ตอนที่ 286 ผูกมัด
ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่ศีรษะทำเอาเหยียนหานยู่ขาดสติ !
เขาบันดาลโทสะแล้วชักดาบสีทองของตนออกมา
“เจ้ากล้าข่มเหงข้างั้นรึ ! ข้าจักตัดหัวเจ้าเสีย ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนค่อย ๆ ยกตัวขึ้นอย่างเชื่องช้าและตบไหล่อู่หลิงอย่างแผ่วเบา เขาเดินเข้าไปหาเหยียนหานยู่ ทำให้หยูเหวิ่นหวินและต่งซูหลานที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วยเกิดความกังวลใจยิ่ง และได้ทำให้สายตาของอีกฝ่ายนั้นมองมาด้วยความพยาบาทเช่นเดียวกัน
“ก็ลองดูสิ ! ” ฟู่เสี่ยวกวนเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าของเหยียนหานยู่ “ท่านเป็นเพียงกบในกะลา ยังจะวาดฝันที่เลี้ยงม้าในทุ่งหลานหลิง จงตื่นจากความฝันนั้นเสียเถิด เลี้ยงม้าบ้าบออะไรของท่าน ! ”
ในขณะที่เอ่ยวาจานั้นเขาก็ได้ดึงจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อแล้วสะบัดไปมาอยู่ตรงหน้าเหยียนหานยู่
“ท่านรู้หรือไม่เหล่าทหารชายแดนตะวันตกของข้าได้ขับไล่พวกเศษเดนออกจากเขตซางยู่ไปแล้ว ท่านรู้หรือไม่ว่าแคว้นอี๋ของท่านนั้นเละเทะเสียยิ่งกว่าดินโคลน แต่ท่านยังจักกล้ามาอวดดีต่อหน้าข้าอยู่อีกเยี่ยงนั้นรึ ท่านไปนำความกล้าหาญเยี่ยงนี้มาจากที่ใดกัน ท่านมิรู้หรือว่าข้านั้นเป็นใคร ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยวาจาด้วยสีหน้าดุดันและเขาก็ฉวยโอกาสรุกหน้าเข้าไปอีก “ท่านเป็นตัวแทนนำบัณฑิตแคว้นอี๋มาร่วมการแข่งขันกวีครานี้ ตัวท่านนั้นนับว่ามาแล้วแต่สมองเล่ามิแน่ใจนักว่าได้ทำตกไว้ในหลุมไหน ลดดาบเจ้าลงมาเสีย มิเยี่ยงนั้นข้าจะเตะไข่ของท่านเสียให้แตกกระจุย ! ”
ล้วนเป็นนักกวีกันทั้งสิ้น !
เหล่าปัญญาชนโต๊ะนั้นหรือแม้แต่ท่าป๋ายวนเองก็ตะลึงจนพูดไม่ออก !
ฟู่เสี่ยวกวน ณ เวลานี้มิมีมาดของนักกวีแม้แต่น้อย !
ตอนนี้เขาก็เหมือนอันธพาลคนหนึ่งเพียงเท่านั้น !
ฝานซีหนิงนั้นรู้จักฟู่เสี่ยวกวนดีนัก เขาได้ยินมาว่าฝีปากของฟู่เสี่ยวกวนนั้นก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้ผู้ใด สามารถด่าจนคนฟังแทบกระอักเลือดออกมาได้ เมื่อมาเจอของจริงก็รู้สึกว่าน่าตกตะลึงสมคำล่ำลือยิ่งนัก
เหยียนหานยู่แม้ว่ามือจะถือดาบด้ามใหญ่แต่ก็มิอาจฟาดลงไปได้ แต่เยี่ยงไรเสียที่นี่ก็เป็นแผ่นดินแห่งราชวงศ์อู๋ ทุกคนต่างได้รับสาส์นเชิญมาจากจักพรรดิเหวินตี้ อีกทั้งยังมีองค์หญิงไท่ผิงร่วมวงอยู่ด้วย ขืนมุทะลุฆ่าฟู่เสี่ยวกวนไป ชีวิตเขาก็คงจะจบสิ้นเช่นกัน
ในฐานะโอรสขององค์จักรพรรดิ เขาย่อมไม่กล้าพอที่จะเอาชีวิตตนเองไปแลกกับเศรษฐีที่ดินกระจอก ๆ เช่นนั้นแล้วเขาจึงรู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก แล้วต่อไปจะหาทางออกเยี่ยงไรดี ?
“ข้าจะนับสามครา หากท่านไม่ยอมวางดาบนั้นลงข้าจะเตะลูกไข่เจ้าให้กระจุยต่อหน้าทุกคน”
“สาม ! ”
“สอง ! ”
“เพล้ง ! ”
ดาบของเหยียนหานยู่ได้ตกลงมาบนพื้น แล้วฟู่เสี่ยวกวนก็หลุดยิ้มขึ้นมาทันใด เขายื่นมือไปตบหน้าฝ่ายตรงข้าม
“ฟังนะ จำใส่หัวไว้ด้วย หากมิพกสมองมาด้วยก็จงเชื่อฟัง”
ในมือของเหยียนหานยู่นั้นไม่มีดาบอยู่แล้ว แล้วยังโดนฟู่เสี่ยวกวนตบหน้าสั่งสอนอีกตั้งหลายครา แม้ว่าจะตบอย่างเบามือ แต่ศักดิ์ศรีของเขานั้นได้ถูกย่ำยีจนไม่เหลือชิ้นดีแล้ว และเขาไม่สามารถข่มใจยอมรับความอัปยศนี้ได้ เขาได้ยกขาขึ้นแล้วถีบฟู่เสี่ยวกวนเข้าอย่างจัง
ทันใดนั้นฟู่เสี่ยวกวนเมื่อโดนฝ่าเท้านั้นตัวลอยขึ้นไป เสียงดัง “อ๋า…” ช่างฟังดูน่าเวทนายิ่งนัก หลังจากนั้นก็ลอยไปตกที่เก้าอี้ตัวหนึ่งจนแหลกละเอียด แล้วร่างนั้นก็นอนแผ่อยู่บนพื้นลุกไม่ขึ้นอีกต่อไป
“อ่า… ! ” ช่วงเวลานี้ได้เกิดความวุ่นวายขึ้นมา ตงชูหลานและหยูเวิ่นหวินได้วิ่งไปหาฟู่เสี่ยวกวน กระบี่วิทยายุทธของซูเจวี๋ยได้โบยบินขึ้นแต่ก็กลับมาอยู่บนหลังเขาอย่างรวดเร็วเช่นกัน
เข็มของซูโหรวก็กำลังจะลอยขึ้นไป แต่โดนซูเจวี๋ยห้ามปรามด้วยสายตาไว้ทัน
กล่องเพลงของซูโหรวยังไม่ทันได้เปิดออกมา แต่โดนซูเจวี๋ยจับมือนางกดแน่นไว้เสียก่อน
ฝานเทียนหนิงลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เขาก้าวเดินออกไป แล้วก็ถอยกลับมาอีก
อู่หลิงรู้สึกร้อนรนแล้วจึงตะโกนขอความช่วยเหลือ “ช่วยด้วย ช่วยจัดการเจ้าบ้านั้นให้ข้าที ! ”
เหยียนหานยู่รู้สึกมึนงงเป็นอย่างมาก เขาดูเหมือนว่ากำลังสับสนว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
แต่เท้านั้นแทบจะไม่ได้แตะต้องตัวเสี่ยวกวนเลย แต่เขาเองก็ไม่ได้ดูเหมือนว่าแกล้งทำ หรือว่ากำลังภายในของตนเองนั้นจะเก่งกล้าถึงขั้นไม่ต้องแตะเนื้อต้องตัวแล้ว ?
ในขณะที่เขากำลังทำหน้ามึนงงอยู่นั้นเอง ทันใดนั้นทหารหญิงกลุ่มหนึ่งได้เข้ามาในที่เกิดเหตุ
“จับมันมัดไขว้หลังแล้วยัดใส่ตะราง รุ่งขึ้นให้จับใส่รถเชลยแล้วลากเข้าไปในเมืองกวนหยุน ! ”
……
หยาดฝนแสนละเอียดนั้นไม่รู้ว่าได้หยุดตกไปตั้งแต่เมื่อใด
ท้องฟ้ายามราตรีที่มืดมิดได้เผยแสงดาวพราวกระจ่างและเสี้ยวจันทรา
ฟู่เสี่ยวกวนได้รับบาดเจ็บสาหัส เหยียนหานยู่ได้ถูกจับมัดแล้วยัดใส่ตะรางเสียแล้ว และตอนนี้งานเลี้ยงก็ถือว่าได้จบสิ้นไปโดยปริยาย
ฟู่เสี่ยวกวนได้ถูกซูเจวี๋ยแบกกลับห้องพักซึ่งอยู่บนชั้นสามของหอนี้
ในห้องนี้ยังมีคนอีกสามสี่คนนั่งอยู่ด้วยซึ่งแน่นอนว่าเป็นต่งซูหลาน หยูเวิ่นหวิน ซูโหรว ซูซู และก็มีอู่หลิงด้วยอีกคน
อู่หลิงรู้สึกกังวลใจเป็นอย่างมาก นางจึงตามหมอให้มาดูอาการของฟู่เสี่ยวกวนแต่ทว่าโดนซูเจวี๋ยห้ามปรามไว้เสียก่อน และตอนนั้นเองฟู่เสี่ยวกวนได้ลุกขึ้นนั่งหัวเราะ ฮ่า ๆ อยู่บนเตียง
อู่หลิงตะลึงเสียจนอ้าปากค้าง ฟู่เสี่ยวกวนแค่บิดขี้เกียจแล้วก็เอ่ยออกมา “กระหม่อมนั้นเพียงมิอยากยุ่งกับคนพรรค์นั้น มันน่าเบื่อหน่ายและไร้ซึ่งความหมายใด ๆ เลยอาศัยฝีเท้าอันนั้นทำทุกอย่างให้มันจบสิ้นไป ขอฝ่าบาทอย่าได้ทรงเป็นกังวล”
อู่หลิงหันไปมองท่าทีเอื่อยเฉื่อยนั้นของฟู่เสี่ยวกวนที่ตอนนี้หลุดหัวเราะด้วยความสะใจ ในแววตานั้นได้เผยความอบอุ่นขึ้นมาอย่างประหลาดใจ
พ่อหนุ่มคนนี้นี่เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก คิดไม่ถึงว่าจะเล่นละครตบตาคนทั้งห้องได้แนบเนียนถึงเพียงนี้ องค์ชายหกแห่งแคว้นอี๋หาเรื่องผิดคนเสียแล้วสิ แต่นางก็ไม่ได้เก็บเรื่ององค์ชายหกมาใส่ใจเลยแม้แต่น้อย ก็ในเมื่อคนสวะพรรค์นั้นมาตามรังควานฟู่เสี่ยวกวนไม่เลิก รุ่งเช้าต้องจับมันไปใส่ในรถลากเชลยศึกให้มันได้หลาบจำเสียบ้าง
ทันใดนั้นได้มีเสียงเคาะประตูดังมาจากหน้าห้อง ซูเจวี๋ยหันหน้าไปมองฟู่เสี่ยวกวน แล้วฟู่เสี่ยวกวนก็พยักหน้าตอบ
แต่เขาก็ไม่ได้แสร้งทำเป็นนอนติดเตียงอีกต่อไป เพราะเขามั่นใจว่าคนที่จะมาหาถึงห้องนั้นคงมิใช่คนจากแคว้นอี๋เป็นแน่
เมื่อซูเจวี๋ยเปิดประตูออกไปก็เจอชายหนุ่มหน้าขาวริมฝีปากสีแดงเดินเข้ามา
เขาสวมเสื้อคลุมลายเมฆสีขาวออกไปทางน้ำเงิน รอบเอวคาดเข็มขัดหยกได้แขวนลูกน้ำเต้าเล็ก ๆ เอาไว้
ชายหนุ่มผู้นี้ช่างดูละเมียดละไมและกระฉับกระเฉงยิ่งนัก ฟู่เสี่ยวกวนจำได้ว่าเคยพบเขาเมื่อตอนมื้อค่ำ เขานั่งเงียบอยู่ตรงมุมหนึ่งมาโดยตลอด มิได้ดึงดูดความสนใจจากผู้ใดเลย
“ตัวข้านั้นมาจากแคว้นฝานมีนามว่าฝานเทียนหนิง ข้าเคยพบกับคุณชายฟู่มาก่อน ! ”
เขาได้โค้งคำนับ มองดูแล้วมารยาทดีงามถูกต้องตามธรรมเนียมยิ่งนัก
ฟู่เสี่ยวกวนคำนับตอบ แล้วยิ้มกล่าว “ ท่านฝานมีมารยาทยิ่ง เชิญนั่งเถิด”
ฝานเทียนหนิงได้เดินเข้ามาและมีนักบวชรูปหนึ่งซึ่งสวมจีวรสีขาวออกน้ำเงินเช่นเดียวกันกับเขาได้ติดตามเข้ามาด้วย
นักบวชรูปนี้ท่าทีสง่างามยิ่งนักใบหน้านั้นคิ้วดกยาวสวยราวกับสตรี ในมือเขานั้นถือไม้เท้าสีเทาอ่อน ตรงยอดของไม้เท้านั้นได้มีพลอยสีขาวสะอาดตาขนาดเท่ากำปั้นติดไว้ มันได้ช่วยเสริมภาพลักษณ์ของเขาให้สง่างามมากยิ่งขึ้นไปอีก
ฝานเทียนหนิงแนะนำเขาให้เป็นที่รู้จักแก่ฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ “ทุกท่าน ท่านผู้นี้นามว่าคูฉานเป็นศิษย์น้องเล็กของอาจารย์ประจำแคว้นฝาน ท่านอาจารย์ได้ให้เขาติดตามข้ามายังแคว้นอู๋ครานี้ก็เพื่อให้เขาได้ออกจากวัดมาสั่งสมประสบการณ์ ”
ซูซูเงยหน้าขึ้นมามองคูฉาน
ผู้ดูแลสำนักเต๋าผู้เป็นอาจารย์ของนางได้มอบหมายภารกิจสองสิ่งให้นางหลังจากที่นางได้บำเพ็ญตนจนเสร็จสิ้น
สิ่งแรกต้องประลองฝีมือกับเหยี่ยนกุยผู้เป็นลูกศิษย์ของเป่ยหวังฉวน
สิ่งที่สองคือคือต้องไปหาคูฉานศิษย์น้องเล็กของผู้ดูแลลัทธิพุทธที่แคว้นฝานเพื่อประลองฝีมือ
เมื่อวันสารทจีนที่ผ่านมาอาจารย์ได้ไปหาคูฉานที่แคว้นฝาน แต่ทว่าเจ้าหนุ่มนี่ได้ออกเดินทางมาที่นี่พอดี หรือว่าจักลองประมือเสียตอนนี้ เจ้าคูฉานนี่ใช่ตัวปลอมหรือไม่ ? เหตุใดซูซูจึงมิได้รู้สึกถึงกำลังภายในของเขาเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย
เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาได้บรรลุไปถึงขั้นสูงสุดกลับคืนสู่สามัญ?
ขณะที่ซูซูตัดสินใจจะลงมือนั้น จู่ ๆ คูฉานก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาทักทายด้วยวิธีจัวยี ส่วนอีกมือก็ถือไม้เท้าเอาไว้ “อาตมาคือศิษย์สำนักพุทธนามคูฉาน ยินดีที่ได้พบคุณชายฟู่ ยินดีที่ได้พบเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องจากสำนักเต๋า”
ซูเจวี๋ยและศิษย์น้องอีกสามคนก็พากันคารวะตอบ ซูเจวี๋ยจัดหมวกให้ตรง พลางมองไปที่คูฉาน หากพูดไม่เจาะจงก็คือมองไปทางไม้เท้าที่คูฉานกำลังถืออยู่
ดูเหมือนว่า คูฉานผู้นี้ในใจจะยึดมั่นในศาสนาพุทธ และในอนาคตก็อาจจะเป็นเสาหลักของนิกายเซน
ปล.จัวยีคือพิธีการทักทายของชาวจีนสมัยโบราณที่จะกำหมัดขวาและใช้มือซ้ายกุมหมัดขวาเอาไว้