ตอนที่ 620 ข้าจะตีเจ้าให้ตาย
ในยามโหย่ว แสงสุริยาได้ลาลับขอบฟ้าลงไปอย่างมิเต็มใจนัก
หวางซุนอู๋หยา หลู่ซีฮุ่น โจ่งจี้ถัง หยูซิ๋งเจี่ยน ซือหม่าอัน ซือหม่าจือ และซือหม่าเช่อ ทั้งเจ็ดคนได้มาถึงหอซื่อฟางแล้ว
ก่อนหน้านี้หลงจู๊ในหอซื่อฟางได้รับสารจากติ้งอันป๋อแล้ว จึงเชิญพวกเขาเข้ามาในห้องส่วนตัวบนชั้นสามพร้อมกับบริการน้ำชาและของว่าง จากนั้นก็เรียนให้พวกเขารอสักครู่
ทุกคนนั่งลงและรู้สึกประหม่าเล็กน้อย
“ณ ที่แห่งนี้ ท่านลุงซือหม่าอาวุโสที่สุด ข้า หลู่ซีฮุ่น จากตระกูลซางเซียงหลู่ซือ ขอถือวิสาสะเอ่ยถามท่านลุงว่าติ้งอันป๋อเชิญพวกเรามาร่วมงานเลี้ยงนี้ เขามีจุดประสงค์อันใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ซือหม่าอันยิ้ม “ความคิดของติ้งอันป๋อ ข้าหรือจะคาดเดาได้ ? แต่ข้าได้ยินจากผู้คนในเมืองหลวงเล่ากันว่าแม้เขาจะอายุยังน้อยและไม่เอาจริงเอาจังมากนัก แต่เขาก็มีความคิดที่ยอดเยี่ยมในการกระทำสิ่งต่าง ๆ ดังนั้นเจ้ามิต้องกังวลไปหรอก”
เอ่ยเยี่ยงนี้ แล้วผู้ใดบ้างจะมิประหม่า ?
แม้แต่ซือหม่าอันก็แอบกระวนกระวายเช่นกัน
ติ้งอันป๋อเชียวนะ !
ภูมิหลังของท่านผู้นี้มิธรรมดาเอาเสียเลย
บัดนี้ ตระกูลการค้าใหญ่ทั้งห้าได้ส่งคนล่วงหน้าไปที่ว่อเฟิงเต้าก่อนแล้ว และท่านผู้นี้เป็นเต้าถายของว่อเฟิงเต้าที่จะดูแลเหมือนดั่งบิดามารดาให้การคุ้มครองบุตร มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับอนาคตของตระกูลใหญ่ทั้งห้าของพวกตน
วันนี้ซือหม่าอันมิได้ไปที่ใด เอาแต่ปิดประตูเพื่อทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ สิ่งเดียวที่คิดได้คือติ้งอันป๋ออาจจะขาดแคลนเงิน… เขาจึงไปเข้าพบใต้เท้าซังหยู จงซูลิ่งแห่งหลินเจียง เนื่องจากท่านผู้นี้เคยทำหน้าที่เป็นเต้าถายที่เจี้ยนหนานตงเต้าและมีความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลซือหม่า
ใต้เท้าซังให้ความเคารพแก่ติ้งอันป๋อเป็นอย่างมาก จึงทำให้ตระกูลซือหม่าพลอยไว้วางใจไปด้วย
แต่หลังจากดื่มชาไปเพียงชั่วครู่ ใต้เท้าซังก็เอ่ยขึ้นมาว่าติ้งอันป๋อต้องการสร้างถนนที่ว่อเฟิงเต้าจึงของบประมาณ 100 ล้านตำลึงจากฝ่าบาท ซือหม่าอันได้ยินเช่นนั้นก็ตื่นตกใจเป็นอย่างมาก เงิน 100 ล้านตำลึงเชียว !
สร้างถนน !
ท่านผู้นี้ใจกล้าเสียจริง !
มิมีผู้ใดที่เข้าใจความสำคัญของการสร้างถนนในครานี้ได้ดีไปกว่าเหล่าตระกูลพ่อค้าทั้งหลาย ดังนั้นหากใส่ใจเรื่องนี้ก็จะรู้ว่าสาเหตุที่ติ้งอันป๋อสร้างถนนที่ว่อเฟิงเต้าก็เพื่อใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ทว่าใต้เท้าซังกลับส่ายศีรษะ กล่าวว่ามีพื้นที่ในราชวงศ์หยูต้องการใช้เงินบูรณะอีกหลายแห่งเลยทีเดียว ท้ายที่สุดฝ่าบาทจึงตกลงให้เขาเพียง 50 ล้านตำลึงเท่านั้น
ดังนั้นเงินส่วนนี้จึงมิเพียงพอ
มิเพียงพอต่อการสร้างถนน
ว่อเฟิงเต้าเพิ่งก่อตั้งขึ้นมาใหม่ ต้องจัดตั้งสำนักงานทางราชการหลายแห่งและยังต้องมีเจ้าหน้าที่หลายคนอยู่ประจำการอยู่ที่นั่นด้วย ทุกสถานที่ล้วนต้องใช้เงินทั้งสิ้น !
ในมุมมองของซือหม่าอัน เงิน 50 ล้านตำลึงนี้หากลองลดค่าใช้จ่ายในส่วนของคนงานลง ก็น่าจะมีเงินเพียงพอกับการสร้างถนน
นี่เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจมากยิ่งนัก แต่ในฐานะพ่อค้าพวกเขาไม่ได้มีปัญหาในเรื่องการลงทุนที่ว่อเฟิงเต้า แล้วถ้าพวกเขาถูกขอให้บริจาคเงินเพื่อสร้างถนนล่ะ… เดาว่าบิดาคงจะมิเห็นด้วย
การสร้างสะพานหรือถนนนั้นมิได้ง่ายดายเลย !
ความกังวลของซือหม่าอันก็คือสิ่งนี้ หากว่าติ้งอันป๋อกล่าวถึงเรื่องเงินในงานเลี้ยงนี้จริง ๆ เกรงว่าแผนการลงทุนที่ว่อเฟิงเต้าคงจะถูกระงับเอาไว้เสียก่อน
ด้วยเหตุนี้เขาจึงมิได้เอ่ยเรื่องนี้ออกไป ควรดูว่าอีกสี่ตระกูลใหญ่จะวางตัวเยี่ยงไร
ตระกูลใหญ่ทั้งสี่มีเล่ห์เหลี่ยมมากยิ่งนัก ส่งเยาวชนทั้งสี่มาเพื่อถ่วงเวลาโดยสามารถอ้างได้ว่าต้องกลับไปปรึกษากับท่านผู้นำตระกูลเสียก่อน แล้วก็แสร้งทำเหมือนมิมีสิ่งใดเกิดขึ้น
อันที่จริงทุกคนต่างก็คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ มีเพียงหวางซุนอู๋หยาเท่านั้นที่เหลือบมองซือหม่าเช่อซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ หลายครั้งหลายครา…
ปกตินางก็งดงามจนสามารถเป็นชนวนเหตุให้บ้านเมืองล่มสลายได้อยู่แล้ว แต่ทว่าเหตุใดในงานเลี้ยงค่ำคืนนี้ถึงได้งดงามมากกว่าเดิมอีกล่ะ !
นี่คือหายนะของแคว้นอย่างแท้จริง !
ในเดือนแปดนั้น เขาขอร้องท่านปู่หวางซุนชิงให้พาตนไปที่ตระกูลซือหม่าเพื่อขอหมั้นหมายกับนางเอาไว้ก่อน คาดมิถึงว่าจะถูกผู้นำตระกูลซือหม่าปฏิเสธ ตาแก่นั่นกล่าวว่าซือหม่าเช่อได้ประกาศอย่างหนักแน่นเอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะเลือกสามีด้วยตนเอง… นี่คือข้ออ้าง !
สตรีในใต้หล้านี้มีขนมธรรมเนียมที่สามารถเลือกสามีด้วยตนเองได้ด้วยหรือ !
หวางซุนอู๋หยารั้งอยู่ที่หยิงชิวเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม โดยคิดว่าจะสามารถเอาชนะใจซือหม่าเช่อได้ด้วยท่าทางที่สง่างามของตน แต่เขากลับมิได้คาดคิดมาก่อนว่าซือหม่าเช่อจะมิสนใจเขาเลย
จากนั้นเขาก็คิดว่าตนได้พบสาเหตุที่แท้จริงแล้ว ในสำนักศึกษาซงจู๋เขาเดินเข้าไปเห็นซือหม่าเช่อและชายผู้หนึ่งกำลังอยู่ด้วยกัน ดูเหมือนว่าทั้งสองจะเป็นคนรักกัน
ดังนั้นเขาจึงทำสิ่งที่น่าเหลือเชื่อลงไปคือ…เขารีบวิ่งเข้าไปสั่งสอนชายผู้นั้นทันที แต่มิคาดคิดว่าชายผู้นั้นจะเป็นเหวินกุ้ยแห่งสำนักศึกษาซงจู๋ !
ด้วยเสียงตะโกนของชายผู้นั้น ทำให้บัณฑิตที่สำนักศึกษาซงจู๋หลายพันคนรีบวิ่งออกมาดู !
เมื่อเขาเห็นดังนั้นจึงตื่นตกใจเป็นอย่างมากและได้รีบวิ่งหนีกลับไปที่เปี้ยนเหอด้วยความสิ้นหวัง
การมาจินหลิงในครานี้คืองานที่ได้รับมอบหมายจากท่านปู่ที่มอบให้เขา ในฐานะบุตรชายคนรองของตระกูลหวางซุน เขาจำเป็นต้องออกมาดูโลกภายนอกเสียบ้าง
ในคราแรกเขามิค่อยเต็มใจเท่าใดนัก เอาแต่คิดว่าที่เปี้ยนเหอมิดีตรงไหนหรือ ? เขาได้ยินมาว่าเมืองหลวงมีแต่ความวุ่นวาย !
แต่หลังจากรู้ว่าลูกพี่ลูกน้อง หวางซุนอู๋จี้ มิเคยได้สอบขุนนางเลยแต่กลับได้รับคัดเลือกจากติ้งอันป๋อให้ไปประจำการที่กรมการค้า ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกกดดันและยอมมา
เพิ่งได้รู้ว่าการตัดสินใจมาที่นี่ถือเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว เพราะหลังจากมาที่นี่ก็ได้พบกับซือหม่าเช่อ…หรือนี่จะเป็นโชคชะตากัน ?
คุณชายหวางซุนกำลังตกอยู่ในภวังค์ เอาแต่จ้องมองใบหน้าบอบบางของซือหม่าเช่ออย่างนั้นอยู่เนิ่นนาน ซือหม่าจือเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่นแล้วเตือนด้วยการกระแอมไอออกมาสองครา จากนั้นก็เอ่ยออกมาว่า “คุณชายหวางซุน ข้าได้ยินมาว่าหวางซุนอู๋จี้อยู่ใต้บังคับบัญชาของติ้งอันป๋อ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดติ้งอันป๋อจึงรับเขาไว้ทั้งที่ยังมิได้สอบขุนนางเลยสักครา ? ”
“อ่า…” หวางซุนอู๋หยาเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็รีบเบนสายตามาที่เขาทันที “คือ…ติ้งอันป๋อมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับข้า สิ่งที่เขาได้บรรยายในสำนักศึกษาวันนี้ มิเห็นจะมีสิ่งใดพิเศษเลยก็เป็นเพียงแค่การมาเล่าเรื่องให้ฟังเท่านั้นมิใช่หรือ ? ”
ทันทีที่เอ่ยประโยคนี้เสร็จ ทุกสายตาก็จ้องไปที่เขาเป็นตาเดียว
แม้แต่ซือหม่าเช่อก็เช่นกัน
ซือหม่าเช่อทำหน้าบูดบึ้งใส่เขา
หวางซุนอู๋หยาเห็นว่าทุกคนมองมาที่ตนเป็นตาเดียว แต่มิได้เอ่ยสิ่งใดออกมาเลยหรือว่าสิ่งที่ข้าเอ่ยพวกเขาก็เห็นด้วยเยี่ยงนั้นหรือ ?
คุณชายรองหวางซุนอู๋หยา อยู่ ๆ ก็ตื่นตัวขึ้นมา
เขายืนขึ้นแล้วตบมือเสียงดัง “พวกท่านลองคิดดูเถิด ติ้งอันป๋ออายุเพียง 18 ปีเท่านั้น ตำแหน่งที่ได้มาฝ่าบาทก็เป็นผู้ประทานให้ กล่าวกันว่าเขาสอบขุนนางแล้วแต่สอบมิผ่าน บทกวีของเขายอดเยี่ยมในข้อนี้ข้ายอมรับแต่ในเมื่อเขาสอบขุนนางมิได้ สิ่งนี้ย่อมอธิบายได้แล้วว่าเขาคงจะเรียนตำราทั้งสี่และคัมภีร์ทั้งห้าได้มิดีเลยด้วยซ้ำ”
“แล้วเหตุใดเขาถึงได้รับยศเป็นติ้งอันป๋อตั้งแต่อายุยังน้อยกันล่ะ ? ”
“ทุกท่านลองนึกถึงฮูหยินทั้งสามของเขาดูเถิด เบื้องหลังของพวกนางนั้นอยู่ระดับใด ? โดยเฉพาะองค์หญิงเก้าพระธิดาของฝ่าบาท เขาเป็นราชบุตรเขยของฝ่าบาท ! ดังนั้นตำแหน่งติ้งอันป๋อหากมิมอบให้กับเขาแล้ว จะมอบให้กับผู้ใดเล่า ? ”
“นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่าเขาเป็นโอรสของจักรพรรดิเหวินจึงมีฐานะเป็นองค์ชายแห่งราชวงศ์อู๋ ทุกท่าน…อย่ามัวแต่จมอยู่กับข่าวลือเหล่านั้นเลย อย่าปล่อยให้เขากลายเป็นตำนานเลย”
“เมื่อได้ละทิ้งบรรดาศักดิ์ เขาก็จะเป็นเพียงแค่คุณชายเศรษฐีที่ดินแห่งหลินเจียงคนหนึ่งเท่านั้น”
ตอนที่หวางซูนอู๋หยากำลังเอ่ยเรื่องเสียหายของฟู่เสี่ยวกวนอยู่นั้น ก็ได้มีคนสองคนเดินขึ้นมาบนชั้นสามของหอซื่อฟาง
ทั้งสองคือเฮ้อซานเตาและจงสือจี้
เมื่อผ่านห้องส่วนตัวห้องนี้ พวกเขาได้ยินคำเอ่ยของหวางซุนอู๋หยาเข้าพอดี เฮ้อซานเตาจึงขมวดคิ้วมุ่นและรู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก จากนั้นก็บังเกิดเสียงชักดาบดังขึ้นมา
ตามด้วยเสียง ‘ปัง ! ’ ของเท้าที่เตะประตูให้เปิดออก ในมือของเฮ้อซานเตาถือดาบแล้วจ้องมองด้วยสายตาดุร้าย “ไอ้ลูกหมา กล้าดีเยี่ยงไรมาใส่ร้ายผู้ที่ข้ายกย่อง ข้าจะตีเจ้าให้ตายประเดี๋ยวนี้ ! ”