นายน้อยเจ้าสำราญ – ตอนที่ 916 เยาวชนแห่งเรือนสักหลาด

ตอนที่ 916 เยาวชนแห่งเรือนสักหลาด

ณ ชนเผ่าหวานเหยียน รัฐลู่ฉีของเขตปกครองตนเองชื่อเล่อชวน

ทุ่งหญ้าล้วนถูกหิมะปกคลุมไปทั่วบริเวณ วัวและแกะถูกต้อนเข้าคอกทั้งหมดแล้ว

ในฤดูหนาวเยี่ยงนี้ เหล่าคนเลี้ยงสัตว์จึงมิมีสิ่งใดให้ทำนอกจากให้อาหารวัวและแกะไปวัน ๆ

ทว่าฤดูหนาวปีนี้ สมาชิกในชนเผ่าหวานเหยียนค่อนข้างทำงานหนักกว่าปีก่อน ๆ

เนื่องจากผลผลิตในฤดูเก็บเกี่ยวของชนเผ่าได้ผลผลิตดีมากยิ่งนัก ทั้งยังได้ข่าวว่าราชวงศ์หยูขโมยกรรมวิธีการกลั่นเกลือขาวของนาเกลือมู่หยางได้สำเร็จ ส่งผลให้ผู้ค้าขายที่เดินทางมาซื้อหรือขายเกลือในเมืองการค้าซินโจวลดน้อยลงมากนัก ทว่าราคาวัวและแกะกลับเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า !

ฤดูใบไม้ผลิในปีนี้ ชนเผ่าจึงทำการขยายพันธุ์วัวและแกะเป็นจำนวนมาก เมื่อมิกี่วันก่อนวัวและแกะที่โตเต็มวัยล้วนถูกนำไปขายในเมืองการค้าซินโจว ทั้งยังขายได้ราคาดีมากอีกด้วย

ดังนั้นจึงทำให้หวานเหยียนหงเลี่ยรู้สึกมีความสุขมากยิ่งนัก นางยิ้มหน้าบานนานถึงสามวันเลยทีเดียว !

พวกเขาได้รับเงินจำนวนมากสืบเนื่องมาจากผลผลิตที่อุดมสมบูรณ์ เรื่องนี้มิเคยเกิดขึ้นมาก่อนในช่วงหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมา

ดังนั้นสตรีในชนเผ่าจึงซื้อเสื้อผ้าเนื้อดีมาสวมใส่ มีสตรีหลายคนสามารถซื้อแป้ง ซื้อชาดทาแก้มและน้ำหอมราคาแพงได้

เยาวชนทั้งชายและหญิงในชนเผ่าล้วนเข้าพิธีแต่งงานในปีนี้ และยังมีสตรีมากมายจากชนเผ่าอื่น ๆ ตบแต่งเข้ามาในชนเผ่าด้วยเช่นกัน ชนเผ่าหวานเหยียนเองก็ยินดีต้อนรับผู้ที่หลั่งไหลเข้ามาเช่นกัน

ส่งผลให้มีประชากรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและอัดแน่นอยู่ในเรือนสักหลาด

ภายใต้การนำของครูฝึกเผิงยวี๋เยี่ยนทำให้ชนเผ่าหวานเหยียนตัดสินใจสร้างเรือนและตั้งรกรากถิ่นฐานถาวรขึ้นที่นี่

ฤดูใบไม้ผลิในปีหน้าเมื่อน้ำแข็งละลาย บุรุษจะไปเลี้ยงสัตว์ตามทุ่งหญ้า ส่วนสตรีก็มีหน้าที่ดูแลและให้กำเนิดบุตร

ดังนั้นจึงต้องรีบใช้ประโยชน์จากฤดูหนาวในปีนี้ บุรุษและสตรีในชนเผ่าหวานเหยียนจึงยุ่งอยู่กับการสร้างเรือน

ครูฝึกเผิงเป็นผู้วางแผนและออกแบบเรือนด้วยตนเอง บัดนี้ได้สร้างเรือนจนเสร็จสมบูรณ์แล้ว บ้านเรือนเรียงรายเป็นแถวยาวดูเป็นระบบระเบียบมากยิ่งนัก ซึ่งเหลือเพียงการตกแต่งขั้นสุดท้ายเท่านั้น

“ก่อนถึงปีใหม่ ทุกคนจะได้อยู่อาศัยในเรือนหลังใหม่” ในเรือนสักหลาดของหวานเหยียนหงเลี่ย เผิงยวี๋เยี่ยนรู้สึกมีความสุขมากยิ่งนักที่เห็นชนเผ่ามีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

หวานเหยียนหงเลี่ยยื่นชานมให้เผิงยวี๋เยี่ยนหนึ่งถ้วย “ทั้งหมดนี้ถูกสร้างขึ้นตามสติปัญญาของท่าน… ครูฝึกเผิง ข้ามีเรื่องหนึ่งที่ปรารถนาจะทำให้เป็นจริง”

“เชิญท่านหัวหน้าเผ่าเอ่ยมาเถิด”

“ท่านเป็นผู้มีความสามารถ ข้าคิดว่าหากยกชนเผ่าหวานเหยียนให้ท่านดูแล ท่านย่อมสามารถทำให้ชนเผ่าพัฒนาและเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาได้”

เผิงยวี๋เยี่ยนตื่นตกใจขึ้นมาพลัน จากนั้นก็รีบเอ่ยออกมาว่า “ท่านหัวหน้าเผ่า ข้ามิได้มีแซ่หวานเหยียน”

“นั่นมิใช่ปัญหา ! จะแซ่อันใดก็มิสำคัญ แม้แต่ชื่อชนเผ่า…จะชื่อว่าอันใดก็มิสำคัญเช่นกัน เพราะสิ่งสำคัญคือผู้คนในชนเผ่าสามารถอยู่อย่างมีความสุขได้ นี่ต่างหากถึงจะเป็นความหมายของชีวิตอย่างแท้จริง ! ”

เผิงยวี๋เยี่ยนตกตะลึงมากยิ่งขึ้นไปอีก หัวหน้าเผ่ายังเอ่ยต่ออีกว่า “เช่นเดียวกับเขตปกครองตนเองชื่อเล่อชวนแห่งนี้ มิสำคัญว่าผู้ใดจะเป็นจักรพรรดิ เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดคือผู้คนบนผืนปฐพีนี้สามารถมีชีวิตที่ดีขึ้นได้”

“ผู้คนที่อยู่อาศัยในผืนปฐพีนี้มีชีวิตดีขึ้นกว่าอดีตมากนัก เกรงว่าหลายคนจะลืมแคว้นฮวงไปเสียแล้ว สำหรับชาวหยูเยี่ยงพวกท่านมักใช้คำว่าลืมกำพืดตน ทว่าในความคิดของข้านั้นเรียบง่ายมากยิ่งนัก การใช้ชีวิตมิใช่ว่าต้องมีรอยยิ้มบนใบหน้าทุกวันหรอกหรือ ? ”

“ข้าเห็นผู้คนในชนเผ่าใช้ชีวิตกันอย่างมีความสุขก็รู้สึกได้ว่าจักรพรรดินั้นปกครองได้ดี และเขตปกครองตนเองชื่อเล่อชวนก็ดีกว่าแคว้นฮวงมากยิ่งนัก ดังนั้นท่านคือผู้ที่มีความสามารถอย่างแท้จริง ท่านควรเป็นผู้นำชนเผ่า ส่วนข้าชรามากแล้ว อีกทั้งยังไร้ประสบการณ์กว้างขวาง ท่านมิต้องกังวลสิ่งใดหรอก เว้นเสียแต่… เว้นเสียแต่ว่าท่านมิเต็มใจที่จะอยู่อาศัยที่ชนเผ่าแห่งนี้ หากเป็นเช่นนั้นข้าก็จะมิฝืนใจท่าน”

เหตุการณ์นี้กะทันหันจนเกินไปเผิงยวี๋เยี่ยนจึงรับมือมิทัน นางคิดจะอยู่อาศัยที่ชนเผ่านี้ไปจนแก่ชราอยู่แล้ว หลังออกจากกองทัพชายแดนใต้ นางก็ตัดสินใจว่าจะมิกลับไปยังราชวงศ์หยูอีก

บุตรีของนางชื่อว่าหยูรั่วซิงเพิ่งจะอายุ 14 ปีเท่านั้น บุตรีกำลังชอบพออยู่กับผู้บัญชาการที่มีนามว่าหวางเสี่ยวจ้วง… บ้านเกิดของหวางเสี่ยวจ้วงอยู่ที่หมู่บ้านเสี้ยชุน ครอบครัวของเขาเป็นผู้เช่าที่ดินของฟู่เสี่ยวกวน

นางมิได้รังเกียจเบื้องหลังตระกูลของหวางเสี่ยวจ้วง แม้ว่าเขาจะเอ่ยวาจาหยาบกระด้างไปบ้างแต่ก็นิสัยดีมากทีเดียว อีกทั้งยังเป็นทหารที่ซื่อตรง

ความเห็นของนางคือต้องรออีกราวสองสามปี รอให้รั่วซิงโตขึ้นกว่านี้อีกหน่อย แล้วค่อยมาดูกันว่าพอถึงตอนนั้นนางจะมีความคิดเปลี่ยนแปลงไปจากนี้หรือไม่

เมื่อมิกี่วันก่อนหวางเสี่ยวจ้วงนำจดหมายของฟู่เสี่ยวกวนมาส่งมอบให้นาง

นอกจากความทรงจำในอดีตที่เขียนในจดหมายแล้ว เขายังเขียนถึงบุตรชายทั้งสองของนาง…ฟู่เสี่ยวกวนกำลังตัดสินใจแทนบุตรชายทั้งสองคนของนางโดยพลการ !

นางรู้ว่าหากบุตรชายทั้งสองติดตามข้างกายฟู่เสี่ยวกวนก็จะมีอนาคตที่รุ่งโรจน์ และเมื่อบุตรชายได้ยินเช่นนี้ก็ปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะฟู่เสี่ยวกวนถือเป็นแบบอย่างของพวกเขา !

ทว่าในร่างของพวกเขามีสายเลือดของราชวงศ์หยูอัดแน่น และความสัมพันธ์ของราชวงศ์อู๋กับราชวงศ์หยูจะดีหรือร้ายก็ยังเอ่ยมิได้

นางมิสามารถตัดสินใจเรื่องนี้ได้ ดังนั้นจึงเขียนจดหมายถึงหยูชุนชิวสามีของนางหนึ่งฉบับ

มีหิมะตกหนักที่ทุ่งหญ้าแห่งนี้ เกรงว่าคงต้องรอให้ถึงฤดูใบไม้ผลิปีหน้า กว่าจดหมายตอบกลับจะเดินทางมาถึง

“ท่านหัวหน้าเผ่า เรื่องนี้ขอเวลาข้าตัดสินใจด้วยเถิด”

หวานเหยียนหงเลี่ยเผยรอยยิ้มออกมา นี่ถือเป็นลางดีที่ครูฝึกเผิงมีความคิดเช่นนี้ หากนางตัดสินใจจะอยู่ที่นี่ ชนเผ่าก็จะเจริญรุ่งเรืองมากยิ่งขึ้น

เผิงยวี๋เยี่ยนกลับมาถึงเรือนสักหลาดของตนแล้ว นางเห็นสองพี่น้องหยูติ้งชานและหยูติ้งเหออยู่ในเรือน

“ท่านแม่ ข้าและน้องชายฝึกวรยุทธสำเร็จแล้ว ทั้งยังได้ฝึกตำราพิชัยสงครามจนบรรลุแล้วด้วย แม้ว่าการเลี้ยงแกะที่นี่จะมิเลวเท่าใดนัก แต่…ทุกคราที่พี่เสี่ยวจ้วงมาก็มักจะเอ่ยถึงอาชีพทหาร ข้าเองก็ใฝ่หาเช่นกันขอรับ”

สองพี่น้องเงยหน้ามองเผิงยวี๋เยี่ยน แววตาเต็มไปด้วยความหวัง “ท่านแม่อนุญาตให้พวกข้าสมัครทหารได้หรือไม่ ? เริ่มจากทหารยศน้อยเสียก่อน พวกข้าจะต้องขึ้นเป็นแม่ทัพด้วยความสามารถของตนเองเท่านั้น จากนั้นค่อยกลับมาอวดท่านดีหรือไม่ขอรับ ? ”

เผิงยวี๋เยี่ยนนั่งลง จากนั้นก็เอ่ยถามบุตรชายทั้งสองว่า “พวกเจ้าอยากเป็นทหารที่ราชวงศ์อู๋หรือราชวงศ์หยู ? ”

หยูติ้งชานเอ่ยพร้อมกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ “พวกข้าอยากเป็นทหารดาบเทวะของราชวงศ์อู๋ขอรับ ! ”

“ถ้าหากราชวงศ์อู๋กับราชวงศ์หยูเปิดสงครามกันเล่า ? ”

หยูติ้งชานตกตะลึงขึ้นมาทันใด ถ้าราชวงศ์อู๋และราชวงศ์หยูทำสงคราม…เมื่อเข้าสู่ทางเดินฉีซานก็จะพบกับกองทัพชายแดนใต้ของท่านพ่อ แล้วพวกเขาจะลงมือได้เยี่ยงไร ?

นี่มิเท่ากับการเนรคุณหรอกหรือ ?

เผิงยวี๋เยี่ยนจ้องมองไปยังบุตรชายทั้งสอง “รอดูสถานการณ์และอยู่ที่นี่อย่างสบายใจไปก่อนเถิด”

ท่านแม่รออันใดอยู่กัน ?

เผิงยวี๋เยี่ยนมิได้เอ่ยอันใดให้มากความกับพวกเขาอีก

สองพี่น้องเดินออกจากเรือนสักหลาดด้วยความรู้สึกผิดหวัง ในใจจึงครุ่นคิดว่า…ฟู่เสี่ยวกวนเป็นน้องเขยของลูกพี่ลูกน้องพวกตน ดังนั้นทั้งสองย่อมสามารถเกี่ยวดองเป็นญาติกับฟู่เสี่ยวกวนได้ด้วยเช่นกัน เหตุใดพวกเราจึงเป็นมิตรที่ดีต่อกันมิได้ ?

ร่วมมือกันแล้วสู้รบกับแคว้นอี๋มิดีกว่าหรือ ?

แคว้นอี๋มิต่างอันใดกับลูกพลับที่สุกจนเละ เนื่องจากการเก็บภาษีที่เพิ่มขึ้นตามคำสั่งของเยียนหานยวี่ทำให้เกิดสงครามการเมืองมากมายภายในแคว้น

ในที่สุดสงครามการเมืองก็ถูกเฟิงเสียนชูแก้ไขด้วยวิธีการเด็ดขาด ทำให้เยียนหานยวี่คลายความกังวลและสงบลงได้ในที่สุด

เมื่อมิกี่วันก่อนได้ทราบข่าวดีว่า…ฟู่เสี่ยวกวนจะออกทะเลในเดือนที่สองของปีหน้า เกรงว่าการออกทะเลครานี้ต้องใช้ระยะเวลาราว 6 เดือน

ฟู่เสี่ยวกวนออกจากเมืองกวนหยุนในครานี้ จะมีทหารเรือ 100,000 นายและทหารกองนาวิกโยธินอีก 50,000 นายติดตามไปด้วย ดังนั้นราชวงศ์อู๋จะเหลือทหารเพียง 4 กองทัพเท่านั้น

ทว่าทหารดาบเทวะกองทัพที่หนึ่งประจำการอยู่ในเขตปกครองตนเองชื่อเล่อชวน ส่วนกองทัพที่สี่ยังฝึกฝนมิแล้วเสร็จ จึงมีเพียงสองกองทัพที่สามารถสู้รบได้ซึ่งก็คือกองทัพที่สองของเฮ้อซานเตาและกองทัพที่สามของเฉินป๋อ

เยียนหานยวี่ขมวดคิ้วมุ่น จากนั้นก็เอ่ยกับขันทีที่อยู่ข้าง ๆ ว่า “ไปเชิญอัครมหาเสนาบดีเปียนและแม่ทัพใหญ่เฟิงมาพบข้า ! ”

นายน้อยเจ้าสำราญ

นายน้อยเจ้าสำราญ

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง นายน้อยเจ้าสำราญโชคดีที่ได้ทะลุมิติมา ทั้งยังได้เกิดในตระกูลเศรษฐีที่ดิน ชีวิตนี้ไม่ได้ขาดแคลนอาหารและเสื้อผ้าแต่ก็ไม่อยากจะเอาแต่กินจนตายไปทั้งอย่างนั้น ดังนั้นฟู่เซี่ยวกวนจึงได้กระทำเรื่องบางอย่างตามอำเภอใจ โดยไม่ได้คาดคิดเลยว่าจะเกิดผล กระทบที่ใหญ่หลวงตามมาเยี่ยงนี้ ฮ่องเต้ต้องการให้เขาเป็นขุนนางชั้นหนึ่ง องค์หญิงต้องการแต่งตั้งให้เขาเป็นราชบุตรเขย บุตรีแห่งจวนเสนาบดีสำนักตรวจการต้องการแต่งกับเขา คนป่าต้องการหัวของเขา รัฐอี๋ต้องการชีวิตของเขา ส่วนรัฐฝานต้องการเงินของเขา… แต่เขา.. ฟู่เซี่ยวกวนนั้นต้องการเป็นเศรษฐีที่ดินผู้ยิ่งใหญ่ต่างหากเล่า !

Comment

Options

not work with dark mode
Reset