ตอนที่ 866 เดินเรือ
รัชศกเทียนเต๋อปีที่หนึ่ง วันที่สามสิบ เดือนสิบสอง
ยามที่ผู้คนในราชวงศ์อู๋จมอยู่ในบรรยากาศของการเฉลิมฉลองปีใหม่แรกแห่งรัชศกเทียนเต๋อ น้อยคนนักที่จะทราบว่ามีเรือหลิวจิ่นห้าวเทียบท่าอยู่ที่ท่าเรือเจียงเฉิง
หลังจากเตรียมการมากว่า 2 เดือน ในที่สุดหลิวจิ่นห้าวก็ได้เตรียมสิ่งของจำเป็นลำเลียงขึ้นเรือเสร็จสิ้นแล้ว สิ่งของจำเป็นรวมถึงอาหารและเครื่องดื่มเพียงพอให้ทุกคนได้กินได้ใช้ถึง 2 เดือน นอกจากนี้ยังมีผ้าไหมและหยกจากราชวงศ์อู๋อีกด้วย
บัดนี้หลิวจิ่นยืนรับลมอยู่บนชั้นสามของหัวเรือ ใบหน้าของเขาโดนลมหนาวพัดจนขึ้นสีแดงระเรื่อ ทว่าร่างกายยังคงยืดตรงดั่งกระบอกปืน !
ฝ่าบาททรงรับสั่งว่าให้เขานำสิ่งเหล่านี้ไปทดลองว่าจะได้รับความนิยมจากต่างแดนหรือไม่ ทั้งยังรับสั่งว่าเมื่อเดินทางไปถึงแคว้นอื่นแล้ว สามารถใช้สิ่งของเหล่านี้แลกเปลี่ยนเป็นสิ่งที่ราชวงศ์อู๋มิมีและดูแปลกใหม่ได้
แน่นอนว่าการแลกเปลี่ยนต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าพวกเรารบมิชนะ
บนเรือลำใหญ่นี้มีสมาชิกจากกองนาวิกโยธินจำนวน 1,000 นายที่นำโดยศิษย์พี่แปดของฝ่าบาท พระองค์ยังได้ส่งผู้มีฝีมือระดับสูงอีก 2 คนมาดูแลความปลอดภัยให้แก่พวกเขาอีกด้วย
หนึ่งในนั้นคือผู้ที่สวมหมวกทรงสูงมีนามว่าซูเจวี๋ย และอีกคนหนึ่งมีรูปร่างอ้วนกลมมีนามว่าเกาหยวนหยวน
ฝ่าบาทตรัสว่าสองท่านนี้มีความสามารถระดับปรมาจารย์ ข้า…เป็นเพียงขันทีผู้ต่ำต้อยและเพิ่งเข้าวังหลวงยังมิถึงหนึ่งปีดีด้วยซ้ำ แต่กลับได้รับความไว้วางพระทัยจากฝ่าบาทมากถึงเพียงนี้แล้ว !
หัวใจของหลิวจิ่นรู้สึกปลาบปลื้มมากยิ่งนัก เขามองไปยังทิศทางของเมืองกวนหยุน จากนั้นก็คุกเข่าก้มศีรษะคารวะสามครา “ทูลองค์จักรพรรดิ กระหม่อมขอเป็นข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของฝ่าบาทตลอดไป ! การเดินทางครานี้กระหม่อมจะนำแสงสว่างกลับมาถวายให้แด่ฝ่าบาทให้จงได้พ่ะย่ะค่ะ!”
“หากมีโอกาส กระหม่อมจะทำให้ราษฎรในแคว้นอื่นยอมจำนนภายใต้ธงมังกรของฝ่าบาทและจะทำให้พระปรีชาสามารถของฝ่าบาทแผ่ขยายกว้างไกลถึงอีกฟากฝั่งของทะเล ! ”
“เดินเรือได้… ! ”
หลิวจิ่นตะโกนออกมา ส่วนเกาหยวนหยวนที่ยืนอยู่ข้างกายเขาก็ได้รวบรวมพลังแล้วตะโกนออกมาเสียงดังกังวานว่า “เดินเรือได้… ! ”
หลิวจิ่นห้าวค่อย ๆ เคลื่อนออกจากท่าเทียบเรือหลังจากได้รับสัญญาณ บริเวณท่าเรือมีอดีตจือโจวแห่งหลินเจียงและคนอื่น ๆ คอยยืนส่งพวกเขาจากไปท่ามกลางสายลมและหิมะโปรยปรายจนลับสายตา
ณ ห้องโดยสารเรือบนชั้นสองห้องหนึ่ง ศิษย์จากสำนักเต๋าทั้งสามคนนั่งล้อมวงอยู่รอบ ๆ เตาผิง
“ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์น้องเล็กเอ่ยว่าการเดินทางในครานี้อาจจะเผชิญอุปสรรคมากมาย เมื่อถึงยามคับขันจริง ๆ พวกเราสามารถสละเรือแล้วเอาชีวิตรอดก่อนได้…ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่ใหญ่ ? เป็นอันใดไปเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“เอ่อ…ดูเหมือนว่าข้าจะเมาเรือนิดหน่อย”
ซูเจวี๋ยรู้สึกว่านี่ช่างน่าอับอายเสียจริง เพราะตนเป็นถึงปรมาจารย์ เหตุใดถึงต้องเมาเรือด้วยเล่า ?
“เอ่อ…” เกาหยวนหยวนมิทราบว่าควรทำเยี่ยงไรดี “ศิษย์พี่ใหญ่ เอาเยี่ยงนี้ดีหรือไม่ ท่านมิต้องเดินทางไปกับพวกเราหรอกเพราะบัดนี้พวกเรายังอยู่บนแม่น้ำแยงซีเท่านั้น หากออกทะเลจริง ๆ ข้าได้ยินมาว่าคลื่นจะซัดแรงกว่านี้มากนัก”
“มิได้ ! ” ซูเจวี๋ยยกมือข้างหนึ่งขึ้น จากนั้นก็ยกมืออีกข้างขึ้นมาขยับหมวกให้ตรงแล้วเอ่ยด้วยใบหน้าจริงจังว่า “ศิษย์น้องเล็กเอ่ยว่าอีกฟากของทะเลมีผืนปฐพีอันกว้างใหญ่อยู่ ข้าอยากไปเห็นด้วยตาของตนเอง”
ซูม่อหัวเราะร่าออกมา “แต่ศิษย์น้องเล็กก็ได้เอ่ยไว้ว่าในท้องทะเลเต็มไปด้วยอันตราย อาทิเช่นลมพายุ… ศิษย์น้องเล็กยังเอ่ยอีกว่าพายุนั้นน่ากลัวยิ่งนัก มันอาจจะทำให้เรือลำมหึมาอับปางได้เชียว หากพวกเราต้องเผชิญกับพายุเข้าจริง ๆ จะทำเยี่ยงไร ? ”
ซูเจวี๋ยครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็ตอบว่า “เรือลำนี้มีเผิงเจ๋อเป็นกัปตันเดินเรือ เขามีประสบการณ์มาอย่างโชกโชน ข้าได้สนทนากับเขาครู่ใหญ่ เขาดูน่าเชื่อถือมากยิ่งนัก”
ทว่าสิ่งที่ซูเจวี๋ยมิรู้ก็คือบัดนี้เผิงเจ๋อผู้นั่งอยู่ในตำแหน่งกัปตันเรือ กำลังพบว่าหัวใจเต้นดังโครมครามราวกับจะหลุดออกมาจากหน้าอกอย่างไรอย่างนั้น
การได้มาบังคับเรือลำมหึมาที่ได้รับการปรับปรุงมาอย่างดีเยี่ยงนี้ นับว่าเป็นความใฝ่ฝันสูงสุดในชีวิตของเผิงเจ๋อเลยก็ว่าได้
เขาเพียงแค่เคยล่องไปในทะเลภายในราชวงศ์เท่านั้น มิเคยมีประสบการณ์เดินเรือในมหาสมุทรอย่างแท้จริง
เรือทุกลำในราชวงศ์อู๋มิเคยล่องออกสู่มหาสมุทรจริง ๆ เลยสักลำ
ดูเหมือนว่าฝ่าบาทจะทรงคิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้เช่นกัน ดังนั้นข้างกายของเขาจึงมีจิ่งเปียนสงเอ้อเป็นรองกัปตันเรืออีก 1 คน บุรุษผู้นี้เป็นชาวหลิวซึ่งเดิมทีเป็นราชทูตที่แคว้นหลิวส่งมายังเมืองกวนหยุน เขาถูกฝ่าบาทดึงตัวมาร่วมบังคับเรือลำนี้ด้วยอีกคน
จิ่งเปียนสงเอ้อมีประสบการณ์เดินเรือออกมหาสมุทร ดังนั้นใต้เท้าหลิวจิ่นจึงเอ่ยกับพวกเผิงเจ๋อว่าหากต้องการเรียนรู้ก็ควรเรียนรู้กับจิ่งเปียนสงเอ้อผู้นี้
“จิ่งเปียน การเดินเรือครานี้พวกเราจะเดินทางไปยังทิศตะวันออกผ่านแคว้นหลิวของเจ้า เจ้ารู้เส้นทางนั้นหรือไม่ ? ”
ด้านจิ่งเปียนสงเอ้อรู้สึกหดหู่ใจมากยิ่งนัก !
เขาถูกฟู่เสี่ยวกวนหลอก !
“จักรพรรดิของพวกท่านบอกกับข้าว่า พวกท่านจะเดินทางไปยังแคว้นหลิว ! ข้าจึงถือโอกาสนี้เดินทางกลับบ้านเกิด ! ”
หลิวจิ่นเดินตรงเข้ามา จากนั้นก็ตบลงบนไหล่ของจิ่งเปียนสงเอ้อพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ “ฝ่าบาททรงเปลี่ยนพระราชดำริใหม่ว่าเรือของพวกเราจะมิเทียบท่าที่แคว้นหลิวแล้ว สงเอ้อ เยี่ยงไรเสียบัดนี้พวกเราก็ลงเรือลำเดียวกันแล้ว…”
“ข้ามิยินยอม ข้าจะลงจากเรือประเดี๋ยวนี้ ! ”
‘ตุ๊บ… ! ’ หลิวจิ่นถีบเข้าที่ท้องของจิ่งเปียนสงเอ้อ “เอ่ยดี ๆ มิชอบ ชอบให้ใช้กำลังเยี่ยงนั้นหรือ ? ข้าขับเรือออกมาแล้วเจ้าจะลงเรือได้เยี่ยงไร ? อยากลงเจ้าก็กระโดดลงไปเลยสิ ! ”
จิ่งเปียนสงเอ้อรีบลุกขึ้นจากพื้น “เจ้าบ้า พวกเจ้ามันบ้าไปแล้ว พวกเจ้าและจักรพรรดิของพวกเจ้าล้วนบ้ากันทั้งหมด ! ”
ใบหน้าและใบหูของจิ่งเปียนสงเอ้อแดงก่ำ เขาชี้นิ้วไปที่หลิวจิ่นแล้วเอ่ยว่า “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่ามันอันตรายเพียงใด ? เรือทุกลำของแคว้นหลิวที่เดินทางไปยังทิศตะวันออก มิมีแม้แต่ลำเดียวที่สามารถผ่านวิกฤตกลับมาได้อย่างปลอดภัย พวกเรามิอาจคาดเดาถึงการเปลี่ยนแปลงของทิศทางลมและสภาพอากาศก็ผันผวนมากยิ่ง…”
“ฮึ ! พวกเจ้าก็มิต่างอันใดกับแมงเม่าบินเข้ากองไฟ ! ”
หลิวจิ่นรู้สึกโมโหมากยิ่งนัก เจ้าคนต่างแคว้นผู้นี้มิรู้จักเอ่ยในสิ่งที่เป็นมงคลบ้างเลยหรือเยี่ยงไร ? ข้าเพิ่งได้รับมอบหมายจากฝ่าบาทให้ขยับขยายอาณาเขต แต่เจ้ามาบอกว่าข้าเป็นแมงเม่าบินเข้ากองไฟ !
“หากเจ้ายังกล้าเอ่ยวาจาเหลวไหลอยู่อีก เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะจับเจ้าโยนลงน้ำเป็นอาหารปลา ! ”
เมื่อเห็นท่าทางดุร้ายของหลิวจิ่น ฝ่ายจิ่งเปียนสงเอ้อจึงได้แต่กลืนน้ำลายลงคอ ทำท่าทีฮึดฮัดสะบัดมือแล้วเดินจากไป
“ส่งคนสักสองคนไปจับตามองเจ้าหมอนี่ให้ดี หากเกิดภัยพิบัติขึ้นจริงก็จงลากมันไปตายด้วยกัน ! ”
“ขอรับใต้เท้า” เผิงเจ๋อโค้งคารวะ “ใต้เท้าหลิวโปรดวางใจ นี่คือเรือรบที่แข็งแกร่งและยังถูกตั้งนามตามชื่อท่าน อีกทั้งยังมีธงมังกรของฝ่าบาทคอยคุ้มครอง แม้แต่เทพเจ้าก็ยังต้องถอยห่างแล้วพวกเราจะไปเกรงกลัวต่อสิ่งใดเล่า ! ”
“อืม ! ”
ประโยคนี้หลิวจิ่นชื่นชอบมากยิ่งนัก “จงขับเคลื่อนเรือลำนี้ให้ดี ในครานี้ถ้าพวกเรากลับมาอย่างมีชัย ข้าจะกราบทูลฝ่าบาทถึงคุณงามความดีของเจ้า ! ”
“ขอบคุณท่านใต้เท้า ! ”
หลิวจิ่นหันหลังเดินออกไปจากห้องบังคับเรือ จากนั้นก็เดินตรวจตราทุกหนทุกแห่งอย่างละเอียด เขาได้สนทนากับกะลาสีทั้งหลายอย่างใกล้ชิดและได้ร่วมสนทนากับพวกซูม่อด้วย
หลังจากนั้นเขาก็ได้ขึ้นไปยังหัวเรือชั้นสาม เรือยักษ์แล่นไปตามแรงลม ใบเรือสามเสากระโดงกางออกทั้งหมด ความเร็วจึงเร็วเป็นอย่างมาก แน่นอนว่าลมและหิมะก็ตกหนักมากเช่นกัน
ดูเหมือนว่าเขามิรู้สึกถึงสิ่งเหล่านี้เลยสักนิด เพราะเขามองออกไปยังผิวน้ำที่อยู่เบื้องหน้า ปล่อยให้เสื้อขนสัตว์พัดปลิวไปตามแรงลม เส้นผมพลิ้วไสว
“การเดินทางครานี้จะต้องสำเร็จ ! ”
“ข้าต้องได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้จงได้ ! ”
“ข้าจะเป็นขันทีผู้เลื่องชื่อในประวัติศาสตร์ราชวงศ์อู๋ให้ได้!”
“ข้าจะทำให้ชาวบู๊และบุ๋นทั้งหลายในราชวงศ์อู๋ทราบว่า ฝ่าบาททรงมีพระปรีชาสามารถมากเพียงใด ! ”
“ไอหยา…มหาสมุทรเอ๋ย ข้ามาแล้ว ! ”
“นับจากนี้สืบไปผืนปฐพีอันกว้างใหญ่ที่อยู่อีกฝากฝั่งของทะเลจะกลายเป็นของฝ่าบาทด้วยเช่นกัน ! ”
“บัดนี้ กระหม่อมหลิวจิ่นขอถวายชีวิตแด่ฝ่าบาท… พระองค์เปรียบเสมือนบุพการีผู้ให้ชีวิตใหม่แก่กระหม่อมและกระหม่อมขอสัญญาว่าจะใช้ชีวิตนี้ตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณ ! ”
“ฮัดชิ่ว ! ”
ให้ตายเถิด หนาวยิ่งนัก ข้าจะป่วยก่อนมิได้ เพราะยังต้องใช้เวลาอีกสามวันเต็มกว่าจะออกไปถึงมหาสมุทรอันกว้างใหญ่อย่างแท้จริง