ตอนที่ 523 ตัดรากถอนโคน
หอกั๋วเซ่อเทียนเซียงตั้งอยู่ข้างหยี่ฮวาถาย
เป็นอาคารหนึ่งในชุมชนที่สร้างขึ้นมาอย่างเรียบง่ายแต่ดูสวยมีระดับ มีบ่อน้ำจากหินจำลอง ศาลาที่งดงาม เค้าโครงมีแบบอย่างมาจากเจียงหนาน สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นในความละเอียดอ่อนเหล่านี้
ในยามที่ฟู่เสี่ยวกวนกับสวี่ซินเหยียนมาถึง แสงไฟจากบ้านเรือนในเมืองต่างก็สว่างโร่ โคมไฟสีแดงด้านนอกซุ้มประตูหอกั๋วเซ่อเทียนเซียงก็สว่างขึ้นมาแล้วเช่นกัน
ในยามนี้ ยิงฮวากำลังแต่งหน้าอยู่เบื้องหน้ากระจก
นางได้ยินจากพี่สาวโจวผู้เป็นแม่เล้ากล่าวว่าวันนี้นางถูกคุณชายเยียนจองตัวเอาไว้แล้ว กล่าวว่าต้องการรับรองแขกคนสำคัญยิ่ง… คุณชายเยียนผู้นี้เคยมาที่กั๋วเซ่อเทียนเซียงสองครา เขาจ่ายเงินอย่างฟุ่มเฟือยทุกคราที่มา เห็นได้ชัดว่าเป็นคุณชายมาจากตระกูลใหญ่
แน่นอนว่าที่ยิงฮวาเดินทางจากราชวงศ์อู๋มายังแคว้นหยู และขายความสามารถอยู่ที่กั๋วเซ่อเทียนเซียงแห่งนี้ ก็เพื่อเงินทั้งสิ้น
นางลอบออกมาจากเมืองกวนหยุน ได้นำเงินติดตัวมาด้วยและใช้ไปจนหมดแล้ว หลังจากมาถึงเมืองจินหลิงจึงได้พบว่าตนอยู่เพียงลำพังในต่างแดน
นางเคยคิดที่จะไปหาฟู่เสี่ยวกวน แต่ก็ได้ละทิ้งความคิดนี้ไป… ฟู่เสี่ยวกวนและนางมีวาสนาเพียงพบหน้าเท่านั้น มิได้สนิทชิดเชื้อ การไปเยือนถึงหน้าประตูจวน ย่อมมิเหมาะสม
ดังนั้นนางจึงอาศัยรูปลักษณ์ที่งดงามและเสียงร้องอันไพเราะของตนเข้ามายังหอกั๋วเซ่อเทียนเซียง ใช้ระยะเวลาเพียง 1 เดือนก็ได้ขึ้นเป็นดาวเด่นของร้าน
แคว้นหลิวเองก็มีนักร้อง นางทราบว่าสถานะของนักร้องนั้นช่างต่ำต้อยยิ่ง ที่คิดเอาไว้คือเก็บเงินอีกเพียง 1 เดือน นางก็จะมีเงินถึง 500 ตำลึงแล้ว
นางมิได้ขายตัวให้กับหอกั๋วเซ่อเทียนเซียง สถานะของนางถือเป็นอิสระ รอมีเงินจนเพียงพอแล้ว นางก็จะกลับเมืองกวนหยุนทันที
เพราะนางได้ยินข่าวคราวเกี่ยวกับฟู่เสี่ยวกวนมามากมาย เขาสมรสแล้ว ตบแต่งกับสตรีที่งดงามราวกับดอกไม้หยก
นางจึงได้ล้มเลิกความคิด กลบฝังไว้ในก้นบึ้งของจิตใจ
ในขณะเดียวกัน นางก็รู้สึกสิ้นหวังเป็นอย่างมากที่ตั้งตารอให้ฟู่เสี่ยวกวนมายังที่นี่ เพียงได้พบหน้าเขา สามารถร้องเพลงที่เขาเป็นผู้ประพันธ์ให้เจ้าตัวได้ฟังสักครา
นักวรรณกรรมมิใช่ว่าชอบเยี่ยงนี้หรอกหรือ ?
แต่นางรอมาได้ 2 เดือนแล้ว กลับมิเคยเห็นคุณชายฟู่มาเหยียบที่นี่เลยสักครา
เขาเป็นคนที่ยุ่งมากอย่างแท้จริง
ในวันนี้ยังได้เป็นขุนนางใหญ่ขั้นสามของราชวงศ์หยู ทั้งยังเป็นหัวหน้ากรมการค้า
ยิงฮวาไม่เข้าใจว่ากรมการค้าคือสิ่งใด คาดว่าคงเกี่ยวข้องกับการค้า ในเมื่อเขาเป็นหัวหน้าของกรมใหม่นี้ ย่อมมีงานยุ่งอยู่ทุกวัน
แต่ก็น่าเสียดายยิ่ง ที่สุดท้ายก็มิสามารถพบหน้าเขาได้อีกสักครา
โชคดีแล้วที่มิได้พบเจอ
…..
…..
ฟู่เสี่ยวกวนพาสวี่ซินเหยียนเดินเข้าไปในหอกั๋วเซ่อเทียนเซียง สวี่ซินเหยียนค่อนข้างตื่นเต้น นางสวมผ้าคลุมหน้าแล้วมองไปทางฟู่เสี่ยวกวน ทันใดนั้นก็เอ่ยถามขึ้นมาว่า “สถานที่แบบนี้ ข้าค่อนข้างมิสะดวกใจที่จะมาเยือน ให้ข้าไปรอที่รถม้าดีกว่าหรือไม่ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “มิได้ หน้าที่ของเจ้าคือรักษาความปลอดภัยให้กับข้า หากประเดี๋ยวมีคนลอบสังหารข้าขึ้นมา เจ้าจะช่วยข้าได้เยี่ยงไร ? ”
สวี่ซินเหยียนตระหนักได้ถึงเหตุผล จึงมิกล้ากล่าวอันใดต่อไปอีก ทั้งสองจึงเดินเข้าไปด้านใน
เยียนเหลียงเจ๋อได้จัดเตรียมทุกอย่างไว้อย่างดี ในยามนี้กำลังรออยู่ ณ ห้องโถงใหญ่พร้อมกับเปียนมู่หยู
หลังจากการเจรจาเสร็จสิ้น พวกเขาก็ได้กลับมายังโรงเตี๊ยม หารือกันถึงสถานการณ์ที่ต้องเผชิญหลังกลับแคว้นอี๋ และได้ข้อสรุปแล้ว เยียนเหลียงเจ๋อเขียนสาส์นและไหว้วานคนสนิทให้เดินทางออกจากจินหลิงไปในวันนี้ ให้ควบอาชาไปยังเมืองหลวงของแคว้นอี๋
ดังนั้น ความกังวลของตนในยามนี้จึงผ่อนคลายลงมามากแล้วเช่นกัน
ในยามที่ฟู่เสี่ยวกวนเดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่ เขาก็ได้ลุกขึ้นและทำท่าคาราวะด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม “ท่านเสี่ยวกวน ให้ข้ารอเสียเนิ่นนาน มา ๆ ๆ เชิญไปห้องส่วนตัวที่ชั้นบน”
ฟู่เสี่ยวกวนโค้งคารวะแล้วหัวเราะร่า “เกรงใจพี่เยียนแล้ว ขอกล่าวอย่างมิกลัวพี่เยียนหัวเราะเยาะ หอกั๋วเซ่อเทียนเซียงแห่งนี้ ข้าเพิ่งมาเป็นคราแรก หงซิ่วจาวก็ถูกเผาจนมอด หอนี้จึงเป็นที่นิยมขึ้นมามาก”
ทั้งสองเดินขึ้นไปยังห้องส่วนตัวชั้นบน เยียนเหลียงเจ๋อค่อนข้างอึดอัด ลอบคิดว่าที่คนผู้นี้เอ่ยถึงหงซิ่วจาวมีความหมายอันใดซ่อนอยู่หรือไม่ ?
เดินเข้าไปในประตูที่มีกลิ่นอายโบราณ แล้วนั่งลงด้านข้างของฟู่เสี่ยวกวน และได้เอ่ยอย่างปลงตกยิ่งนักออกไป “หงซิ่วจาวถือเป็นสัญลักษณ์ของแม่น้ำฉินหวาย เมื่อวันนี้มิมีอยู่แล้วก็น่าเสียดายเล็กน้อย ข้าได้ยินมาว่าอาจารย์หูฉินหูมิได้ถูกทำร้าย คาดว่าการสร้างหงซิ่วจาวขึ้นมาใหม่คงมิใช่ปัญหา”
ฟู่เสี่ยวกวนมองซ้ายแลขวา ทันใดนั้นก็เข้าประชิดใบหูของเยียนเหลียงเจ๋อแล้วกระซิบกระซาบด้วยท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ “พี่เยียน สตรีที่อยู่ข้างกายนางนั้น ท่านมิได้ช่วยออกมาจริงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
เยียนเหลียงเจ๋อใจกระตุก ส่ายหน้าแล้วถอนหายใจออกมา “ท่านฟู่น่าจะทราบดีอยู่แล้ว คืนนั้นหรงเอ๋อร์ได้เชิญท่านไปร่วมงานเลี้ยงที่หงซิ่วจาว ในยามที่เห็นผู้ร้ายกำลังวางเพลิง หรงเอ๋อร์ก็ได้เสียชีวิตอยู่กลางกองไฟแล้ว วิญญาณของนางได้กลับเขาเซียนไปแล้ว”
“เฮ้อ…” ฟู่เสี่ยวกวนตบบ่าของเยียนเหลียงเจ๋ออย่างเห็นอกเห็นใจ “น่าเสียดายยิ่ง ชะตากรรมของสตรีที่งดงามช่างแสนสั้น เรื่องในคืนนั้นเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ผู้ร้ายปรี่มาทางข้าทว่าพัวพันไปถึงนาง
พี่เยียนเอ๋ย ท้ายที่สุดคนเราก็ต้องตาย แต่การตายนั้นต้องมีความพิถีพิถัน”
เยียนเหลียงเจ๋อคิ้วขมวด “คำเอ่ยนี้หมายความว่าเยี่ยงไรกัน ? ”
“ความตายของมนุษย์ มีเบาดั่งขนนก มีหนักดั่งเขาไท่ซาน ความตายของแม่นางผู้นั้น เบาดั่งขนนก แต่ข้าหวังว่าหลังจากพี่เยียนกลับแคว้นไปแล้ว เมื่อจะตาย ก็ต้องหนักดั่งเขาไท่ซาน ! ”
เยียนเหลียงเจ๋อจ้องฟู่เสี่ยวกวน ใบหน้าพลันมืดครึ้มขึ้นมา “เจ้ากล่าวมิน่าฟังเลย”
ฟู่เสี่ยวกวนยักไหล่ “คำสัตย์มิรื่นหู…” เขามองไปทางเยียนเหลียงเจ๋อ แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “ตามความคิดของข้า นโยบายของพี่เยียนในตอนนี้จะนำไปทูลถวายต่อองค์จักรพรรดิหลังจากที่กลับแคว้นไป กล่าวว่าในตอนนี้แคว้นอี๋ไร้กำลังจะก่อสงครามกับแคว้นหยู ดังนั้นจึงยกที่ดินให้เพื่อเป็นการชดเชย และเสนอนโยบายหนึ่งให้แก่องค์จักรพรรดิ ซึ่งก็คือการยึดแคว้นฮวง”
เยียนเหลียงเจ๋อขมวดคิ้วมุ่น ลอบคิดว่าคนผู้นี้ได้จับคนสนิทของตนไว้ใช่หรือไม่ ?
แต่ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้กล่าวต่อไปว่า “ถึงแม้ก่อนกลับแคว้น พี่เยียนจะให้เหล่าขุนนางที่มีใจภักดีสร้างแรงผลักดันขึ้นมา ให้องค์จักรพรรดิและขุนนางค่อย ๆ ทราบถึงผลลัพธ์นี้ ท่านมองว่านี่เป็นความคิดที่ดี แต่ในสายตาของข้านั้น เกรงว่ามันจะนำหายนะมาให้ท่านเอง”
เยียนเหลียงเจ๋อครุ่นคิด ถอนใจอย่างเงียบ ๆ “เสด็จพ่อมีจิตใจกว้างขวางและมีเมตตา เขาต้องเข้าใจเหตุผลเป็นแน่”
“บิดาของท่านอาจจะมีจิตใจกว้างขวางและมีเมตตา แต่ท่านได้เพิกเฉยความสำคัญของตำแหน่งผู้ครอบครองตำหนักบูรพาไป ตำแหน่งนั้น… ยังมีพระอนุชาอีก 2 คนคอยจับตามองอยู่ ! ”
คิ้วที่ขมวดมุ่นของเยียนเหลียงเจ๋อค่อย ๆ คลายออก เม้มริมฝีปากแน่น จดจ้องไปที่ฟู่เสี่ยวกวนโดยไม่กะพริบตา ผ่านไปถึงสิบอึดใจ ถึงได้หัวเราะขึ้นมา
“หากเป็นเจ้า จะลงมือเยี่ยงไร ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนลูบจมูกไปมา มุมปากยกยิ้ม “หากคนลงมือเป็นข้า ข้าจะตัดรากถอนโคนเสียให้สิ้น ! ”
“ตัดเยี่ยงไร ? ”
“…ตัดจากส่วนที่สูงที่สุด ! ”
ดวงตาของเยียนเหลียงเจ๋อหรี่ลงเล็กน้อย “หากตัดมิขาด เกรงว่าจะถูกรากนั้นแทงเข้าให้”
“นี่คือสิ่งที่ผู้ครองมงกุฎต้องแบกรับ ! เป็นความอันตรายของการแสวงหาความมั่งคั่งและเกียรติยศ ต้องดูฝีมือของพี่เยียนแล้ว ข้าเพียงขอเอ่ยเตือนท่านอีกสักหนึ่งประโยค ชีวิตของตนเอง สุดท้ายมีตนเองเป็นผู้ควบคุมจึงจะปลอดภัยที่สุด ส่วนเรื่องอื่น… สิ่งที่เรียกว่าประวัติศาสตร์นั้นผู้ชนะเป็นผู้เขียนมันขึ้นมา ดังนั้นเรื่องอื่นจึงมิสำคัญ”
เยียนเหลียงเจ๋อเงยหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง คืนนี้ดวงดาราสว่างไสว ช่างงดงามมากยิ่งนัก
มีเพียงผู้ที่มีชีวิตอยู่เท่านั้น ที่จะสามารถมองเห็นความสวยงามนี้ได้ สามารถเสพความสวยงามและแสดงความปรารถนาอันแรงกล้าออกไปได้ และสามารถชื่นชมความคึกครื้นบนใต้หล้านี้ได้
เมื่อเทียบกับฟู่เสี่ยวกวนแล้ว ตนยังห่างไกลออกไปอีกเล็กน้อย !
ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะจิตใจของตนที่อ่อนแอจนเกินไป !
ฟู่เสี่ยวกวนเห็นสีหน้าของเยียนเหลียงเจ๋อเปลี่ยนไป เขาจึงรินสุรา ยกจอกสุราขึ้นแล้วเพิ่มเชื้อเพลิงเข้าไป “พี่เยียน ชีวิตของข้าอยู่ที่ข้าหาใช่นภากำหนด เมื่อพบเจอกันอีกครา ข้าจะเรียกท่านว่าฝ่าบาทและเปี่ยมไปด้วยความเคารพ ! ”