ตอนที่ 953 จอกสุราครั้งเยาว์วัย
“เสด็จพ่อ เสด็จพ่อ รายงานจากเขตปู้หยางพ่ะย่ะค่ะ ! ”
มือที่ถือรายงานขององค์รัชทายาทฝานเทียนหยูสั่นเทามิหยุด
ฝานจื่อกุยลุกขึ้นยืนทันพลัน จากนั้นก็คว้ารายงานมาเปิดอ่าน ทันทีที่ได้อ่านก็เย็นวาบไปทั้งร่าง ในฐานะป้อมปราการของเมืองฉางจิน เมืองปู้หยางถือได้ว่าแข็งแกร่งมากยิ่งนัก อีกทั้งยังมีทหารผ่านศึกอย่างเว่ยฉี่ฟูคอยคุ้มกันด้วยตนเอง ในการประชุมราชสำนักเมื่อวานนี้กรมกลาโหมยังให้ความเชื่อมั่นว่าเมืองปู้หยางจะต้านทัพศัตรูได้อย่างน้อยหนึ่งเดือนกว่าอยู่เลย…
เดือนกว่ามารดามันสิ !
คาดมิถึงว่าศึกในเมืองปู้หยางจะจบลงภายในเวลาเพียงแค่ 1 ชั่วยาม ศัตรูใช้เวลาเพียง 1 ชั่วยาม ก็สามารถยึดครองเมืองใหญ่ได้แล้ว !
สงครามครานี้จะสู้ได้เยี่ยงไร ?
ศัตรูมีเพียงสี่หมื่นกว่านายเท่านั้น !
ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักถึงรายงานสงครามเมืองเป่ยจวิ้น ณ ราชวงศ์อู๋ตอนแรกเริ่มได้ ด้วยกองทัพเดียวกันนี้ ทหารจำนวน 50,000 นายแทบจะทำลายกองทัพ 300,000 นายของตนจนสิ้นซาก แน่นอนว่ากองทัพ 300,000 นายคือกองกำลังที่เกรียงไกรของแคว้นฝาน แต่กลับถูกศัตรูกำจัดไปได้ถึง 200,000 นายภายในราตรีเดียว !
ทว่าฝ่ายตรงข้ามสูญเสียทหารหลักพันคนเท่านั้น !
“หรือฟู่เสี่ยวกวนจะมีเทพเซียนคอยคุ้มครองกัน ? ”
“เหตุใดถึงเป็นเยี่ยงนี้ไปได้เล่า ? ”
“ปืนและดาบมิสามารถแทงทะลุเกราะของพวกมันได้ ฟู่เสี่ยวกวนสร้างสิ่งนั้นขึ้นมาได้เยี่ยงไรกันนะ ? ”
ทันใดนั้นเอง ฝานจื่อกุยก็นึกถึงองค์ชายสิบสามฝานเทียนหนิงขึ้นมา… ‘พวกท่านมิรู้ถึงกำลังอันยิ่งใหญ่ของราชวงศ์อู๋และมิรู้ว่าความสามัคคีของคนในแคว้นที่ฟู่เสี่ยวกวนสร้างขึ้นมานั้นเหนียวแน่นมากเพียงใด พวกท่านจะพ่ายแพ้ต่อเขาอย่างแน่นอน ! ’
น้ำเสียงของฝานเทียนหนิงยังคงดังก้องอยู่ภายในหูของเขา ในที่สุดเขาก็เข้าใจทุกอย่างแล้วว่า สิ่งเหล่านี้คือการเอาไข่ไปกระทบหินอย่างแท้จริง
สามแคว้นรวมตัวกันแล้วเยี่ยงไร ?
สงคราม ณ ที่ราบฮวาจ้ง กองทัพสวรรค์ฆาตจำนวน 300,000 นายที่สร้างขึ้นมาจากการคัดสรรทั่วทั้งแคว้นของราชวงศ์หยู สุดท้ายก็ถูกทหารดาบเทวะของราชวงศ์อู๋จำนวน 180,000 นายกวาดล้างจนสิ้น กองทัพสวรรค์ฆาตได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี จึงสามารถต้านทหารดาบเทวะไว้ได้นานถึงสามวันสามคืน
กองทัพชายแดนใต้ของราชวงศ์หยูก็ถูกทำลายทั้งกองทัพเช่นกัน แม่ทัพใหญ่หยูชุนชิวสิ้นชีพในสนามรบ ในท้ายที่สุดกองทัพสวรรค์ฆาตที่ยืนหยัดจนถึงนายสุดท้ายก็พ่ายแพ้ และแม่ทัพใหญ่เฟ่ยอันก็ได้สิ้นชีพในสนามรบเช่นกัน
นี่คือกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดในผืนปฐพีนี้แล้ว ทว่าผลลัพธ์ก็ยังมิเปลี่ยนแปลง พวกเขาล้วนถูกทหารดาบเทวะสังหารจนสิ้น
มิต้องเอ่ยว่าจะสังหารไปจนถึงเมืองกวนหยุนเลย เพราะเพิ่งย่างกรายเข้าสู่ชายแดนของราชวงศ์อู๋ แม้แต่โอกาสก้าวเท้าไปเบื้องหน้าแม้แต่ก้าวเดียวก็ยังมิมี
กองทัพอาฆาต 100,000 นายจากแคว้นอี๋ถือว่าเก่งกาจมากเช่นกัน แต่เมื่อเผชิญหน้ากับทหารดาบเทวะกองทัพที่หนึ่ง พวกเขาก็ถูกสังหารจนสิ้นภายในวันเดียว
กองทัพของแคว้นฝานมิเคยผ่านการฝึกฝนพิเศษเช่นนั้นมาก่อน ดังนั้นยามที่กองทัพแคว้นฝานกำลังเผชิญหน้ากับทหารดาบเทวะจึงถือเป็นเรื่องน่าขันอย่างแท้จริง
แม้เมืองฉางจินจะมีกองทัพ 800,000 นายคอยรักษาการณ์อยู่ แม้จะมีปืนใหญ่หงอีนับพันกระบอก ทว่ารายงานจากเขตปู้หยางก็ได้ทำลายความมั่นใจของฝานจื่อกุยไปจนสิ้น
แคว้นฝานที่สืบทอดกันมานับพันปี…จะหายสาบสูญไปท่ามกลางหมอกยามพลบค่ำเยี่ยงนี้น่ะหรือ ?
“เรียกคนมา… จงเรียกอัครมหาเสนาบดีและเสนาบดีกรมกลาโหมมาที่ห้องทรงพระอักษรโดยเร็ว ! ”
……
……
แสงไฟในตำหนักชีเฟิ่งถูกจุดจนสว่างโร่ขึ้นมา
บนโต๊ะมีเทียนสีแดงหนึ่งเล่มตั้งอยู่
และบนโต๊ะยังมีอาหารหนึ่งสำรับที่เย็นชืดแล้ว
จักรพรรดินีฮุ่ยมิมีความอยากอาหารแม้แต่น้อย ยามมองอาหารสุดแสนวิจิตรบนโต๊ะนั้น เนื่องจากฝ่าบาทมิได้กลับมาและทัพใหญ่ของราชวงศ์อู๋ใกล้มาถึงเมืองฉางจินเต็มทีแล้ว
จะทำเยี่ยงไรดี ?
นางลุกขึ้นยืน จากนั้นก็เดินไปยังริมหน้าต่างพลางจ้องมองดอกไม้หลากสีสันท่ามกลางหยาดพิรุณโปรยปราย ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าสีสันช่างเป็นของปลอมเพราะแท้จริงแล้วพวกมันล้วนเป็นสีเทา
เพิ่งจะผ่านมาได้เท่าใดเอง ?
เมื่อต้นปีนี้ หยูไป๋ไป๋เดินทางมายังเมืองฉางจิน จากนั้นก็เอ่ยถึงแผนการชุนเหลยต่อฝ่าบาท
วันที่สิบ เดือนหนึ่ง หัวหน้านิกายฝูได้เข้าวังเพื่อร่วมเจรจากับฝ่าบาทและหยูไป๋ไป๋อยู่หนึ่งคืน จากนั้นฝ่าบาทจึงตัดสินใจเข้าร่วมแผนการชุนเหลยทันที
เดิมทีนี่คือแผนการอันไร้ที่ติแผนการหนึ่ง !
หัวหน้านิกายได้นำพระนักรบเข้าสู่เมืองกวนหยุน โดยใช้ข้ออ้างเรื่องการนำร่างของอู๋ฉางเฟิงส่งกลับคืนราชวงศ์อู๋
ด้านปรมาจารย์ที่คอยปกปักเมืองกวนหยุนแห่งนั้น เป่ยหวังฉวนติดตามจักรพรรดิออกทะเล หนิงฝาเทียนและโหยวเป่ยโต้วถูกจักรพรรดิโยกย้ายไปยังเมืองจินหลิง ดังนั้นปรมาจารย์ของเมืองกวนหยุนจึงเหลือเจี่ยหนานซิงเพียงผู้เดียว !
ด้วยปรมาจารย์ 5 รูปจากนิกายฝูรวมกับพระนักรบฝีมือขั้นหนึ่งสามพันกว่ารูป มิว่าจะมองเยี่ยงไรการบุกโจมตีวังหลวงแห่งราชวงศ์อู๋อย่างกะทันหัน ก็มิน่าจะมีอุบัติเหตุอันใดเกิดขึ้นได้
แล้วอุบัติเหตุทั้งหมดเกิดขึ้นมาได้เยี่ยงไร ?
มันเกิดจากยามที่หัวหน้านิกายได้นำพระนักรบไปถึงเมืองเป่ยจวิ้น
โจวถงถงเป็นผู้นำรายงานมาส่งด้วยตนเองโดยบอกว่า เดิมทีฟู่เสี่ยวกวนมิได้ออกทะเล ทว่าเขาใช้กลอุบายหลอกล่อ คาดมิถึงว่าจะไปอยู่ที่เมืองเปียนเฉิง !
โจวถงถงเอ่ยว่าที่ฟู่เสี่ยวกวนไปยังเมืองเปียนเฉิงเพราะตั้งใจจับกุมหยูเวิ่นเต้าในพื้นที่ราบชังซี… เมื่อหยูเวิ่นเต้าตกอยู่ในเงื้อมมือของฟู่เสี่ยวกวน แผนการรวมพลย่อมล่มมิเป็นท่า
หากฮ่องเต้ราชวงศ์หยูถูกจับกุม กองทัพสวรรค์ฆาตก็คงจะทำได้เพียงยอมจำนนเท่านั้น
ดังนั้นสิ่งเร่งด่วนที่สุดมิใช่การยึดครองเมืองกวนหยุน ทว่าเป็นการไปสังหารฟู่เสี่ยวกวนที่เมืองเปียนเฉิง !
หัวหน้านิกายตรงไปยังเมืองเปียนเฉิงและทั้งหมดก็เป็นไปตามที่โจวถงถงเอ่ยไว้ ฟู่เสี่ยวกวนต้องการจับเป็นหยูเวิ่นเต้าอย่างแท้จริง เพียงแค่สงคราม ณ ที่ราบฮวาจ้งยังคงดำเนินไปตามปกติ
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้บังคับขู่เข็ญหยูเวิ่นเต้าให้หยุดสงครามครานี้ เนื่องจากเขาต้องการกำจัดกองทัพสวรรค์ฆาตของราชวงศ์หยูอย่างแท้จริง
ท่านหัวหน้านิกายเกือบจะสำเร็จภารกิจที่เมืองเปียนเฉิงแล้ว หากมิใช่เพราะปืนกระบอกยาวที่มิเคยเห็นมาก่อนกระบอกนั้น หากมิใช่เพราะผู้สังเกตแห่งสำนักเต๋าเยี่ยงซูฉางเซิงไล่ตามมาได้ทันเวลา
วันนั้นฝานเทียนหนิงได้เอ่ยว่านี่คือกรรมตามสนอง บัดนี้กรรมได้ตามมาสนองแล้วจริง ๆ เนื่องจากการมาถึงอย่างรวดเร็วของทหารดาบเทวะ ทำให้ผู้คนยากจะทำใจเชื่อได้
เมืองฉางจินอาจจะป้องกันไว้มิได้แล้ว เพราะยังมีกองกำลังขนาดใหญ่ข้ามผ่านแม่น้ำชิงเจียงผ่านอาณาเขตของราชวงศ์หยูมายังแคว้นฝานแห่งนี้ และบัดนี้พวกเขาก็ได้ยืนอยู่บนผืนปฐพีของแคว้นฝานแล้ว ซึ่งกำลังมุ่งหน้ามายังเมืองฉางจิน
องค์หญิงสิบเอ็ดฝานหลี่ฮวาคอยเฝ้ามองพระมารดาอยู่เงียบ ๆ ใบหน้าของนางมิได้ดูโศกเศร้าแต่อย่างใด แต่กลับปรากฎรอยยิ้มเย้ยหยันผุดขึ้นมาบนใบหน้า
มิใช่การเย้ยหยันต่อเสด็จแม่ ทว่าเป็นเสด็จพ่อต่างหากเล่า
“เจ้ารีบไปเถิด” จักรพรรดินีฮุ่ยหันมาเอ่ยกับนาง
ฝานหลี่ฮวาส่ายหน้า “ลูกจะมิไปที่ใดทั้งนั้น”
“จะฝังร่างไว้ที่แคว้นฝานเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ช่างเถิดเพคะ ลูกได้ทูลขอหนึ่งกองทัพจากเสด็จพ่อแล้ว ลูกจะนำกองทัพไปตัดสินความเป็นความตายกับกองทัพของฟู่เสี่ยวกวนด้วยตนเอง”
ทันใดนั้นจักรพรรดินีฮุ่ยก็ยกยิ้มขึ้นมา “พลเรือนและทหารทั่วราชสำนัก องค์ชายและองค์หญิงทั้งสิบกว่าองค์ มีเพียงฝานเทียนหนิงเท่านั้นที่มองการณ์ไกลได้อย่างแตกฉาน เขาสนิทชิดเชื้อกับฟู่เสี่ยวกวนมากที่สุด จึงมีเพียงเขาเท่านั้นที่เข้าใจความแข็งแกร่งของฟู่เสี่ยวกวน”
“ดังนั้นเขาจึงเร่งเดินทางกลับมาจากรัฐหยุน หากเขาขัดขวางมิให้แคว้นฝานเข้าร่วมศึกได้สำเร็จ แน่นอนว่าจะมิเกิดเหตุการณ์เยี่ยงวันนี้ขึ้นมา แต่น่าเสียดายที่ทุกคนตกอยู่ในความฝัน ยกตนข่มท่าน คิดไปเองว่าทหารม้าของแคว้นฝานเก่งกาจ เอาแต่คิดว่าพระนักรบของแคว้นฝานคือผู้ไร้พ่าย…”
“เกรงว่าเจ้าก็คงจะคิดเช่นนี้เหมือนกัน ทว่าจากรายงานทัพทั้งหมดที่ได้รับมา ก็สามารถยืนยันได้อย่างชัดเจนแล้วว่าทั้งหมดคือความฝัน”
“ได้ยินมาว่าฝานเทียนหนิงพาครอบครัวไปตั้งถิ่นฐานอยู่ที่เมืองกวนหยุนแล้ว… เขาเลือกละทิ้งสายเลือดเชื้อพระวงศ์ หากเจ้าอยากตาย แม่ก็จะมิขัดขวาง เพราะการทำหน้าที่เป็นเกราะกำบังยามแคว้นตกที่นั่งลำบาก ต่อให้ต้องสูญเสียเอกราชก็ต้องตกตายอย่างอาจหาญ”
“วันที่กำแพงเมืองล่มสลาย แม่จะสละชีพเพื่อชาติด้วยผ้าแพรยาวสามฉื่อ ส่วนเจ้าเป็นนักรบ ดังนั้นการตายในสนามรบถือว่าเหมาะสมแล้ว เพราะบัดนี้การตายยังง่ายยิ่งกว่าการมีชีวิตอยู่”
“หากเจ้าเป็นฝานเทียนหนิง เจ้าจะมีชีวิตอยู่ที่เมืองกวนหยุนอย่างมีความสุขได้หรือไม่ ? เขาก็แค่มิอยากเห็นเหล่าเชื้อพระวงศ์โดนดาบของฟู่เสี่ยวกวนบั่นคอด้วยตาของตนเองเท่านั้น”
ทันใดนั้น ชายอ้วนฟู่ต้ากวนก็เดินเข้ามาด้วยท่าทีสบายอารมณ์
เขาจ้องมองแววตาตื่นตระหนกของจักรพรรดินีฮุ่ยแล้วแสยะยิ้ม “เสี่ยวฮุ่ย พวกเราได้พบกันอีกแล้ว”
“ไอหยา…มีสุราและอาหาร กำลังรอข้าอยู่เยี่ยงนั้นหรือ ? เอ่ยถึงความเป็นความตายอันใดกัน ? มิเป็นมงคลเอาเสียเลย มามามา พวกเรามาดื่มให้เต็มที่สักสามจอกเถิด มารำลึกถึงความหลังครั้งเยาว์วัยกันสักหน่อย ! ”