ตอนที่ 512 แหกกฎสวรรค์อีกสักคราจะเป็นไรไป
“ปีใหม่แล้ว”
อู๋หลิงเอ๋อร์นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง เหม่อมองออกไปยังท้องนภาที่เต็มไปด้วยดอกไม้ไฟที่เบ่งบาน จากนั้นจึงใช้มือลูบไปบนหน้าท้อง พลันยิ้มออกมาอย่างขมขื่นและเศร้าสร้อย
“ลูกเอ๋ย เดิมทีเจ้าต้องถือกำเนิดในเดือนสามท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่อบอุ่น แต่แม่มิอาจรอได้แล้ว”
“คาดมิถึงว่านางปิศาจจะแย่งชิงบัลลังก์… ตำแหน่งนั้นเป็นของพ่อเจ้า นอกจากเขา ผู้ใดก็อย่าหวังว่าจะแย่งมันไปจากมือของแม่ได้ ! ”
“ด้วยเหตุนี้ เจ้าต้องลืมตาดูโลกก่อนกำหนด หากเจ้ารอดก็นับว่าเป็นบุญ…” นางสูดหายใจเข้าลึก “หากเจ้าตาย…ถือว่านี่คือชะตากรรมของแม่ ! ”
“ฝ่าบาท อย่านะเพคะ ! ” หนีซางและลั่วอิง องครักษ์หญิงทั้งสอง พอได้ยินประโยคนั้นก็ได้คุกเข่าลงทันใด
ฝ่าบาทประสงค์จะคลอดก่อนกำหนด ทรงอดทนปิดบังมาเนิ่นนานถึง 7 เดือน การคลอดก่อนกำหนดเช่นนี้ อย่าว่าแต่เด็กในครรภ์เลย แม้แต่ชีวิตของนางเองก็ยากที่จะก้าวผ่านประตูผีไปได้
หากฝ่าบาททรงเป็นอันใดไป ราชวงศ์อู๋…ก็จะตกอยู่ในมือของนางปิศาจตนนั้นอย่างแท้จริง
อู๋หลิงเอ๋อร์ยกยิ้มขึ้น “เจ้าทั้งสองคนติดตามอยู่ข้างกายข้ามาหลายปี พวกเจ้าย่อมรู้นิสัยของข้าดี บัดนี้ราชวงศ์อู๋ถูกนางปิศาจครอบครองเอาไว้ อีกทั้งนางยังประสงค์จะยกทัพไปตีราชวงศ์หยู แล้วจะให้ข้าทนนิ่งดูดายได้เยี่ยงไร ? ”
“อีกประการหนึ่ง…” นางลูบไปที่ครรภ์ “เด็กคนนี้คือลูกของเขา แน่นอนว่าต้องเข้มเเข็งมิต่างจากเขา ! ”
“เสียงกลองเฉลิมฉลองแห่งคืนข้ามปีดังกังวาน หากได้ถือกำเนิด ณ วันดี ๆ เช่นนี้ คงจะมีความหมายมากเสียทีเดียว”
นางลุกขึ้นยืน “หนีซาง ลั่วอิง จงรับบัญชา ! ”
“แต่ฝ่าบาท… ! ”
“ข้าสั่งให้พวกเจ้ารับบัญชา ! ”
หนีซางและลั่วอิงก้มหน้ามองพื้นพร้อมกับน้ำตาที่ไหลนองหน้า “หม่อมฉัน น้อมรับพระบัญชาเพคะ ! ”
“จงไปเรียกหมอตำแยหลวงให้แอบมาพบข้า ข้าจะให้กำเนิดบุตรในวันนี้ จากนั้นจงเตรียมองครักษ์ชุดแดงจำนวน 30,000 นาย สวมชุดเกราะพร้อมอาวุธ เมื่อข้าให้กำเนิดบุตรเสร็จแล้วพวกเราจะเดินหน้าเข้าสู่วังหลวง พร้อมกับแย่งชิงความยุติธรรมกลับคืนมา ! ”
“หม่อมฉัน…รับพระบัญชาเพคะ!”
ทั้งสองเดินออกไปจากห้อง ส่วนอู๋หลิงเอ๋อร์นั่งลงข้างหน้าต่างอีกครา ยามที่เหม่อมองออกไปทางท้องนภาก็ได้เห็นดอกไม้ไฟที่แสนงดงามเหล่านั้น อยู่ ๆ น้ำตาก็ไหลออกมาอย่างมิรู้ตัว
หากนี่คือชะตากรรม ข้าจะฝืนชะตานี้อีกสักครา !
หากนี่คือประสงค์ของสวรรค์ การฝืนกฎสวรรค์อีกคราจะเป็นไรไป !
นางเช็ดน้ำตาแล้วลุกขึ้น หยิบดาบที่แขวนเอาไว้ข้างผนังออกมา
ดาบยาวถูกชักออกแล้วแทงเข้าไปในกำแพง นางคลายฝ่ามือพบว่าด้ามดาบนั้นสั่นแต่ทว่าไร้ซึ่งเสียงใด
……
……
ค่ำคืนนี้ เมืองกวนหยุนได้เกิดเหตุเพลิงไหม้ สร้างความวุ่นวายและเดือดร้อนเป็นอย่างมากมาย
เหตุเพลิงไหม้นี้สามารถดึงความสนใจของราชองครักษ์หลวงและองครักษ์ชุดแดงได้มากยิ่งนัก
ฉีเหริน เสนาบดีกรมกลาโหมบัญชาการกองทัพองครักษ์ชุดแดง ทว่ามิได้เดินทางไปดับไฟแต่กลับยืนคุ้มกันพระราชวังอย่างเคร่งครัด เพราะโจวถงถงกลับมาแล้ว !
เมื่อหลายวันก่อน ตนได้ส่งองครักษ์ชุดแดงจำนวน 10,000 นายออกตามจับโจวถงถง ทว่าโจวถงถงและอู๋ต้าหลางกลับหลบหนีจากเมืองฝานหนิงไปได้ มิพบเเม้เพียงเงาของพวกเขาเลยด้วยซ้ำ
จากระยะเวลาที่คาดการณ์เอาไว้ ทั้งสองคงเดินทางมาถึงเมืองกวนหยุนแล้ว
โจวถงถงดูแลหอเทียนจีมานานหลายสิบปี ย่อมรู้ดีว่าองครักษ์ชุดแดงจะเคลื่อนไหวเยี่ยงไร ดังนั้น ฝ่าบาทจึงตัดสินพระทัยวางกับดักไว้ทั่วทั้งเมืองกวนหยุน
การวางเพลิงนี้มิใช่เรื่องบังเอิญ แต่สื่อความหมายว่าสายลับแห่งหอเทียนจีได้สร้างขึ้นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจในการเดินทางเข้าเมืองกวนหยุนของโจวถงถง
เมื่อห้าวันก่อน ฉีเหรินสั่งให้องครักษ์ชุดแดงปลอมตัวเป็นชาวบ้านเข้าไปปะปนกับฝูงชน ช่างแสนกลมกลืนยิ่ง ต่อให้เป็นสายลับจากหอเทียนจีก็ยากที่จะรู้ได้ว่าเป็นผู้ใดเป็นผู้ใด
เพียงแค่โจวถงถงและอู๋ต้าหลางเข้ามาในเมืองกวนหยุน ก็หมายความว่าได้ก้าวเข้าสู่สุสานของพวกเขาแล้ว !
ฉีเหรินยืนอยู่บนกำแพงของวังหลวง สองมือไพล่หลังพร้อมกับทอดมองเมืองนี้ หากโจวถงถงถูกจับตัวได้ ก็จะสามารถเปิดชั้นที่สิบแปดของหอเทียนจีได้เช่นกัน
ฝ่าบาททรงตรัสว่าราชลัญจกรอยู่บนชั้นสิบแปด หากมีสองสิ่งนี้จึงจะทรงนั่งบนบัลลังก์ได้อย่างมั่นคงและสามารถบัญชาการกองทัพทั้งสามได้
ส่วนตนก็จะได้ขึ้นเป็นอัครมหาเสนาบดีเสียที
ดังนั้น…สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการจับตัวโจวถงถงให้ได้ !
ส่วนอู๋ต้าหลางเขาเดินเข้ามาในนรกเอง มาโดยมิได้เชิญด้วยซ้ำ
……
ณ เขาหานซาน วัดหานหลิง
อาจารย์ฮุ่ยเจวี๋ยชงชามาหนึ่งกา รินชาลงไปสองถ้วยแล้วส่งให้กับโจวถงถงและฟู่ต้ากวน
“สถานการณ์ในปัจจุบันของราชวงศ์อู๋ อัครมหาเสนาบดีทั้งสองถูกปลดออกจากตำแหน่งและจากการบีบบังคับของไทเฮาซี ทำให้ขุนนางกว่าครึ่งโอนเอนไปทางนาง หนึ่งในนั้น ผู้ที่ได้ประโยชน์มากที่สุดคือชื่อหลางฝ่ายขวาของกรมการคลัง หลี่อี้จี เมื่อวานนี้ องค์ไทเฮาปลดเมิ่งผิงฉาง เสนาบดีกรมการคลัง แล้วให้หลี่อี้จีขึ้นรับตำแหน่งแทน หากเป็นเช่นนี้ การโยกย้ายเสบียงก็จะเป็นไปได้เร็วขึ้น”
แม่ทัพของทหารฝ่ายเหนือเป็นบุตรคนโตของฉีเหริน มิต้องใช้คฑาอาญาสิทธิ์เคลื่อนทัพก็สามารถยกทัพได้ จากรายงานที่หอเทียนจีได้รับ คาดว่าราวกลางเดือนหนึ่ง เสบียงเหล่านั้นจะถูกจัดเตรียมจนเสร็จแล้ว และพวกเขาจะสามารถเคลื่อนทัพไปฉีซานได้ในตอนนั้น”
โจวถงถงพยักหน้าเห็นด้วย แล้วกล่าวกับฟู่ต้ากวนว่า “ฝ่าบาท คนผู้นี้คืออาจารย์ฮุ่ยเจวี๋ย เป็นหนึ่งในสายลับของหอเทียนจี”
ฟู่ต้ากวนมองภิกษุรูปนี้แล้วเอ่ยถามว่า “ข้าอยากไปคฤหาสน์จิ้งหู ต้องทำเยี่ยงไรบ้าง ? ”
พระอาจารย์ฮุ่ยเจวี๋ยนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยออกมาว่า “เชิญตามอาตมามาเถิด”
ร่างทั้งสามใต้แสงดวงดารา มุ่งหน้าไปตามแนวเขาเพื่อเข้าสู่จายซิงถายของคฤหาสน์จิ้งหู
ในขณะเดียวกัน ณ คฤหาสน์จิ้งหูอันวังเวงท่ามกลางสายลม โหยวเป่ยโต้วก็ได้นั่งอยู่บนกำแพงของจวนหลัก หนิงฝาเทียนคุ้มกันอยู่ที่ประตูทางเข้าจวนหลัก หนิงซือเหยียนยังคงรักษาความปลอดภัยอยู่ตรงทางเข้าคฤหาสน์ ท่ามกลางป่าไม้ เป่ยหวังฉวนที่ยังไม่หายจากอาการบาดเจ็บ นั่งอยู่บนต้นไม้พร้อมเช็ดธนูสุริยะพินาศในมือไปด้วย
โจวเปี๋ยหลีเดินถือดาบโชกเลือดเข้ามาในคฤหาสน์ เขาฆ่าคนไปหลายศพ ล้วนเป็นผู้มีฝีมือที่ไทเฮาซีส่งมา หลังจากเดินเข้ามาในจวนหลักก็ได้เคาะประตูห้องของอู๋หลิงเอ๋อร์
เขายืนชะงักอยู่ตรงนั้น มิได้เอ่ยเรียก ฝ่าบาท ออกมาตามเดิม
“รออีกสามเดือนค่อยให้เด็กคลอดออกมา”
“รอมิได้แล้ว หากรอต่อไป นางจะยึดราชวงศ์อู๋ไว้ได้อย่างสมบูรณ์ และราชวงศ์หยูจะถูกโจมตีจนย่อยยับ”
“…” โจวเปี๋ยหลีนิ่งเงียบไปชั่วครู่ “การทำเช่นนี้ย่อมมีอันตรายถึงชีวิต”
“มิเป็นไร ข้าสามารถผ่านมันไปได้อย่างแน่นอน”
“ข้าจะไปพาสุ่ยหยุนเจียนมา”
“เขาเป็นบุรุษ ! ”
“แต่เขาเป็นหมอตำแยที่เก่งกาจที่สุด เชื่อข้าเถิด ชีวิตของท่านสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด ! ”
โจวเปี๋ยหลีกำลังจะเดินออกไป แต่กลับถูกอู๋หลิงเอ๋อร์เรียกไว้ “ช้าก่อน ! ”
“หลังจากเสด็จแม่ถูกขังไว้ในตำหนักเย็น นางได้ตรัสกับข้าว่า… ให้ข้าสนทนากับเจ้า ข้าอยากรู้ว่านางหมายถึงเรื่องใด ? ให้สนทนากับเจ้าเรื่องใดกัน ? ”
โจวเปี๋ยหลีมิได้หันกลับไปมอง เขานิ่งเงียบอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นมาว่า “เด็กคนนี้ หากรอให้คลอดตามกำหนด ก็จะไร้ปัญหา ดังนั้น…ท่านลองทบทวนดูอีกครา ดีหรือไม่ ? ”
อู๋หลิงเอ๋อร์รู้สึกตื่นตกใจขึ้นมาอีกครา นางกังวลเรื่องลูกที่สุดแล้ว เนื่องจากพ่อของลูกคือพี่ชายของนางเอง
โจวเปี๋ยหลีหมายความว่าเยี่ยงไร ?
เขารู้ได้เยี่ยงไรว่าเด็กคนนี้จะมิมีปัญหา ?
โจวเปี๋ยหลีมิได้เอ่ยสิ่งใดออกมาอีก นางเองก็มิมีเวลาเอ่ยถามต่อ “ข้าได้ตัดสินใจแล้ว”
“เช่นนั้น จงรอข้าพาตัวสุ่ยหยุนเจียนกลับมาก่อนเถิด”
โจวเปี๋ยหลีเดินทางออกจากคฤหาสน์จิ้งหูอีกครา หมอหลวงและหมอตำแยได้เตรียมสิ่งของจำเป็นสำหรับการทำคลอดเอาไว้แล้ว
ผ่านไปมิถึงครึ่งชั่วยาม โจวเปี๋ยหลีก็ได้พาตัวหมอตำแยสุ่ยหยุนเจียน เข้ามาในห้องของอู๋หลิงเอ๋อร์