นายน้อยเจ้าสำราญ – ตอนที่ 865 ความแตกต่างทางวัฒนธรรม

ตอนที่ 865 ความแตกต่างทางวัฒนธรรม

ในการประชุมใหญ่ประจำราชสำนัก ฟู่เสี่ยวกวนได้สรุปผลกำไรและขาดทุนรวมตลอดทั้งปี จากนั้นก็ได้วางแผนงานสำคัญในปีหน้าและเป็นคราแรกที่มีการมอบเงินรางวัลปลายปีให้แก่ขุนนาง…

“ทุกท่านล้วนทำงานหนักให้ข้ามาหนึ่งปีเต็ม อีกมิช้าก็จะปีใหม่แล้ว เพื่อแสดงความขอบคุณจากใจจริง ข้าจึงขอประกาศว่าขุนนางของราชวงศ์อู๋ทั้งหมดจะได้รับเงินรางวัลสิ้นปีเทียบเท่าจำนวนเบี้ยหวัด 1 เดือน ให้พวกท่านได้มีช่วงเวลาปีใหม่ที่งดงามกับครอบครัว ! ”

เสนาบดีกรมคลังโหยวเซียนจือตื่นตระหนกขึ้นมาทันใด แต่แล้วก็ได้ยินฝ่าบาทตรัสว่า “ค่าใช้จ่ายส่วนนี้เจิ้นจะใช้เงินส่วนพระองค์จ่าย ประเดี๋ยวกรมคลังจงคำนวณเงินที่ต้องใช้ให้เสร็จสิ้น จากนั้นก็นำรายงานมาให้เจิ้น”

เหล่าขุนนางพากันดีใจขึ้นมาในทันใด แน่นอนว่าใบหน้าของโหยวเซียนจือก็พลันปรากฎรอยยิ้มขึ้นมาเช่นกัน

นี่เป็นอีกข้อกำหนดที่มิเคยมีตลอดหนึ่งพันปีที่ผ่านมา แต่เหมือนจักรพรรดิพระองค์นี้จะทรงชื่นชอบในการแก้ไขข้อกำหนดอยู่แล้ว เอาเป็นว่าข้อกำหนดนี้ดียิ่ง… เพราะเท่ากับว่าทำงาน 12 เดือนแต่ได้รับเบี้ยหวัด 13 เดือน หวังว่าข้อกำหนดนี้จะรวมอยู่ในรัฐธรรมนูญด้วย

“ประชุมใหญ่ราชสำนักในวันนี้ก็ให้จบลงเพียงเท่านี้ ให้ทุกท่านรีบกลับไปซื้อของสำหรับใช้ช่วงปีใหม่และข้ามผ่านปีเก่าไปอย่างสบายใจเถิด ! ”

เมื่อเอ่ยจบฟู่เสี่ยวกวนก็หันหลังเดินออกไปทันที ภายในพระราชวังซวนเต๋อจึงมีเสียงสนทนากันดังจอแจขึ้นมาทันพลัน

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…”

“ไปไปไป ได้ยินมาว่ามีเนื้อหมูวางขายแล้ว ต้องรีบไปซื้อสักสองสามชั่ง”

“ดอกไม้ไฟก็มิเลว หลานชายของข้าชอบมากยิ่งนัก ประเดี๋ยวจะซื้อกลับไปให้สักเล็กน้อย”

“ร้านผ้าไหมของตระกูลซือหม่าได้เปิดกิจการที่เมืองกวนหยุนแล้ว เยี่ยงนั้นก็ซื้อให้ฮูหยินและอนุของข้าสักสองสามพับดีกว่า”

“พวกท่านไปก่อนเถิด ส่วนขุนนางกรมคลังทุกท่านอยู่ทำงานล่วงเวลาก่อน ! ”

โหยวเซียนจือตะโกนเสียงดัง จากนั้นก็ได้พาขุนนางกรมคลังกลับไปยังสำนักงาน

หลังจากที่คำนวณเงินรางวัลปลายปีของเหล่าขุนนางทุกระดับเสร็จสิ้นแล้ว โหยวเซียนจือก็ได้หยิบรายชื่อแล้วปรี่ไปยังห้องทรงพระอักษรทันที

ฟู่เสี่ยวกวนกำลังต้มชาและสนทนาอยู่กับจัวอี้สิง หนานกงอี้หยู่และเมิ่งฉางผิงในห้องทรงพระอักษร

โหยวเซียนจือถวายรายงานให้แด่ฟู่เสี่ยวกวน จากนั้นฝ่าบาทก็รับมาอ่านในทันใด

ขุนนางทั้งหมดของราชวงศ์อู๋มีทั้งสิ้น 8,000 คน มิค่อยแตกต่างจากราชวงศ์ถังในชาติที่แล้วสักเท่าใดนัก

หน่วยงานของราชสำนักเรียบง่ายและมีประสิทธิภาพเป็นอย่างมาก ในปีนี้ผลลัพธ์ที่ได้ก็มิเลว อืม…ต้องจ่ายเงินทั้งสิ้น 1,230,000 ตำลึง

จะว่าไปแล้วก็ถือว่ามิมากสักเท่าใดนัก ดูเหมือนปีหน้าต้องขึ้นเบี้ยหวัดให้เหล่าขุนนางสักเล็กน้อยแล้ว

เมื่อคิดได้ดังนั้น ฟู่เสี่ยวกวนจึงหยิบตราประทับส่วนพระองค์ออกมา จากนั้นก็ประทับลงไปบนกระดาษรายงาน

“จงนำไปให้ธนาคารซื่อทง… ทางธนาคารซื่อทงจะเป็นผู้ส่งมอบ ส่วนคนอื่น ๆ ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลคงได้รับมิทันปีใหม่นี้ เช่นนั้นเงินรางวัลปลายปีหน้าต้องทำให้เร็วขึ้น”

โหยวเซียนจือรับกระดาษแผ่นนั้นมาด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข “ขอบพระทัยฝ่าบาท ! ”

เขาโค้งคำนับให้เสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ทั้งสาม จากนั้นก็เดินออกไปจากห้องทรงพระอักษร สุดท้ายก็วิ่งหายไปด้วยความดีใจ

เสนาบดีบริหารเมิ่งฉางผิงยื่นหน้าเข้าไปใกล้ฟู่เสี่ยวกวน จากนั้นก็ทูลถามด้วยความสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่า “ทูลฝ่าบาท… ท้องพระคลังส่วนพระองค์แท้จริงแล้วมีเงินเท่าใดเยี่ยงนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนกระตุกยิ้ม “ได้โยกย้ายเงินจากราชวงศ์หยูมา 100 ล้านตำลึง ขอบอกกับพวกท่านตามตรงว่าหากข้ามิได้เป็นจักรพรรดิอยู่ในราชวงศ์อู๋ ป่านฉะนี้คงร่ำรวยมั่งคั่งอยู่ที่ราชวงศ์หยูไปแล้ว”

100 ล้าน… !

เมิ่งฉางผิงสูดลมหายใจเข้าลึก นี่ถือว่าร่ำรวยมากแล้ว ! มันเทียบเท่าได้กับภาษีตลอดทั้งสี่ปีของราชวงศ์อู๋ !

หนานกงอี้หยู่จ้องมองฟู่เสี่ยวกวนเขม็ง “ฝ่าบาททรงอย่าคิดมากไปเลย ให้ถือการปกครองบ้านเมืองเป็นพื้นฐานสำคัญเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

“ใช่ ! พระองค์ซื้อเหมืองเกลือของแคว้นอี๋แล้วใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ? ”

เจ้าจิ้งจอกเฒ่านี่ ! ฟู่เสี่ยวกวนย่อมมิยอมรับอยู่แล้ว “เศรษฐกิจแบบทุนนิยมนี้ ผู้ใดจะซื้อเหมืองเกลือก็ได้ทั้งนั้น ข้าจะทราบได้เยี่ยงไรเล่าว่าผู้ใดซื้อไป ? ”

“ฝ่าบาท มีเพียงพระองค์เท่านั้นที่รู้วิธีผลิตเกลือขาวพ่ะย่ะค่ะ ! ”

“มิใช่ ! ตระกูลเฉินก็ทราบวิธีการกลั่นเกลือเช่นกัน”

จัวอี้สิงรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาในทันใด “ตระกูลเฉินเยี่ยงนั้นหรือ ? ตระกูลเฉินที่ไปยังราชวงศ์หยูน่ะหรือฝ่าบาท ? ”

“ใช่ ! ข้าก็เพิ่งทราบเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่าตระกูลเฉินครอบครองวิธีกลั่นเกลือเช่นกัน อาจเพราะเหตุนี้พวกเขาถึงได้อพยพไปยังราชวงศ์หยู”

จัวอี้สิงขมวดคิ้วมุ่น หากตระกูลเฉินขโมยกรรมวิธีกลั่นเกลือไป พวกเขาย่อมมิกล้าทำการค้าในราชวงศ์อู๋อย่างแน่นอน ได้ยินมาว่าพวกเขาซื้อเหมืองเกลือในราชวงศ์หยูเอาไว้มิน้อย เอ่ยได้ว่าราชวงศ์อู๋สูญเสียความได้เปรียบในการควบคุมเกลือเสียแล้ว

“เฮ้อ…” จัวอี้สิงถอนหายใจยาวออกมา “หากรู้ก่อนว่าตระกูลเฉินจะเป็นเยี่ยงนี้ก็มิน่าปล่อยพวกเขาไปตั้งแต่แรกพ่ะย่ะค่ะ”

หนานกงอี้หยู่ก็ตื่นตกใจมากเช่นกัน ทันใดนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ฝ่าบาท ได้ยินมาว่าชายชราเฉินตงเซิงผู้นำตระกูลเฉินมิได้ไปด้วย หรือจะกุมตัวเขาเอาไว้แล้วใช้อำนาจบังคับมิให้ตระกูลเฉินกลั่นเกลือในราชวงศ์หยูดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนโบกมือเป็นพัลวัน “มิจำเป็น ! เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ให้แล้วไป เพียงแค่เกลือเท่านั้นมิใช่หรือ ? มิใช่เรื่องใหญ่อันใดสักหน่อย”

ยังจะทำอันใดได้อีกเล่า ?

คนก็หนีไปแล้ว กรรมวิธีกลั่นเกลือก็ได้ติดสอยห้อยตามไปด้วย นอกเสียจากยึดครองราชวงศ์หยู… ใช่สิ “หรือไม่ก็…พวกเรายึดครองราชวงศ์หยูดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ? ”

นัยน์ตาของหนานกงอี้หยู่เป็นประกายขึ้นมาทันใดพลางทูลถามอย่างมีความหวัง

“การยึดครองแคว้นใดแคว้นหนึ่งมิจำเป็นต้องใช้กำลังเสมอไป”

“ฝ่าบาทหมายความว่าเยี่ยงไรพ่ะย่ะค่ะ… ? ”

“วิธีการทางเศรษฐกิจก็เป็นวิธีหนึ่งมิใช่หรือ อย่าได้รีบร้อนไปเลยเพราะต้องสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของราชวงศ์อู๋เสียก่อน ผ้าไหม เครื่องลายคราม และสินค้าอื่น ๆ ของราชวงศ์หยูได้เข้ามาในตลาดราชวงศ์อู๋แล้ว หากมิใช่ผ้าไหมของตระกูลซือหม่าและตระกูลหวังก็เกรงว่าตลาดผ้าไหมของราชวงศ์อู๋จะถูกราชวงศ์หยูยึดครองทั้งหมด”

“ต้องทราบว่าตระกูลซือหม่าและตระกูลหวังถือเป็นการลงทุนจากต่างแคว้น ราชวงศ์หยูก็ผลิตรังไหมได้ดีเช่นกัน ทว่ามิได้พัฒนาออกมาเป็นกิจการสิ่งทอที่มีศักยภาพ ด้านเครื่องลายคราม พวกท่านลองดูสิ เครื่องลายครามทั้งหมดที่อยู่ในวังแทบจะเป็นผลผลิตของราชวงศ์หยูทั้งสิ้น”

“แน่นอนว่าข้ามิได้หมายถึงให้หาวิธียื่นมือเข้าไปแทรกแซงเหล่าพ่อค้าชาวหยูที่อยู่ในราชวงศ์อู๋ เพราะนั่นขัดต่อหลักเศรษฐกิจแบบทุนนิยม แต่ข้าเกรงว่าแนวโน้มการลงทุนของราษฎรในแคว้นจะมีปัญหาเล็กน้อย”

“พวกเราควรชี้นำให้ราษฎรนำเงินมาลงทุนด้านการวิจัยเพื่อพัฒนาเครื่องมือและอุปกรณ์ต่าง ๆ ต้องตระหนักถึงยุคสมัยของเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป ต้องทำให้ผลิตภัณฑ์ของตนมีความสามารถแข่งขันภายใต้เงื่อนไขเดียวกันได้”

เสนาบดีอาวุโสทั้งสามนิ่งเงียบไปชั่วครู่ นี่ต่างหากคือใจความสำคัญของปัญหา เหมือนที่ฝ่าบาทมักตรัสว่าอนุรักษ์นิยมปิดกั้นความเจริญ

หากไร้การเปรียบเทียบก็จะไร้ซึ่งความแตกต่าง ผ้าไหมของอีกฝ่ายขายราคาเดียวกันกับแคว้นเรา ถึงแม้เครื่องลายครามของพวกเขาจะแพงกว่าของเราเล็กน้อย ทว่าก็มีรูปทรงสวยงาม ผิวเคลือบเงามันวาวเป็นที่ชื่นชอบของชาวอู๋

“การเชื่อมโยงระหว่างผลงานของสำนักวิทยาศาสตร์แห่งชาติและเงินทุนของราษฎรยังมีปัญหาใหญ่อยู่ สำนักวิทยาศาสตร์สามารถผลิตแก้วขึ้นมาได้แล้ว ของสิ่งนี้ดูดียิ่ง บัดนี้นอกจากโรงงานแก้วที่ชื่อเล่อชวนแล้ว พวกท่านลองมองดูสิว่าในท้องถิ่นของเรายังมีโรงงานผลิตแก้วที่ใดอีกกัน ? ”

“ในมุมมองการตลาด ชาวอู๋ด้อยกว่าชาวหยู หากข้ามิปิดกั้นการลงทุนด้านการวิจัยจากต่างแคว้น ป่านฉะนี้กรรมวิธีผลิตแก้วคงถูกชาวหยูฮุบไปแล้ว”

ชาวอู๋ให้ความสำคัญด้านการต่อสู้ นี่คือมรดกทางวัฒนธรรมและเป็นเหตุผลเดียวกันกับที่ชาวหยูให้ความสำคัญด้านวรรณกรรม

เรื่องการรบ ชาวหยูยากที่จะสู้กับชาวอู๋ แต่หากเอ่ยถึงด้านบทความบทกวีแล้ว ชาวหยูสามารถทิ้งห่างจากชาวอู๋ได้ไกลโข

ชาวอู๋รู้สึกว่าการสวมชุดผ้าป่านก็เพียงพอแล้ว ด้านชาวหยูรู้สึกว่าผ้าไหมดูหรูหรายิ่งกว่า

ชาวอู๋รู้สึกว่าชามที่มีอยู่เพียงใส่ข้าวได้ก็พอแล้ว แต่ชาวหยูรู้สึกว่าภาชนะที่สวยงามจะทำให้สบายตาสบายใจมากกว่า

ในวันนี้ชาวอู๋ได้รับอิทธิพลจากคำสอนขงจื๊อแล้ว จึงเริ่มเห็นความสำคัญของวรรณกรรม และเริ่มไขว่คว้าคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นแต่ก็ยังทิ้งห่างจากชาวหยูอีกยาวมากโข

จนนำไปสู่การเลือกของใช้ในชีวิตประจำวัน แน่นอนว่าสินค้าของราชวงศ์หยูสวยงามกว่าสินค้าของราชวงศ์อู๋จึงเป็นเหตุให้ได้รับความนิยมในตลาดมากกว่า

นายน้อยเจ้าสำราญ

นายน้อยเจ้าสำราญ

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง นายน้อยเจ้าสำราญโชคดีที่ได้ทะลุมิติมา ทั้งยังได้เกิดในตระกูลเศรษฐีที่ดิน ชีวิตนี้ไม่ได้ขาดแคลนอาหารและเสื้อผ้าแต่ก็ไม่อยากจะเอาแต่กินจนตายไปทั้งอย่างนั้น ดังนั้นฟู่เซี่ยวกวนจึงได้กระทำเรื่องบางอย่างตามอำเภอใจ โดยไม่ได้คาดคิดเลยว่าจะเกิดผล กระทบที่ใหญ่หลวงตามมาเยี่ยงนี้ ฮ่องเต้ต้องการให้เขาเป็นขุนนางชั้นหนึ่ง องค์หญิงต้องการแต่งตั้งให้เขาเป็นราชบุตรเขย บุตรีแห่งจวนเสนาบดีสำนักตรวจการต้องการแต่งกับเขา คนป่าต้องการหัวของเขา รัฐอี๋ต้องการชีวิตของเขา ส่วนรัฐฝานต้องการเงินของเขา… แต่เขา.. ฟู่เซี่ยวกวนนั้นต้องการเป็นเศรษฐีที่ดินผู้ยิ่งใหญ่ต่างหากเล่า !

Comment

Options

not work with dark mode
Reset