นายน้อยเจ้าสำราญ – ตอนที่ 776 ไปกันเถิด

ตอนที่ 776 ไปกันเถิด

ในยามที่เยียนเหลียงเจ๋อกำลังสิ้นหวังอยู่นั้นก็ได้รับข่าวดีนี้มา ท่าป๋าเฟิงตีด่านภูเขาเยียนจนแตกพ่าย จากนั้นก็บุกเข้าไปในเมืองซินโจว

คาดมิถึงว่าทหารที่เหลืออยู่เพียง 60,000 นาย ซึ่งคอยป้องกันเมืองซินโจวจะแข็งแกร่งมากถึงเพียงนี้

ฟู่เสี่ยวกวนเองก็คาดมิถึงเช่นกันว่าพวกเขาจะสามารถป้องกันเมืองซินโจวได้ถึงวันที่สิบห้าเลยทีเดียว

รักษาเมืองไว้ได้นานถึง 10 วัน !

เมืองซินโจวสามารถต้านทานการโจมตีของทหารดาบสวรรค์อันหนักหน่วงได้ถึง 10 วัน !

จนกระทั่งคืนวันที่สิบห้าเดือนสอง…

“พวกเขาเป็นทหารที่อาจหาญอย่างแท้จริง ! ”

ณ ภูเขาบริเวณมิไกลจากเมืองซินโจวมากนัก ฟู่เสี่ยวกวนใช้กล้องส่องทางไกลมองดูเหตุการณ์อย่างเงียบ ๆ

“เกรงว่าจะมิอาจต้านทานได้แล้ว…หากเผิงเฉิงอู่มิพาทหารจากไปทั้งหมด ชาวฮวงย่อมมิอาจโจมตีเมืองซินโจวได้สำเร็จ ! ”

ซูม่อวางกล้องส่องทางไกลลงด้วยความหดหู่ จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “น่าเสียดายยิ่ง ! ทหารจำนวน 60,000 นายอีกทั้งชาวเมืองซินโจวหลายแสนคนจะถูกกวาดล้าง…”

“ชาวบ้านมิได้มีความผิดอันใด พวกเราเข้าไปช่วยเหลือดีหรือไม่ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ตอบคำถามนี้ ทันใดนั้นก็มีสายลมพัดพาความหนาวเย็นมาต้องผิวกาย เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องนภาที่มืดครึ้มจากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “หิมะใกล้ตกอีกแล้ว เมื่อหิมะตกลงมาก็จะปกคลุมทุกสรรพสิ่ง… อาทิเช่น โลหิตสีแดงที่ร้อนแรงดุจเปลวเพลิง ซากศพที่ยังมิทันแข็งตัว อีกทั้งแผนการชั่วช้าเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองเหล่านั้น”

“ไปกันเถิด”

ฟู่เสี่ยวกวนก้าวเท้าออกไป ใบหน้าปรากฏความเศร้าโศกขึ้นมาเล็กน้อย

เขามิอาจทนมองต่อไปได้ เพราะเกรงว่าตนจะตัดสินใจผิดพลาดไป

……

……

ณ เมืองซินโจว

กำแพงเมืองถูกยิงจนเป็นรูทะลุขนาดใหญ่หลายพันรู

ปืนใหญ่หงอีที่เดิมถูกวางอยู่บริเวณกำแพงเมืองนับร้อยกระบอก บัดนี้ครึ่งหนึ่งได้ถูกปืนใหญ่ของชาวฮวงยิงจนเละมิเป็นท่า ส่วนอีกครึ่งที่เหลือ จงเหล่ยเสี้ยวเว่ยและฉีคังได้ส่งคนมาเคลื่อนย้ายไปยังปากประตูเมืองทั้งสี่แล้ว

บัดนี้ปืนใหญ่ที่ยังใช้งานได้มีเพียง 10 กระบอกเท่านั้น

บนกำแพงเต็มไปด้วยซากศพ

มีทั้งศพของทหารและชาวเมืองซินโจว แน่นอนว่ามีศพของชาวฮวงด้วย

ซากศพเหล่านั้นกองทับถมกันโดยมิอาจแยกแยะได้

โลหิตไหลปกคลุมทั่วทั้งกำแพงจนเป็นสีแดงฉาน และยังย้อมถนนสายนี้ให้เป็นสีเดียวกันอีกด้วย

ฉีคังรู้สึกเหนื่อยมากยิ่งนัก จึงนั่งลงบริเวณบันไดของทางขึ้นจวนแม่ทัพใหญ่

ร่างกายของหู่เปินเสี้ยวเว่ยก็เต็มไปด้วยหยาดโลหิต เขานั่งลงข้าง ๆ ฉีคัง

ในมือของหลัวหมิงกำขวดสุราเอาไว้แน่น แน่นอนว่าสุรานั้นคือซีซานเทียนฉุน

เขาดื่มเข้าไปอึกใหญ่ก่อนจะส่งขวดสุราให้ฉีคังดื่มต่อ

“เจ้าหมอนี่ กล้าขโมยสุราของท่านแม่ทัพใหญ่ดื่มเลยหรือ ? ”

หลัวหมิงเผยอยิ้ม จากนั้นก็ไอออกมาอย่างรุนแรง ไอจนแทบจะขาดใจ “นี่ เจ้าฉี เจ้าว่า…ที่ท่านแม่ทัพใหญ่เอ่ยว่าได้รับคำสั่งจากองค์ฮ่องเต้ ข้ามิเข้าใจเสียจริงว่าบัดนี้ยังมีเรื่องใดสำคัญไปกว่าการป้องกันเมืองซินโจวนี้เอาไว้กัน สำคัญกว่าชีวิตของชาวซินโจวหลายแสนคนเลยหรือ ! ”

ฉีคังดื่มสุราเข้าไปหนึ่งอึก จากนั้นก็ส่ายศีรษะพลางตอบว่า “ในฐานะทหาร พวกเราควรเชื่อฟังคำสั่งเท่านั้น มีสิทธิอันใดมาสงสัยกัน ? ”

“ข้าเพียงแค่คิดว่าการที่ข้าได้เป็นทหารก็เพื่อปกปักรักษาบ้านเมือง ทว่าชาวบ้านหลายแสนคนนี้มิสมควรตาย พวกเขามีความผิดอันใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“อย่างมากก็ทนได้อีกราว 1 ชั่วยามเท่านั้น เมื่อท้องนภามืดมิด เมืองนี้จะต้องทำการระเบิดทิ้งเสีย ชาวฮวงมิใช่คนดี พวกมันต้องเข้าแย่งชิงเมืองเป็นแน่…”

ฉีคังจ้องมองไปทางหลัวหมิง จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “เจ้าจงพาชาวบ้านออกไปจากที่นี่เสีย ไปในยามที่ท้องนภามืดมิด”

หลัวหมิงตกตะลึงงันขึ้นมาทันใด จากนั้นก็เอ่ยว่า “ข้าจะอยู่และตายไปพร้อมเมืองซินโจวแห่งนี้ เจ้าพาพวกเขาเดินทางออกไปเถิด ข้าจะระเบิดไอ้ชาติสุนัขพวกนั้นเอง ! ”

“เวลาเช่นนี้ เจ้าจะทำอวดเบ่งกับข้าเนื่องด้วยเหตุอันใดกัน ? ข้ามีลูกมีเมียแล้ว ทว่าเจ้าตัวคนเดียว มารดาเจ้ายังรออุ้มหลานอยู่ จะไปก็ควรไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ ! ”

หลัวหมิงหัวเราะหึหึออกมา “เจ้าฉี ข้าขอเอ่ยกับเจ้าอย่างมิปิดบังก็แล้วกันว่าข้าคงไปมิรอด”

“เพราะเหตุใดเล่า ? ”

“เจ้าดูนี่สิ”

หลัวหมิงยกมือข้างที่กำหน้าท้องเอาไว้ออกมา บริเวณท้องของเขาเต็มไปด้วยโลหิตสีแดงสด

“ข้าถูกยิงเข้า 1 นัด เจ็บมากยิ่งนัก ! ข้าจึงทำได้เพียงขโมยสุราท่านแม่ทัพใหญ่มาดื่ม เพื่อบรรเทาอาการเจ็บเยี่ยงไรเล่า”

ฉีคังน้ำตาซึม เขายื่นไหสุราคืนหลัวหมิงและตบลงที่บ่าโดยมิกล่าวอันใดออกมา จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินจากไป

หลัวหมิงยิ้มกว้างออกมา จากนั้นก็เอ่ยว่า “จงรักษาตัวให้ดี มีชีวิตอยู่ต่อให้ได้และช่วยข้าดูแลมารดาด้วย ! ”

ฉีคังมิสนใจเขาอีกต่อไป ร่างของเขาเดินหายเข้าไปบริเวณตรอกบนถนนเส้นหนึ่ง

ผ่านไปราวครึ่งถ้วยชา หลัวหมิงถึงได้เห็นทหารภายใต้บังคับบัญชาของฉีคัง 4 นายเดินเข้ามา ทหารทั้งสี่ตรงมาที่เขาโดยที่มิเอ่ยอันใดออกมาสักคำ หนึ่งในนั้นยกฝ่ามือขึ้นแล้วทุบเขาเสียจนสลบ

“คำสั่งสุดท้ายของแม่ทัพฉี จงไปปฏิบัติเถิด ! ”

“แล้วท่านแม่ทัพจะทำเยี่ยงไร ? ”

“…ตงเซิง หากพวกเรามีชีวิตรอดไปได้ก็จงจำไว้ว่าชีวิตของพวกเราท่านแม่ทัพเป็นผู้มอบให้ ! ลูกชายของท่านแม่ทัพคือพี่น้องของพวกเรา ! ภรรยาของท่านแม่ทัพก็เปรียบเสมือนพี่สาวแท้ ๆ ของพวกเรา ! ”

“ข้าจะแก้แค้นให้ท่านแม่ทัพอย่างแน่นอน ! ”

“ไปกันเถิด”

“ไปเถิด ! ”

ท่ามกลางความมืดมิดยามราตรี ณ ประตูเมืองด้านทิศใต้ของซินโจวได้มีการรวบรวมราษฎรเอาไว้หลายแสนคน

ส่วนผู้ที่ปกป้องชาวบ้านนั้นมีเพียงทหารที่ร่างเต็มไปด้วยหยาดโลหิต และมีเพียง 2,000 นายเท่านั้น

มิมีผู้ใดคาดว่าตนจะสามารถมีชีวิตรอดต่อไปได้

ทว่าก็มิมีผู้ใดยอมตายอยู่ที่เมืองซินโจวแห่งนี้เช่นกัน

พวกเขาเดินทางออกมาอย่างเงียบ ๆ มิมีโคมไฟนำทางแม้แต่ดวงเดียว มิมีผู้ใดเอื้อนเอ่ยอันใดออกมา แม้แต่เสียงสะอึกสะอื้นก็ยังมิได้ยิน

หลายคนทำได้เพียงหันกลับไปจ้องมองเมืองซินโจวที่กำลังถูกไฟเผาไหม้

“ไปเถิด ! ”

“อืม ไปกันเถิด… ! ”

แล้วจะไปยังที่ใดเล่า ?

พวกเขามุ่งหน้าไปทางภูเขาผิงหลิง หากสามารถเข้าไปในภูเขาผิงหลิงได้อย่างปลอดภัย บางทีอาจจะยังมีผู้รอดชีวิตอยู่บ้าง

เมื่อพวกเขาเดินทางจากไปได้เพียง 2 ชั่วยาม เมืองซินโจวก็แตกพ่ายในทันใด

ทหารดาบสวรรค์ 100,000 นายจากทั้งหมด 400,000 นายพุ่งเข้าไปในเมืองซินโจวอย่างรวดเร็ว

ฉีคังพาทหารจำนวน 3,000 นายที่ยังเหลืออยู่เข้าต่อสู้เป็นคราสุดท้าย

การทำสงครามในครานี้มิต่างจากการที่แมลงเม่าบินเข้ากองไฟ ทว่าพวกเขาก็ประสบผลสำเร็จในการหลอกล่อทหารดาบสวรรค์จำนวนหนึ่งแสนนายให้เข้าไปยังถนนของจวนท่านแม่ทัพใหญ่ !

พวกเขาเข้าไปในตรอกของจวนท่านแม่ทัพ และพากันวิ่งไปยังจุดที่ฝังระเบิดเอาไว้

ท่าป๋าหลานได้ควบอาชาเข้ามา จากนั้นก็ยกดาบยาวขึ้นออกคำสั่งด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยอารามดุเดือดว่า “สังหารพวกมันเสียให้สิ้น ! ”

เมื่อเอ่ยจบก็พุ่งตรงเข้าไปยังจวนแม่ทัพใหญ่ทันที จากนั้นเสียงระเบิดก็ดังกึกก้องขึ้นมา…

แสงไฟเจิดจ้าส่องสว่างขึ้นที่เมืองซินโจว เสียงดังคำรามราวกับฟ้าถล่ม ทำให้ทุกชีวิตต้องตกตะลึงงัน

แม่ทัพใหญ่ท่าป๋าเจียนที่ยืนอยู่ด้านนอกเมืองพร้อมด้วยทหารชาวฮวงที่เหลือต่างขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น ห่างออกไปราว 1 ลี้ ฟู่เสี่ยวกวนที่กำลังเดินทางไปยังภูเขาฮวงก็ได้หันหลังกลับมามอง

พวกเขามองเห็นแสงไฟที่ลุกลามขึ้นท่ามกลางความมืดมิด และในหูก็ได้ยินเสียงดังสนั่น ที่ใต้ฝ่าเท้ายังสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือน

ฟู่เสี่ยวกวนจ้องมองไปยังสถานที่แห่งนั้นเขม็ง

เขาหยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นมา จากนั้นก็ส่องไปยังทะเลเพลิงแห่งนั้น

ท่ามกลางแสงไฟอันร้อนแรงของทะเลเพลิง เขามองเห็นเมืองด้านนอกนั้นมีผู้คนมากมายกำลังวิ่งไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ

“ศิษย์พี่แปด”

“อืม”

“รวบรวมพล ! ”

“…รับทราบ ! ”

แน่นอนว่าฟู่เสี่ยวกวนมิได้จะไปทวงเมืองที่ถูกเผาไหม้นั้นคืนมา

เขาเพียงกังวลว่าชาวฮวงจะไล่ตามคนที่ออกจากเมืองเหล่านั้นไป !

เขาเริ่มรู้สึกนับถือเผิงเฉิงอู่ขึ้นมา แม่ทัพใหญ่ผู้นี้ใช้วิธีระเบิดเพื่อขจัดชาวฮวงให้สิ้นซาก… แม้จะดุเดือดไปสักหน่อย แต่ทว่าก็กล้าหาญมากยิ่งนัก !

เผิงเฉิงอู่ได้รับบัญชาจากฮ่องเต้ และได้ทิ้งทางเลือกสุดท้ายนั้นไว้

ฟู่เสี่ยวกวนมิรู้ว่าเจ้าหมอนั่นระเบิดชาวฮวงไปทั้งสิ้นกี่คน เขารู้เพียงแค่ว่าบัดนี้ที่เมืองนั้น กลายเป็นเมืองร้างและเป็นเมืองที่มิอาจใช้การได้อีกต่อไปแล้ว

ผลลัพธ์เช่นนี้…ฮ่องเต้จะมิปวดพระทัยแย่เลยหรือ ?

นายน้อยเจ้าสำราญ

นายน้อยเจ้าสำราญ

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง นายน้อยเจ้าสำราญโชคดีที่ได้ทะลุมิติมา ทั้งยังได้เกิดในตระกูลเศรษฐีที่ดิน ชีวิตนี้ไม่ได้ขาดแคลนอาหารและเสื้อผ้าแต่ก็ไม่อยากจะเอาแต่กินจนตายไปทั้งอย่างนั้น ดังนั้นฟู่เซี่ยวกวนจึงได้กระทำเรื่องบางอย่างตามอำเภอใจ โดยไม่ได้คาดคิดเลยว่าจะเกิดผล กระทบที่ใหญ่หลวงตามมาเยี่ยงนี้ ฮ่องเต้ต้องการให้เขาเป็นขุนนางชั้นหนึ่ง องค์หญิงต้องการแต่งตั้งให้เขาเป็นราชบุตรเขย บุตรีแห่งจวนเสนาบดีสำนักตรวจการต้องการแต่งกับเขา คนป่าต้องการหัวของเขา รัฐอี๋ต้องการชีวิตของเขา ส่วนรัฐฝานต้องการเงินของเขา… แต่เขา.. ฟู่เซี่ยวกวนนั้นต้องการเป็นเศรษฐีที่ดินผู้ยิ่งใหญ่ต่างหากเล่า !

Comment

Options

not work with dark mode
Reset