นายน้อยเจ้าสำราญ – ตอนที่ 772 จู่โจม ( 1 )

ตอนที่ 772 จู่โจม ( 1 )

รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่สิบเอ็ด เดือนหนึ่ง วันที่ยี่สิบแปด

ทหารดาบเทวะกองพลน้อยที่หนึ่งซึ่งอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของกวนเสี่ยวซีก็ได้เดินทางมาถึงผิงหลิงแล้ว

หลังจากจัดระเบียบอยู่หนึ่งวัน ในราตรีวันที่ยี่สิบเก้าเดือนหนึ่งกวนเสี่ยวซีก็ได้นำกองพลน้อยที่หนึ่งจำนวน 5,000 นายเดินทางออกจากเมืองเป่ยเฟิงเข้าสู่อาณาเขตธงดำของชาวฮวง

ในวันที่หนึ่งเดือนสอง ทหารดาบเทวะกองพลน้อยที่สองซึ่งอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของเว่ยอู๋ปิ้งและกองพลน้อยที่สามของเฮ้อซานเตาก็ได้ทยอยเดินทางมาถึงจุดหมายปลายทางของตน

เช้าวันต่อมา เว่ยอู๋ปิ้งได้พากองพลน้อยออกเดินทางเพื่อเข้ายึดอาณาเขตธงเหลือง ส่วนเฮ้อซานเตาได้พากองพลน้อยมุ่งหน้าไปยึดอาณาเขตธงเขียวซึ่งอยู่ห่างออกไปอีก

จนกระทั่งวันที่สามเดือนสอง ทหารดาบเทวะกองพลน้อยที่หนึ่งได้บุกเข้าสู่แคว้นฮวงอย่างเป็นทางการ ในขณะนั้นทหารและม้าศึกของชาวฮวงล้วนบังเกิดความอลหม่าน

ณ ฮวงถิงแห่งพระราชวังป๋ายจินฮ่าน

ท่าป๋าเฟิงได้รับจดหมายขอความช่วยเหลือจากสถานที่ต่าง ๆ สีหน้าของเขามืดมนเสียยิ่งกว่าท้องนภายามราตรีเสียอีก

เจ้าแมลงน่ารำคาญสมควรตาย !

มันใช้กลวิธีนี้อีกแล้ว !

เข้ามาเพื่อยิงแล้วก็จากไป เข้ามาแย่งชิงม้าศึกกับเสบียงจากนั้นก็หายไปท่ามกลางหิมะที่เทกระหน่ำลงมา

“ตรวจสอบดีแล้วหรือไม่ ? ทหารดาบเทวะที่บุกเข้ามาในแคว้นฮวงมีจำนวนเท่าใดกันแน่ ? เหตุใดอาณาเขตธงทั้งหกจึงมีทหารดาบเทวะอยู่ทุกหนทุกแห่งเล่า ? แล้วท่าป๋าเจียนเกิดอันใดขึ้นกันแน่ ? เวลาผ่านมาตั้งหลายวันแล้วยังมิสามารถตีด่านภูเขาเยี่ยนแตกได้อีกหรือ ? ”

คำถามเหล่านี้ท่าป๋าเฟิงตะโกนกร้าวออกมาเสียงดังลั่น ซึ่งเปล่งมาจากจิตวิญญาณของตน

ทว่าบรรดาขุนนางนับร้อยยังคงยืนสงบนิ่ง เพราะมิมีผู้ใดตอบคำถามเหล่านี้ได้เลย

พวกเขาได้ส่งหน่วยสอดแนมออกไป อีกทั้งทหารคุ้มกันของแต่ละอาณาเขตธงก็ได้พยายามค้นหาทหารดาบเทวะท่ามกลางหิมะไปทุกหนแห่ง

แต่ก็มิเห็นแม้แต่หางของพวกมัน !

ณ อาณาเขตธงเขียวมีทหารคุ้มกันราว 20,000 นายที่โดนทหารดาบเทวะลอบกัด !

ได้ยินมาว่าหัวหน้ากองทหารนั้นมีนามว่าเฮ้อซานเตา เจ้าหมอนี่นำพรรคพวกเข้ายึดอาณาเขตธงเขียวยังมิพอ พวกมันยังนั่งกินแพะย่างทั้งตัวอย่างเอร็ดอร่อยอีกด้วย !

ช่างไร้สาระสิ้นดี !

นี่มันหยามกันเกินไปแล้ว !

เยี่ยงไรเสีย ท่าป๋าชัวหัวหน้าอาณาเขตธงเขียวก็มิกล้าส่งทหารคุ้มกันออกไป พวกเขาเอาแต่นั่งหดหัวหลบซ่อนอยู่ในเมืองชั้นในเนื่องจากกลัวว่าจะถูกทหารของเฮ้อซานเตาบุกเข้ามาสังหาร

“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมเห็นว่าพวกเราควรส่งทหารดาบสวรรค์ออกไปสักครึ่งหนึ่งเพื่อจัดการกับทหารดาบเทวะ หากปล่อยให้พวกมันกระทำการอุกอาจเช่นนี้ต่อไป…เกรงว่าจะเกิดปัญหาเรื่องของเสบียงอาหารขึ้นมาอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!”

“พวกมันเผาคลังเสบียงไปมากมาย หากตีด่านภูเขาเยี่ยนมิแตกก็เกรงว่าแคว้นฮวงจะต้องพบกับความหายนะอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ ! ”

ท่าป๋าเฟิงสูดลมหายใจเข้าลึกและมิสามารถเรียกกองทัพดาบสวรรค์กลับมาได้ ขอเพียงสามารถตีด่านเยี่ยนซานให้แตก แคว้นฮวงก็จะสามารถเดินหน้าไปทางใต้ได้สำเร็จ

ดังนั้นปัญหาเรื่องของเสบียงจะหมดสิ้นไป ส่วนเรื่องทหารดาบเทวะที่อยู่ในแคว้นฮวง… ก็ให้เข้าโจมตีกองป้องกันเมืองแปดทิศไปเถิด !

ในฮวงถิงมีทหารอยู่ถึง 200,000 นายและพวกเขาเหล่านี้คือองครักษ์หลวงของข้า ถือเป็นกำแพงอันหนาแน่น ทหารดาบเทวะจะเข้ามาง่าย ๆ ได้เยี่ยงไรกัน

เช่นนี้ ข้าคงต้องติดต่อไปยังกองทัพชายแดนเหนือของราชวงศ์หยูสักหน่อยแล้ว

ท่าป๋าเฟิงยุติการประชุมลง หลังจากนั้นก็เขียนจดหมายขึ้นมาหนึ่งฉบับแล้วส่งไปกับนกพิราบส่งสาร

……

……

ท่ามกลางหิมะโปรยปราย ทุ่งเลี้ยงสัตว์ ณ อาณาเขตธงเขียว ได้เผชิญกับหายนะอีกครา

เฮ้อซานเตาพาทหารจำนวน 5,000 นายเข้าไปจัดการกับทุ่งเลี้ยงสัตว์นี้ จากนั้นเขาก็ฉีกยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์

มีวัวและแกะมากมาย แน่นอนว่าเขาได้จับแกะตัวอ้วนมา 1 ตัว !

“ไปบอกพี่น้องของพวกเราให้ฆ่าวัวและแกะเหล่านี้เสีย ส่วนในคืนนี้พวกเราจะตั้งค่ายกันที่นี่เพื่อกินให้อิ่มแล้วค่อยเดินทางจากไป ! ”

ถังเล่อ หัวหน้ากองพันที่หนึ่งของกองพลน้อยที่สามนั่งลงข้างเฮ้อซานเตาแล้วเอ่ยว่า “ผู้บังคับการขอรับ ข้าว่าสตรีชาวฮวงก็มิเลวเลย…”

“เพียะ ! ”

เฮ้อซานเตาตบไปที่ศีรษะของถังเล่อแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “ข้าจะเตือนเจ้าเป็นคราสุดท้าย คราหน้าหากยังทำเรื่องแบบนี้อีก ข้าจะส่งตัวเจ้าไปให้แม่ทัพเฉินดำเนินการตามกฎทหาร ! ”

ถังเล่อยกมือขึ้นกุมศีรษะแล้วยิ้มเก้อออกมา “นี่เป็นศัตรูมิใช่หรือขอรับ ? พวกเราจะเมตตาพวกมันเนื่องด้วยเหตุอันใดกัน ? ”

เฮ้อซานเตาสงบสีหน้าลง ดวงตาจ้องเขม็งไปยังถังเล่อจนทำให้คนถูกจ้องใจสั่นสะท้าน เฮ้อซานเตาเอ่ยอย่างจริงจังว่า “นี่เป็นคราแรกข้าจึงให้อภัยเจ้า แต่จงจำใส่สมองเอาไว้ว่าพวกเราคือทหารดาบเทวะ พวกเราเป็นนักรบของติ้งอันป๋อ ! ”

“นี่คือกฎและระเบียบวินัย ! เป็นวินัยที่ท่านติ้งอันป๋อเขียนขึ้นมาด้วยมือของตนเอง ! ”

“หากเจ้ายังมิอาจบังคับความปรารถนาของร่างกายได้…ก็เท่ากับว่าเจ้ากำลังทำลายชื่อเสียงของทหารดาบเทวะ อีกทั้งยังทำลายชื่อเสียงของติ้งอันป๋อ ! ข้าขอเอ่ยตามตรงว่าเพียงเจ้ากล้าทำผิดกฎหรือแม้แต่ลูกน้องของเจ้าก็ตาม ข้าจะมิส่งมอบพวกเจ้าให้แม่ทัพเฉิน… แต่ข้าจะตัดศีรษะของเจ้าด้วยมือของข้าเอง ! ”

ถังเล่อตกตะลึงงันจนเหงื่อท่วม มิน่าเชื่อว่าผู้บังคับการกองพลที่มองแล้วมักยิ้มระรื่นไปวัน ๆ เมื่อเอาจริงขึ้นมาช่างน่ากลัวยิ่ง

“ข้าน้อยผิดไปแล้วขอรับ ! ”

“รู้ว่าผิดก็ดีแล้ว หากรู้ว่าผิดก็จงปรับปรุงตัวเสีย ! ”

ถังเล่อกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ “ข้าน้อยจะปรับปรุงอย่างแน่นอนขอรับ จะมิให้เกิดเหตุการณ์เยี่ยงนี้อีก ! เพียงแต่ว่า…ท่านผู้บังคับการ พวกเราจะเก็บคนเหล่านั้นไว้ทำอันใดกันเล่า ? สู้ฆ่าทิ้งเสียมิดีกว่าหรือขอรับ”

“เจ้าจะไปรู้อันใดกัน ! นี่คือคำสั่งของติ้งอันป๋อ จงจำเอาไว้ว่าสังหารกองกำลังทางทหารจนสิ้นและเผาเสบียงอาหารให้หมด อีกทั้งม้าศึกของศัตรูก็ฆ่ามิให้เหลือ แต่สิ่งที่ต้องเหลือเอาไว้ก็คือชาวบ้านและชนเผ่าเร่ร่อน…”

“ชาวบ้านและพวกเร่ร่อนมิใช่ทหาร อีกทั้งพวกเขายังเบียดเบียนเบี้ยหวัดทางทหารได้ด้วย ดังนั้นจงไปย้ำกับพี่น้องทั้งหลายว่าดาบและปืนในมือต้องเล็งเป้าให้ถูกตัว อย่าทำให้ข้าพลาดโอกาสขึ้นเป็นผู้บัญชาการเป็นอันขาด ! ”

ทหารจำนวน 5,000 นายได้กินและดื่มจนอิ่มหนำสำราญ เฮ้อซานเตาจึงหยิบแผนที่ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ จากนั้นก็ทำสัญลักษณ์กากบาทตรงบริเวณที่ตนอยู่ เขาทำท่าทางอึดอัดใจเนื่องจากตอนนี้อาณาเขตธงเขียวถูกยึดจนแทบสิ้นแล้ว

จะทำเยี่ยงไรต่อดี ?

จากแผนการเดิมคือเขาควรนำกองพลกลับไปยังเมืองเป่ยเฟิงเขตผิงหลิง ทว่าบัดนี้อยู่ห่างจากกำหนดการเดินทางกลับไปยังเป่ยเฟิงถึงยี่สิบกว่าวัน และยิ่งเขาเดินทางไปรวดเร็วเท่าใดก็มิใช่ว่าจะเป็นผลดี

มิสู้…

เขาจดจ้องไปยังแผนที่ของแคว้นฮวง ทั้งหกอาณาเขตธงล้วนมีทหารดาบเทวะอยู่ แต่ละกองพลล้วนโหดเหี้ยม ดังนั้นย่อมมิเหลือเศษซากไว้ให้เขาตามเก็บอย่างแน่นอน อืม…หรือเขาจะเข้าโจมตีฮวงถิงดี ?

เมื่อความคิดนี้ปรากฏขึ้นมา เขาก็รีบส่ายศีรษะทันใด มิได้ ! มีทหารเพียง 5,000 นายจะเข้าโจมตีฮวงถิงได้เยี่ยงไร ข้าคิดมากไปแล้วจริง ๆ

เช่นนั้นก็เข้าโจมตีกองป้องกันเมืองแปดทิศของฮวงถิง อย่างเช่น…

นิ้วมือของเขาชี้ลงไปที่ด้านหน้า นั่นคือเมืองต้ายา !

“ถังเล่อ จงส่งหน่วยสอดแนมไปสืบให้ข้าสักหน่อยว่าทหารที่เมืองต้ายาเป็นเช่นไร ! ”

……

……

บัดนี้กวนเสี่ยวซีก็สามารถกวาดล้างอาณาเขตธงดำจนเกือบหมดแล้ว เขาเองก็นั่งปวดศีรษะอยู่ในกระโจมผู้บังคับการ ด้านหน้ามีแผนที่วางอยู่เช่นกันและในใจของเขากำลังนึกถึงเฮ้อซานเตา !

เจ้าหมอนั่นมิใช่คนที่ชอบอยู่สงบเสียด้วย

หลังจากที่มันจัดการอาณาเขตธงเขียวเรียบร้อยแล้ว จะยอมกลับไปยังผิงหลิงอย่างง่ายดายเยี่ยงนั้นหรือ ?

เป็นไปมิได้อย่างแน่นอน !

เจ้าหมอนั่นจับจ้องตำแหน่งผู้บัญชาการมาเนิ่นนานแล้ว องค์ชายห้าหยูเวิ่นเต้าได้ลาออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการจึงทำให้ตำแหน่งนี้ว่างเปล่าและยังมิมีผู้ใดขึ้นมาทดแทน

ทว่าในกองทัพที่หนึ่งนี้มีผู้บังคับการกองพลน้อยอยู่ถึง 6 คน เว่ยอู๋ปิ้งลอบเก็บความอึดอัดเอาไว้ในใจมาเนิ่นนานเพราะหวังเสี่ยวจ้วงแห่งกองพลน้อยที่สี่นั้นอย่ามองว่าไร้วัฒนธรรม สมองของคนผู้นั้นช่างยอดเยี่ยมยิ่ง อีกทั้งยังเชี่ยวชาญในด้านของแผนการ มิหนำซ้ำยังเป็นทหารเก่าแก่ของอดีตกองพลที่หนึ่งอีกด้วย เคยได้ร่วมสงครามเขตผิงหลิงมาก่อนจึงนับว่ามีความสามารถแข็งแกร่งพอสมควร

ส่วนเฝิงซีผู้บังคับการกองพลน้อยที่ห้าเปรียบเสมือนม้ามืด เรี่ยวแรงของคนผู้นั้นสามารถหยิบดาบที่มีน้ำหนักสี่ห้าสิบชั่งขึ้นมาได้อย่างสบาย ๆ ยามทำการฝึกฝนก็แทบมิห่วงชีวิตของตนเองเลยสักนิด เกรงว่าตอนทำสงครามก็คงจะมิห่วงชีวิตของตนเองเช่นกัน

สุดท้ายคือถูฟู ผู้บังคับการกองพลน้อยที่หก คนผู้นี้เป็นทหารเก่าแก่เพราะเคยเป็นทหารกองทัพชายแดนตะวันออกมาก่อน อีกทั้งยังเป็นลูกน้องของนายพลไป๋ แม้จะอายุเกือบ 40 ปีแล้ว แต่เขาก็ยังสามารถคว้าอันดับที่หกจากการแข่งขันกับทหารทั้งหมด 30,000 นายมาครองได้ เห็นได้ชัดว่าเก่งกาจยิ่ง

แต่ละคนมีความสามารถล้นเหลือ ดังนั้นเขาจะสะเพร่ามิได้เป็นอันขาด

ว่าแต่ข้าจะทำเยี่ยงไรดีถึงจะสามารถทำผลงานให้โดดเด่นกว่าผู้อื่นได้ ?

สายตาของเขามองไปยังเมืองคุ้มกันทั้งแปดรอบฮวงถิง สายตาพลันไปตกอยู่ที่เมืองกูหยุน !

หึหึ… ข้าจะไปโจมตีเมืองกูหยุน !

นายน้อยเจ้าสำราญ

นายน้อยเจ้าสำราญ

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง นายน้อยเจ้าสำราญโชคดีที่ได้ทะลุมิติมา ทั้งยังได้เกิดในตระกูลเศรษฐีที่ดิน ชีวิตนี้ไม่ได้ขาดแคลนอาหารและเสื้อผ้าแต่ก็ไม่อยากจะเอาแต่กินจนตายไปทั้งอย่างนั้น ดังนั้นฟู่เซี่ยวกวนจึงได้กระทำเรื่องบางอย่างตามอำเภอใจ โดยไม่ได้คาดคิดเลยว่าจะเกิดผล กระทบที่ใหญ่หลวงตามมาเยี่ยงนี้ ฮ่องเต้ต้องการให้เขาเป็นขุนนางชั้นหนึ่ง องค์หญิงต้องการแต่งตั้งให้เขาเป็นราชบุตรเขย บุตรีแห่งจวนเสนาบดีสำนักตรวจการต้องการแต่งกับเขา คนป่าต้องการหัวของเขา รัฐอี๋ต้องการชีวิตของเขา ส่วนรัฐฝานต้องการเงินของเขา… แต่เขา.. ฟู่เซี่ยวกวนนั้นต้องการเป็นเศรษฐีที่ดินผู้ยิ่งใหญ่ต่างหากเล่า !

Comment

Options

not work with dark mode
Reset