ตอนที่ 954 ล่มสลาย
“ท่านพี่…”
แม้ว่าบัดนี้จะเป็นเดือนสี่แล้ว ทว่ายามราตรีในเมืองกวนหยุนยังคงหนาวเหน็บและมีน้ำค้างตกหนัก เซวี๋ยหยู่เยียนปลดผ้าคลุมออก จากนั้นก็นำมาคลุมไว้ที่บ่าของฝานเทียนหนิง
ทั้งสองเดินทางมายังเมืองกวนหยุนได้หนึ่งเดือนกว่าแล้ว ยามกลางวันใบหน้าของฝานเทียนหนิงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ทว่าในยามราตรีฝานเทียนหนิงมักรู้สึกเศร้าโศกและมิอาจข่มตาหลับลงได้
ราตรีนี้ฝานเทียนหนิงยังคงนอนมิหลับดังเดิม เขาจึงตัดสินใจลุกขึ้นและเดินออกมายังลานกว้าง
ฝานเทียนหนิงจับมือของเซวี๋ยหยู่เยียนเอาไว้ จากนั้นก็ฝืนยิ้มออกมาพลางเอ่ยว่า “ข้ามิเป็นไรหรอก เจ้ามิต้องกังวล ไปนอนเถิด”
“ข้า… ข้านอนมิหลับ”
“เช่นนั้นก็เดินชมดวงดาราเป็นเพื่อนข้าสักหน่อยเถิด”
ฝานเทียนหนิงจ้องมองไปยังดวงดาราที่เปล่งประกายเจิดจรัสบนท้องนภา ทว่าในใจยังคงคิดถึงเพียงแคว้นฝาน
บัดนี้เขามิได้รับรายงานใด ๆ อีกเลย จึงมิรู้ว่าแคว้นฝานเป็นเยี่ยงไรบ้าง
ฟู่เสี่ยวกวนคงมิปล่อยแคว้นฝานไปโดยง่าย เพราะการที่แคว้นฝานเข้าร่วมสงครามถือเป็นเรื่องที่ผิดมหันต์ ฟู่เสี่ยวกวนเคยเอ่ยเอาไว้ว่าหากทำผิดก็ต้องชดใช้ !
ราคาที่ต้องจ่ายสูงเทียมฟ้า นับจากนี้เป็นต้นไปแคว้นฝานคงถึงคราวล่มสลาย
ท่านราชครูได้ออกบวชเพื่อศึกษานิกายฝูมาทั้งชีวิต แต่เขากลับมิเข้าใจถึงแก่นแท้อันแสนบริสุทธิ์ในพระธรรมคำสอน เหตุใดถึงเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลกเช่นนี้
เหตุใดต้องลงมาเกลือกกลิ้งอยู่กับฝุ่น เขาสังหารจักรพรรดิเหวินอู๋ฉางเฟิง อีกทั้งยังปลิดชีพองค์ไทเฮาแห่งราชวงศ์อู๋สวี่หยุนชิง !
ทั้งสองคือบิดามารดาผู้ให้กำเนิดฟู่เสี่ยวกวน ความอาฆาตแค้นเยี่ยงนี้ แน่นอนว่าต้องตามเอาคืนกับชาวฝาน
แม้แต่ข้าเองที่อยากหนีออกมาจากเรื่องราววุ่นวายเหล่านั้นก็คงเป็นการยาก
เยี่ยงไรเสียร่างกายของเขาก็มีเลือดของราชวงศ์ฝานไหลเวียนอยู่ ฟู่เสี่ยวกวนจะเห็นแก่ความสัมพันธ์เมื่อคราเก่าก่อนแล้วปล่อยตนไปหรือไม่ ?
บัดนี้ฝานเทียนหนิงได้แต่ใช้ชีวิตอย่างหลบซ่อนเพื่อสายเลือด เพื่อเซวี๋ยหยู่เยียนและเพื่อเด็กในครรภ์ของเซวี๋ยหยู่เยียน
เซวี๋ยหยู่เยียนก็เป็นกังวลเช่นเดียวกัน เพราะนางมาจากหนึ่งในหกตระกูลใหญ่แห่งราชวงศ์หยูซึ่งนั่นก็คือตระกูลเซวี๋ย นางรู้ดีว่าองค์จักรพรรดิไร้ความปรานี คาดว่าเขาจะต้องสังหารทุกคนทิ้งเป็นแน่
เมื่อตอนที่อยู่ในราชวงศ์หยู นางสมควรตายไปเนิ่นนานแล้ว ทว่าท้ายที่สุดนางก็ได้หนีไปยังแคว้นฝานและเป็นเพราะว่าวกระดาษอันนั้นที่ทำให้นางได้สมรสกับองค์ชายสิบสาม
นางมิได้เกรงกลัวต่อความตาย เพียงแต่ว่าบัดนี้นางกำลังตั้งครรภ์อยู่จึงยังมิอยากตาย
“ท่านคิดว่า…เขาจะปล่อยพวกเราไปหรือไม่ ? ”
“เจ้าอย่ากังวลไปเลย ฟู่เสี่ยวกวนมิใช่คนที่ชอบสังหารมิเลือกหน้า ความปรารถนาของเขามิใช่การรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่งเดียวและพวกเราก็มิได้สำคัญถึงขนาดที่เขาจะลงมือสังหารด้วยตนเอง”
“…แล้วเขาปรารถนาสิ่งใดกัน ? ”
“สิ่งที่เขาปรารถนามากกว่านั้น คืออีกฝั่งของมหาสมุทรอันกว้างไกลโพ้น”
เซวี๋ยหยู่เยียนนิ่งงันในทันใด พลางนึกในใจว่าหากเป็นเช่นนั้นจริงก็คงดี
……
……
ราตรีนี้
ณ พระราชวัง เมืองฉางจินแห่งแคว้นฝาน
หลังจากที่ชายอ้วนจับตัวจักรพรรดินีฮุ่ยและฝานหลี่ฮวาได้แล้ว โหยวเป่ยโต้วก็ได้จัดการกับปรมาจารย์ทั้งสองคนด้วยตนเอง ส่วนหนิงฝาเทียนบุกเข้าไปยังห้องทรงพระอักษร จากนั้นก็จัดการกับอัครมหาเสนาบดีแคว้นฝานและเสนาบดีกรมกลาโหม อีกทั้งยังจับเป็นจักรพรรดิแห่งแคว้นฝาน… ฝานจื่อกุย ได้อีกด้วย
เช้าวันต่อมา กองทัพจำนวนสี่หมื่นกว่านายที่นำโดยซื่อโถวได้เดินทางมาถึงเมืองฉางจิน อยู่ ๆ เสียงกลองสงครามก็ดังกึกก้องขึ้นมา
เดิมทีนี่เป็นเวลาประชุมราชสำนัก
ขุนนางทั้งบู๊และบุ๋นพากันนั่งสลอนอยู่ในพระราชสำนัก ทว่าองค์จักรพรรดิอยู่ที่ใด ?
กลองสงครามถูกตีแล้ว ทว่าองค์จักรพรรดิเสด็จไปอยู่แห่งหนใดกัน ?
ท่านอัครมหาเสนาบดีก็มิอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน !
เสนาบดีกรมกลาโหมก็มิอยู่ !
เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่ ?
ในขณะที่ขุนนางทั้งหลายกำลังกระสับกระส่ายอยู่นั้น ชายอ้วนที่สวมชุดผ้าลินินสีน้ำเงิน ก็ได้เดินทำหน้าตาบึ้งตึงเข้ามาในท้องพระโรง
ท่ามกลางสายตาที่ตกตะลึงของเหล่าขุนนางทั้งหลาย เขาเดินตรงไปยังบัลลังก์มังกรและนั่งลงทันใด
มือของเขาสัมผัสไปยังที่วางแขนของบัลลังก์มังกรอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนจะหัวเราะออกมาและเอ่ยว่า “ฮ่า ๆ ๆ ตาเฒ่านั่นก็เลือกของได้มิเลวเลยนี่ แผ่นรองนั่งช่างอ่อนนุ่มเสียจริง นั่งแล้วสบายกายยิ่งนัก”
“เจ้าเป็นผู้ใดกัน ? เหตุใดถึงกล้านั่งบนบัลลังมังกรของฝ่าบาท ทหาร… ! ”
ชายอ้วนยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย เขายกมือขึ้น จากนั้นก็ลั่นไกปืนออกไป ‘ปัง… ! ’ กระสุนเจาะเข้าที่กลางหน้าผากของขุนนางผู้นั้น จากนั้นร่างของขุนนางผู้น่าสงสารก็ล้มตึงลงกับพื้นทันที ขุนนางที่เหลือพากันแตกตื่น ชายอ้วนจึงยกมือขึ้นและหันปลายกระบอกปืนชี้ไปทางหลังคา จากนั้นก็ยิงออกมาอีกหนึ่งนัด “เงียบ… ! ”
ชายอ้วนลุกขึ้นยืนสองมือไพล่หลัง จากนั้นก็เดินมาข้างหน้าสองก้าวก่อนจะเอ่ยด้วยท่าทีเย่อหยิ่งว่า “ข้าคือจักรพรรดิอู๋และบัดนี้ข้าขอประกาศว่าแคว้นฝานได้ถูกทำลายจนสิ้นแล้ว จากนี้…จะมิมีแคว้นฝานอีกต่อไปแล้ว ! ”
จักรพรรดิอู๋เยี่ยงนั้นหรือ ? !
เขาคือองค์จักรพรรดิพระเจ้าหลวงแห่งราชวงศ์อู๋ !
เหตุใดเขาถึงมานั่งบนบัลลังก์มังกรของแคว้นฝานกัน ?
สงครามด้านนอกดำเนินไปอย่างดุเดือด เหตุใดถึงเอ่ยว่าแคว้นฝานได้สูญสิ้นแล้วกัน ?
บรรดาขุนนางเหล่านั้นเกรงกลัวปืนในมือของชายอ้วน จึงมิมีผู้ใดกล้าเสนอหน้าขึ้นมา
ชายอ้วนบรรจุกระสุนพลางเอ่ยว่า “บัดนี้…ในฐานะจักรพรรดิพระเจ้าหลวงแห่งราชวงศ์อู๋ ข้าขอประกาศต่อพวกเจ้าว่า…พวกเจ้าทุกคนถูกปลดออกจากตำแหน่ง ! ”
“มองอันใดกันเล่า ? เชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถยิงเจ้าให้ตายได้ในพริบตาเดียว ? ”
“จักรพรรดิของพวกเจ้า ตาเฒ่าฝานจื่อกุยบัดนี้อยู่พร้อมหน้ากันครบถ้วน มิมีผู้ใดหนีรอดไปได้ อ้อ ! เว้นแต่ฝานเทียนหนิง”
บรรดาขุนนางพากันสูดหายใจเข้าลึกด้วยความตกตะลึง ฝ่าบาท… ฝ่าบาทถูกจับตัวไว้เยี่ยงนั้นหรือ ?
เชื้อพระวงศ์ทั้งหมดถูกชายอ้วนผู้นี้ทำลายล้างแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?
แล้วสงครามครานี้จะสู้ต่อไปเยี่ยงไรเล่า ?
“บัดนี้ข้าขอประกาศว่า พวกเจ้าทุกคนกลายเป็นราษฎรทั่วไปแล้ว ข้าต้องการไต่สวนฝานจื่อกุย ดังนั้นพวกเจ้าจงไสหัวออกไป ! ”
บางคนค่อย ๆ ถอยออกไป แต่ส่วนมากยังยืนตกตะลึงอยู่ที่เดิม แคว้นฝานล่มสลายแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?
แคว้นฝานทำลายล้างได้ง่ายดายถึงเพียงนี้เชียวหรือ ?
“เจ้าอย่าเอ่ยวาจาเหลวไหล ! แคว้นฝานของเรามีพระโพธิสัตว์คุ้มครองอยู่ อู๋ต้าหลาง เจ้ามิตายดีเป็นแน่ ! ”
‘ปัง… ! ’ กระสุนปืนหนึ่งนัดถูกยิงออกไปและผู้ที่เอ่ยประโยคเมื่อครู่ก็สิ้นใจทันที
“มีผู้ใดต้องการตายตามแคว้นของพวกเจ้าอีกหรือไม่ ? ข้าจะนับถึงสาม… หลังจากที่ข้านับสามแล้วผู้ใดยังอยู่ที่นี่ ข้าจะช่วยทำให้ความฝันของมันผู้นั้นเป็นจริง ! ”
“สาม… ! ”
มีคนบางส่วนรีบก้มหน้าเดินออกไป
“สอง… ! ”
ในครานี้มีคนเดินออกไปมากกว่าเดิม !
“หนึ่ง… ! ”
ในท้องพระโรงมีขุนนางเหลืออยู่ราวยี่สิบกว่าคน พวกเขาเงยหน้าขึ้น ยืดตัวตรงและจ้องมองมาทางชายอ้วน
“พวกข้าสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาทและจงรักภักดีต่อฝ่าบาท ภักดีต่อแคว้นฝาน ครานี้เมื่อราชวงศ์ต้องพบกับความล่มสลาย พวกข้ายอมตกเป็นเชลยศึกและยอมตายไปพร้อมกับผืนปฐพี ! ”
ฟู่ต้ากวนนั่งนิ่งชั่วครู่ก่อนจะยกปืนขึ้นยิง
เมื่อสิ้นเสียงปืน ในท้องพระโรงก็มีซากศพเพิ่มขึ้นมายี่สิบกว่าร่าง โลหิตเจิ่งนองทั่วพื้น
ในท้องพระโรงทั้งสี่มุมล้วนประดับด้วยพระพุทธรูป รูปปั้นเหล่านั้นมองมาด้วยสีหน้าเรียบเฉยไร้ซึ่งความยินดีหรือเศร้าโศก
ฟู่ต้ากวนเดินไปยังตำหนักชีเฟิ่ง
สถานที่แห่งนั้น เชื้อพระวงศ์แห่งแคว้นฝานอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาและบัดนี้ชายอ้วนต้องการพระราชโองการจากฝานจื่อกุย
“อู๋ต้าหลาง ข้ามิอาจเขียนพระราชโองการให้เจ้าได้ เหล่าทหารของแคว้นฝานจะทำการรบจนกระทั่งทหารนายสุดท้ายจบสิ้นชีวิตลง ! ”
“พวกเขาเป็นความภาคภูมิใจของแคว้นฝาน ต่อให้พวกเขาตายไปเป็นวิญญาณก็จะกลับสู่นิกายฝู”
ชายอ้วนสะบัดมือและตบเข้าที่ใบหน้าของฝานจื่อกุย “ฮึ ! เจ้ายังมาทำปากแข็งอยู่อีก คิดว่าข้ามิรู้เยี่ยงนั้นหรือ…ว่าในตอนนั้นเจ้าชื่นชอบสวี่หยุนชิง ทว่าเจ้าก็ยังให้หัวหน้านิกายฝูสังหารนาง เจ้ายังเป็นมนุษย์อยู่หรือไม่ ? ”
“อู๋ต้าหลาง เจ้า… เจ้าอย่าเอ่ยวาจาเหลวไหลเชียว ! ”
“บัดนี้ข้ามิมีเวลามาต่อล้อต่อเถียงกับเจ้าในเรื่องนี้ ข้าจะนับเพียงแค่หนึ่งถึงสาม หากเจ้ายังมิเขียนพระราชโองการ ข้าก็จะยิงทายาทของเจ้าทิ้งเสีย…เริ่มจากหลานของเจ้าเป็นต้นไป ! ”
ฝานจื่อกุยตะโกนออกมาสุดเสียงด้วยท่าทางบ้าคลั่ง “อู๋ต้าหลาง เจ้ากล้าเยี่ยงนั้นหรือ ! ”
ชายอ้วนยกยิ้มขึ้น จากนั้นก็เอ่ยว่า “เจ้าลองถามจักรพรรดินีฮุ่ยเองเถิด ว่ามีเรื่องอันใดที่ข้ามิกล้าทำบ้าง ? ”
ฝานจื่อกุยฟังมิค่อยเข้าใจเท่าใดนัก เขาจ้องมองไปยังชายอ้วนที่กำลังบรรจุกระสุนปืนและนับถอยหลัง
“สาม… ! ”
“สอง หนึ่ง ! ”
‘ปัง… ! ’ เมื่อเขายกมือขึ้น หลานชายของฝานจื่อกุยซึ่งเป็นโอรสขององค์รัชทายาทก็สิ้นใจในทันใด
“อ๊าก… ! ”
ทุกคนพากันกรีดร้องเสียงดัง ชายอ้วนทำหน้าเคร่งขรึม จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “เจ้ารู้ว่าข้ารักสวี่หยุนชิง แต่เจ้าก็ยังให้ฝานอู๋เซียงสังหารนาง ! ”
“การที่ข้าจะสังหารเจ้าทิ้งทั้งตระกูลก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว บัดนี้ข้าจะนับถึงสามอีกครา”
“สาม สอง หนึ่ง ! ”
‘ปัง… ! ’
“สาม สอง หนึ่ง ! ”
‘ปัง… ! ’
“ช้าก่อน ! ”
ฝานจื่อกุยล้มลง นี่เป็นเครื่องยืนยันได้ว่าแคว้นฝานล่มสลายโดยสมบูรณ์แล้ว
ชายอ้วนเงยหน้าขึ้น พลางเอ่ยกับพระพุทธรูปเหล่านั้น “ข้าน่าสงสารใช่หรือไม่ ! ”
“แต่ข้าโมโหยิ่งกว่าสิ่งใด ! เจ้าบรรลุถึงหลักธรรมอย่างถ่องแท้มิใช่หรือ ? บัดนี้หากข้าขอร้องให้เจ้าทำให้ทุกคนฟื้นคืนขึ้นมา เจ้าจะทำได้หรือไม่ ? หากเจ้าทำมิได้ ข้าก็คงมิอาจเชื่อใจในพระพุทธศาสนาได้อีกต่อไป ข้าจะสังหารพระสงฆ์เหล่านั้นให้สิ้นเสียทุกรูป ! ”
ชายอ้วนก้มหน้าลงพร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม และวันต่อมาวัดหลายแห่งในเมืองฉางจินก็นองไปด้วยโลหิต