยกันถูกคอแล้ว
อาหารจากหอป้านเย่รสชาติเลอเลิศกว่าของหอต้อนรับมากนัก ในส่วนของสุรา โต๊ะฟู่เสี่ยวกวนนั้นได้ดื่มสุราซีซาน ส่วนโต๊ะของเหยียนหานยู่นั้นดื่มสุราซางลั่วสิบสามดีกรีที่ผลิตเองของราชวงศ์อู๋
หากไม่มีสุราซีซานมาเทียบเคียง สุราซางลั่วนั้นจัดเป็นสุราแสนโอชะได้เลยทีเดียว
ทว่าเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับสุราซีซานอันเลื่องลือนี้แล้ว ก็หาได้มีสุราอื่นใดสามารถมาเทียบเคียงความหอมละนุ่มนั้นได้อีก
ในเมื่อองค์หญิงไท่ผิงทรงปฏิบัติต่อทุกฝ่ายอย่างไม่เป็นธรรมนัก เหยียนหานยู่จึงกระดกสุรารวดเดียวสามจอกแล้วเอ่ยขึ้นมา “ทุกท่าน เมื่องานแข่งขันกวีครานี้ได้เสร็จสิ้นแล้ว ข้าจะถวายความจำนงที่จะเข้าร่วมกองทัพต่อเสด็จพ่อ ”
“ท่านจะวางพู่กันแล้วหันมาจับอาวุธแทนงั้นหรือ ? ” มีบางคนถามขึ้น
“หาใช่ไม่ ข้าจะไปเหยียบถิ่นแดนแห่งราชวงศ์หยู นำกองทัพไปบุกยึดโรงหมักสุราซีซานแล้วขโมยสูตรหมักสุรานั้นมาเสีย เพียงเท่านี้ทุกคนก็ได้ลิ้มลองสุราหมักซีซานอันหอมอบอวลนี้กันถ้วนหน้า นี่เป็นแผนการที่เยี่ยมยอดเสียจริง ๆ ! ”
“ฮ่า ๆ ๆ ความคิดองค์ชายหกนี้ช่างบรรเจิดยิ่งนัก ได้ยินมาว่าสุราหมักซีซานนั้นผลิตที่ภูเขาซีซานแห่งเมืองหลินเจียง และเป็นสุราที่ผลิตโดยน้ำพักน้ำแรงของคุณชายฟู่เสียด้วยสิ”
“อ่า…” เหยียนหานยู่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เขายกจอกสุราแล้วตะโกนใส่ฟู่เสี่ยวกวน “ขออภัยด้วยเถิดคุณชายฟู่ ข้ามิทราบว่านอกจากท่านจะมีดีที่แต่งกวีได้แล้ว ท่านยังหมักสุราได้ยอดเยี่ยมอีกด้วย”
ฟู่เสี่ยวกวนยกจอกสุราขึ้นมาแล้วยิ้มตอบ “นอกจากกระหม่อมจะมีดีที่เขียนกวีและหมักสุราได้ดีเยี่ยมแล้ว กระหม่อมยังคงมีดีอีกหลายสิ่งอย่างเช่นขายสุรา กระหม่อมจักลองค้นหาหนทางภายในสามปีเพื่อที่จะนำสุรานี้ส่งออกไปยังแคว้นอี๋ของท่าน องค์ชายหกทรงคิดเห็นเยี่ยงไรเล่า ? ”
เหยีนหานยู้ส่ายหัวเล็กน้อย “ไร้ซึ่งความคิดเห็นใด ๆ ข้าตั้งมั่นแล้วว่าจักนำทัพไปบุกเมืองหลินเจียงให้จงได้ ถึงตอนนั้นหากท่านจักยอมมอบสูตรหมักสุราให้ข้าเสียโดยดี ข้าก็จะยอมเห็นแก่วันนี้ที่เราได้พบเจอกันแล้วยอมไว้ชีวิตท่านไว้ ”
พ่อหนุ่มคนนี้ช่างไร้เดียงสาเสียจริง ๆ !
“ตัวท่านมีนามว่าเหยียนหานยู่งั้นรึ ? ”
“ตัวข้าแม้จะเดินหรือนั่ง ชื่อนั้นย่อมมิเปลี่ยนแปลง”
“ความสามารถในการดื่มสุราของท่านนั้นอ่อนหัดยิ่ง แค่สามจอกก็เมาเสียขนาดนี้แล้ว ช่างเถิด ข้ามิอยากจะสนทนากับพวกคนเมาเท่าใดนัก”
“นี่เจ้า… ! ”
“เจ้าอะไรกัน แคว้นอี๋ของท่านนั้นเป็นดินแดนป่าเถื่อน แค่การศึกษาของประชาชนก็ยังมิได้รับการศึกษาที่ดี ส่วนสติปัญญาของพวกท่านน่ะหรือ ก็แค่สูงกว่าลิงที่ลงจากต้นไม้มาเดินบนดินเพียงน้อยนิดเท่านั้น สนทนากับคนเยี่ยงท่านนั้นช่างลดทอนสถานะอันสูงส่งของกระหม่อมเหลือเกิน ท่านยังจะเห็นว่าตนคู่ควรที่จะเป็นองค์ชายหกอีกหรือ ในความเห็นของกระหม่อมนั้น จะเหยี่ยนหานยู่หรือหมูหมากาไก่อะไรกระหม่อมก็มิสน หากมิเห็นแก่พระพักตร์ขององค์หญิงไท่ผิง กระหม่อมจะตบหน้าท่านเสียราวกับว่าเป็นแมลงวันตัวหนึ่งที่เสียงดังน่ารำคาญ ! ”
เหยียนหานยู่รู้สึกอับอายจนปะทุขึ้นมาเป็นเพลิงแค้นในชั่วพริบตา เขาลุกขึ้นมาแล้วชี้หน้าฟู่เสี่ยวกวน “แคว้นอี๋อันยิ่งใหญ่ของข้าจะนำม้าไปเลี้ยงที่ทุ่งหลานหลิง กองทัพแห่งแคว้นหยูจะต้องปราชัยให้แก่กองทัพแห่งแคว้นข้า เจ้าเป็นคนแห่งราชวงศ์หยูมิไปยืนรบอยู่แนวหน้าแต่คงจะถอยไปซุกจนหัวหด เจ้าร่ำเรียนตำราเซิ่งเซียนมา เจ้าย่อมรู้ดีว่าการจงรักภักดีต่อบ้านเมืองนั้นเป็นเยี่ยงไร เจ้าย่อมสละชีวีเพื่อรักษาไว้ซึ่งอุดมการณ์”
ฟู่เสี่ยวกวนถึงกับขมวดคิ้ว เขารู้สึกเกลียดที่สุดเมื่อมีคนมาชี้หน้าเขาแล้วเอามือมาสะกิดใต้คางเขาอย่างเหยียดหยาม ทันใดนั้นจอกสุราที่ถืออยู่ก็ได้หลุดลอยไปจากมือแล้วกระทบเข้าอย่างจังกับศีรษะของเหยียนหานยู่
และนี่คือครั้งแรกที่เขาได้ใช้กำลังภายในได้สำเร็จ !
แม้ว่ากำลังภายในนั้นจะใช้ได้อย่างไม่คล่องนัก ทว่าเหยียนหานยู่กลับคาดไม่ถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะลงไม้ลงมือกับเขาได้ และศีรษะของเขานั้นก็ไม่ได้แข็งแรงไร้เทียมทานถึงเพียงนั้น
แล้วก็มีเสียง “อ๋า… ! ” ร้องอย่างน่าเวทนาดังออกมา เหยียนหานยู่ยกมือไปลูบตรงหน้าผากแล้วก็พบเลือดสีแดงสดไหลย้อยมาตามร่องนิ้ว