ตอนที่ 966 เดินทางถึงเซี่ยเย๋
รัชสมัยเทียนเต๋อปีที่สาม วันที่หนึ่ง เดือนแปด
บัดนี้สงคราม ณ ที่ราบฮวาจ้งได้ผ่านพ้นไปแล้ว 5 เดือน อีกทั้งเมืองฉางจินแห่งแคว้นฝานได้ล่มสลายไปเกือบ 4 เดือนแล้วเช่นกัน
ช่วงเวลานี้ฟู่เสี่ยวกวนก็กลับมาขยันขันแข็งอีกครา
หลังจบการประชุมใหญ่ประจำราชสำนักอันยาวนานตลอดสามวันแล้วนั้น เนื่องด้วยความร่วมมือของเหล่าขุนนางทุกท่านจึงทำให้ต้าเซี่ยใหม่ปรากฏพลังอันแข็งแกร่งออกมา
สมบัติของเชลยที่ไป๋ยู่เหลียนแย่งชิงมาได้มีมูลค่ามากกว่า 300 ล้านตำลึงเสียอีก เงินจำนวนมากมายก่ายกองเหล่านี้ราวกับหยาดฝนที่โปรยปรายลงไปยังสองฟากฝั่งจิงตงและเหอเป่ยอันแห้งแล้ง อีกทั้งยังมีสองฟากฝั่งจิงซีกับหวายหนานอีกด้วย
โครงการก่อสร้างขั้นพื้นฐานอันยิ่งใหญ่ซึ่งมิเคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ได้เปิดฉากขึ้น มิว่าจะเป็นการตัดถนนหรือสร้างสะพาน โครงการอนุรักษ์น้ำเพื่อการเกษตร สถานศึกษา สถานพยาบาล สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าและบ้านพักคนชราเป็นต้น ทุกสิ่งล้วนดำเนินการอย่างเป็นระบบระเบียบภายใต้พระราชกฤษฎีกาขององค์จักรพรรดิประเทศต้าเซี่ย
บนใบหน้าของชาวบ้านที่เดิมทีดูเย็นชาไร้สีสันสดใส บัดนี้ปรากฏเป็นรอยยิ้มขึ้นมาอีกครา พวกเขาใช้สองมือที่ขยันขันแข็งช่วยกันพัฒนาต้าเซี่ยอย่างเงียบ ๆ
สิ่งเหล่านี้ก็คือความหวัง !
ต้าเซี่ยเปรียบเสมือนเรือลำใหญ่ที่มิได้ทอดทิ้งผู้โดยสารแม้แต่คนเดียว !
หลู่เฟิง หัวหน้าตระกูลหลู่ถูกฟู่เสี่ยวกวนเรียกเข้าพบในเมืองกวนหยุน จากนั้นอู่ต่อเรือที่เขตเหยาก็เริ่มสร้างเรือบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่จำนวนมากขึ้นมา
เฉินฉือ หัวหน้าตระกูลเฉินก็ถูกฟู่เสี่ยวกวนเรียกเข้าพบในเมืองกวนหยุนเช่นกัน เขาได้รับวิธีการถลุงเหล็กแบบใหม่ ทำให้จำนวนผลผลิตของเหล็กเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด จากนั้นก็ใช้ขนส่งทางเรือของตระกูลหลู่ขนส่งเหล็กมายังท่าเรือเจียงเฉิง
โจวสวิน หัวหน้าตระกูลโจวก็ถูกฟู่เสี่ยวกวนเรียกเข้าพบเช่นกัน จากนั้นเกลือขาวก็เริ่มวางจำหน่ายไปยังต้าหลี่และเยวี่ยซานทั้งสี่มณฑล
ส่วนเรื่องการค้าอื่น ๆ นั้น ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวเพราะเรื่องของเงินทุนเดิมทีก็มิน่าดอมดมสักเท่าใดนัก
กองทุนเหล่านั้นกำลังหลั่งไหลเข้าสู่มณฑลต่าง ๆ แห่งต้าเซี่ย แม้แต่มณฑลจิงตงทั้งสองฟากฝั่งที่ยากแค้นแสนเข็ญ บัดนี้ก็เริ่มมีพ่อค้าเข้าไปก่อตั้งโรงงานแล้วเช่นกัน อาทิเช่น โรงงานเผาเครื่องลายครามของตระกูลโจ่ง
เตาเผาเครื่องใช้ในราชสำนัก แม้แต่โรงงานเครื่องแก้วของชื่อเล่อชวนก็ไปตั้งอยู่ที่สองฟากฝั่งจิงตงด้วยเช่นกัน
เมื่อเรื่องใหญ่ทั้งหลายได้ถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนจึงนึกถึงฝูหล่างจีขึ้นมาได้ จึงทำให้นั่งมิติด
ที่นั่นมิได้มีเพียงฝูหล่างจีเท่านั้น ทว่ายังมีแคว้นที่แข็งแกร่งอีกมากมาย
วันที่หนึ่งเดือนแปด ฟู่เสี่ยวกวนพาหลิวจิ่น ปิซาร์โรและเป่ยหวังฉวนเดินทางออกจากเมืองกวนหยุนมาถึงท่าเรือเจียงเฉิงอย่างเงียบ ๆ เรือรบอู่เว้ยทั้งสามลำได้รับการซ่อมบำรุงเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทั้งยังมีเรือรบลำใหม่ที่สร้างเสร็จอีก 2 ลำ บัดนี้จึงมีเรือรบ 5 ลำทอดสมอเตรียมพร้อมออกผจญภัยอีกครา
จัวเปี๋ยหลีออกคำสั่งให้ซื่อโถวผู้บัญชาการทหารเรือกองพลที่หนึ่งพาทหารเรือจำนวน 42,000 นายกลับมายังเมืองกวนหยุน ดังนั้นทหารที่ประจำการ ณ เมืองฉางจินคือทหารดาบเทวะกองทัพที่สองของเฮ้อซานเตาจำนวน 100,000 นาย
เพื่อเป็นการพัฒนากองทัพเรือ ฟู่เสี่ยวกวนจึงเรียกเฮ้อซานเตากลับมาเพราะบัดนี้ยังมิได้รับสมัครทหารบกชุดใหม่ ฟู่เสี่ยวกวนจึงตัดสินใจให้เฮ้อซานเตาขึ้นเรือเพื่อสัมผัสมันเสียก่อน
ทหารที่ได้ขึ้นเรือในครานี้ มีกองนาวิกโยธินจำนวน 5,000 นายและทหารเรือจากกองทัพเรืออีก 10,000 นาย
ในครานี้ฟู่เสี่ยวกวนนำเรือบรรทุกสิ่งของไปด้วยสิบลำ บนเรือทั้งสิบลำนี้บรรทุกลูกเรือและช่างต่อเรือมากถึงสามพันคน ส่วนที่เหลือคือวัสดุที่ใช้ในการสร้างท่าเรือ
เขาต้องการสร้างท่าเรือเซี่ยเย๋ให้เสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุด
แน่นอนว่าการเดินทางครานี้หากสามารถตีเมืองเซี่ยเย๋ได้อย่างราบรื่น เขายังตั้งใจเดินทางไปยังแคว้นหลิวอีกด้วย เนื่องจากแคว้นหลิวได้ถูกเจ้าปิซาร์โรเข้ายึดไปแล้ว โดยเอ่ยว่าได้ทิ้งทหารจำนวน 50,000 นายไว้คุ้มกันที่แคว้นหลิวและมีแม่ทัพนามว่าปาเออร์คอยบัญชาการ
ฟู่เสี่ยวกวนให้ความสำคัญต่อแคว้นหลิวมากเลยทีเดียว เนื่องจากแคว้นหลิวตั้งอยู่บนเกาะและมีท่าเรืออยู่แล้ว เขาต้องนำมันมาไว้ในครอบครองให้ได้ จากนั้นก็ทำเป็นแนวกั้นทะเลแห่งแรกของต้าเซี่ย !
ปิซาร์โรมิกล้าแม้แต่จะคิดว่าทหารทั้งห้าหมื่นนายของตนสามารถเอาชนะฟู่เสี่ยวกวนได้ อีกทั้งชีวิตในช่วงนี้เขาเป็นอิสระมากเลยทีเดียว หลังจากได้ชื่นชมความรุ่งโรจน์ของเมืองกวนหยุนแล้ว เขาจึงรู้สึกย่อท้อต่อการหลบหนีขึ้นมา หรือเอ่ยได้ว่าในใจลึก ๆ เขามิอยากหนีไปเลยด้วยซ้ำ…
เนื่องจากที่นี่ช่างรุ่งเรืองเสียจริง !
แม้แต่ฝูหล่างจีก็มิอาจเทียบเคียงได้ !
ขนาดพื้นที่โดยรวมของประเทศต้าเซี่ย ฝูหล่างจีก็มิอาจนำมาเทียบได้เช่นกัน
ประเทศใหญ่โตถึงเพียงนี้ เกรงว่าแม้ฝูหล่างจี อังกฤษและโปรตุเกสร่วมมือกันสร้างกองเรือขนาดใหญ่แล้วนำกองทัพจำนวนมากมาโจมตีก็มิอาจเอาชนะได้ !
ช่วงที่ผ่านมานี้เขาและเชลยคนอื่น ๆ ได้ศึกษาภาษาต้าเซี่ย ณ โรงเรียนประถมซีว่าง บัดนี้พวกเขาสามารถใช้ภาษาต้าเซี่ยในการสนทนาประโยคง่าย ๆ ได้แล้ว
เขารู้สึกว่าภาษาต้าเซี่ยช่างงดงามมากยิ่งนัก เพียงแต่เจ้าสิ่งที่เรียกว่าพู่กันช่างบังคับยากเสียจริง
“ฝ่าบาท…” ปิซาร์โรได้ศึกษาวิธีคารวะของต้าเซี่ยมาด้วยเช่นกัน เขาโค้งตัวลงเพื่อคำนับแล้วใช้ภาษาต้าเซี่ยที่มีสำเนียงแปร่ง ๆ ว่า “ข้าน้อยอยากเห็นอู่ต่อเรือของพวกท่าน”
ฟู่เสี่ยวกวนจ้องมองเขาตาเขม็ง “นี่เรียกว่าอู่ต่อเรือของพวกเรา ! ”
“อ้อ ! ใช่ ๆ ข้าน้อยอยากเห็นอู่ต่อเรือของพวกเรา”
ฟู่เสี่ยวกวนนิ่งเงียบไปชั่วครู่ “รอให้พวกเราเดินทางถึงเซี่ยเย๋แล้ว ข้าจะให้เจ้าเข้าร่วมการออกแบบโครงสร้างท่าเรือราชนาวีใหม่ด้วย”
“โอ้…พระเจ้า ! ยอดเยี่ยมยิ่ง ข้าน้อยมิได้รีบ แต่…แต่ก็อยากเห็นมันเร็ว ๆ ”
เจ้าจะรีบร้อนเนื่องด้วยเหตุอันใดกัน ? ฟู่เสี่ยวกวนแอบตำหนิอยู่ในใจและการที่เขาพาเจ้าหมอนี่เดินทางไปเซี่ยเย๋ด้วย เพราะมีวัตถุประสงค์แอบแฝงอยู่
เนื่องจากตนเองมิได้มีความรู้เรื่องของทหารเรือมากนัก ดังนั้นเมื่อคราที่ไป๋ยู่เหลียนเอ่ยว่าจะปรับปรุงการฝึกฝนของทหารเรือ เขาจึงได้แต่ยกมือขึ้นลูบจมูกเท่านั้น เพราะก่อนหน้านี้การฝึกฝนทหารบกให้ว่ายน้ำยังพอทำได้ ทว่าเรื่องของยุทธนาวี เขามิค่อยสันทัดสักเท่าใดนัก
ช่วงนี้ถ้าฟู่เสี่ยวกวนมีเวลาว่างก็มักจะนึกถึงเจ้าเครารุงรังผู้นี้และจะเดินทางไปสนทนาด้วยเสมอ ๆ เนื่องจากปิซาร์โรมีความรู้เรื่องการฝึกฝนกองทัพเรือเป็นอย่างดี ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกว่าพระเจ้าที่อีกฝ่ายมักเอ่ยออกมาได้ประทานผู้มีความสามารถผู้นี้มาให้ตนแล้วจริง ๆ
ผู้มีพรสวรรค์เยี่ยงนี้ ต้องใช้ให้เกิดประโยชน์ อีกทั้งยังเป็นชาวต่างชาติอีกด้วย
วันที่สอง เดือนแปด เรือรบทั้งห้าลำได้พาเรือบรรทุกสิ่งของอีกสิบลำแล่นออกจากท่าเรือโดยมุ่งหน้าไปทางแม่น้ำแยงซี
บัดนี้เฮ้อซานเตาที่ยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือชั้นสามรู้สึกตื่นเต้นมากยิ่งนัก ทั้งชีวิตนี้เขาเคยนั่งเพียงเรือลำเล็กที่ทะเลสาบในหลินจื๋อเท่านั้น ทว่าบัดนี้เขาได้ยืนอยู่บนเรือรบลำมหึมา
ความรู้สึกของเขามิต่างไปจากได้ขึ้นสวรรค์เลยสักนิด ความรู้สึกนี้ช่างดีมากยิ่งนักและเขาชื่นชอบมันอย่างแท้จริง
วันที่หก เดือนแปด กองเรือรบได้เดินทางออกจากปากแม่น้ำแยงซีเข้าสู่อาณาเขตของทะเล
เมื่อมองไปยังท้องทะเลอันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต เฮ้อซานเตาจึงตื่นเต้นมากยิ่งขึ้น เขายืนอยู่ด้านหน้าฟู่เสี่ยวกวนพลางชี้นิ้วไปเบื้องหน้าพร้อมกับตะโกนออกมาด้วยท่าทางกระตือรือร้นว่า “ทะเล…มันช่างกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ ! ”
“ข้าจะต้องสยบอีกฟากหนึ่งของท้องทะเลให้ได้…”
คลื่นยักษ์ถาโถมเข้ามา เรือลำใหญ่ไหวเอนไปตามคลื่น
อยู่ ๆ เฮ้อซานเตาก็รู้สึกเวียนศีรษะขึ้นมา เขาแทบจะทรุดลงกับพื้นเรือเลยทีเดียว
คลื่นลูกยักษ์พัดมาลูกแล้วลูกเล่า เฮ้อซานเตารีบเกาะราวแน่น รู้สึกว่าท้องไส้เริ่มปั่นป่วนขึ้นมา
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะออกมาเสียงดัง เฮ้อซานเตาจึงรีบวิ่งไปยังข้าง ๆ ดาดฟ้า แล้วก็อาเจียนออกมาอย่างหนัก
จากนั้นก็ตามมาด้วยคลื่นยักษ์อีกลูกหนึ่ง…เฮ้อซานเตากลิ้งไปบนดาดฟ้าของเรือ ไป๋ยู่เหลียนจึงรีบใช้วิชาตัวเบากระโดดไปคว้าเฮ้อซานเตาที่กลิ้งตกทะเลขึ้นมา
“อ๊าก…ให้ตายสิ ฝ่าบาท น้ำทะเลเค็มมากยิ่งนัก ! ”
เจ้าบ้านี่ !
“เจ้ายังเวียนศีรษะอยู่หรือไม่ ? ”
เฮ้อซานเตาชะงักงันไปครู่หนึ่ง อ่า… ? “มิรู้สึกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ไป๋ยู่เหลียนเบิกตากว้าง “จริงหรือ ? ”
เฮ้อซานเตาทุบกำปั้นลงบนหน้าอกพลางเอ่ยว่า “ท่านหัวหน้า ข้าจะโกหกท่านเนื่องด้วยเหตุอันใดกันเล่า ? เมื่อครู่ข้ารู้สึกอึดอัดมากยิ่งนัก ทว่าบัดนี้ข้ารู้สึกเหมือนชินกับมันแล้ว”
ไป๋ยู่เหลียนเบ้ปากพลางจ้องมองไปที่เฮ้อซานเตา เจ้าหมอนี่มีคุณสมบัติเหมาะสมสำหรับสู้รบอย่างเดียวจริง ๆ
เฮ้อซานเตามิได้มีอาการวิงเวียนศีรษะอีก บัดนี้มีเพียงปัญหาเดียวก็คือ…เขาว่ายน้ำมิเป็น !
กองเรือรบเดินหน้าไปอย่างช้า ๆ เนื่องจากเรือบรรทุกของทั้งสิบลำล้วนเป็นเรือสามเสากระโดง
จนกระทั่งวันที่สิบแปด เดือนแปด กองเรือก็ได้เดินทางมาถึงเซี่ยเย๋ จากนั้นก็เข้าจอดเทียบท่าบริเวณท่าเรือธรรมชาติซึ่งปิซาร์โรเอ่ยชื่นชมซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ยามพลบค่ำ
สุริยายังมิลาลับขอบนภา
ชนเผ่าพื้นเมืองในเซี่ยเย๋ก็ได้จุดกองไฟขึ้นมาหลายกอง ชนพื้นเมืองเหล่านี้สวมกระโปรงฟางข้าวพร้อมกับเต้นรำอยู่รอบกองไฟ !