ตอนที่ 987 ขอเงินจากบุตรชาย !
เป็นเวลา 2 ปีแล้วที่ได้ถือกำเนิดเซียงจูอวี๋ห้าวขึ้นมา
เผิงฟางชื่อหลางกรมเกษตรได้รับคำแนะนำจากฟู่เสี่ยวกวนที่ว่าควรนำหมูจากทางเหนือและทางใต้มาผสมพันธุ์กัน ดังนั้นจึงก่อกำเนิดเซียงจูเอ้อห้าวที่ตัวโตกว่าเซียงจูอวี๋ห้าวขึ้นมา
แน่นอนว่าต้องใช้อาหารสัตว์เพิ่มอีกจำนวนมาก ทว่ามันก็ยังมีเพียงพอ เนื่องจากมันเทศได้รับความนิยมและแพร่หลายในราชวงศ์อู๋ดั้งเดิมเนิ่นนานแล้ว
“ทูลฝ่าบาท นอกจากนี้เขายังเดินทางไปอีกหกมณฑล และได้นำลูกหมูท้องถิ่นกลับมาอีกหลายตัวเลยทีเดียว เขาเอ่ยว่าในปีหน้าจะได้เห็นผลลัพธ์ที่หลากหลายพ่ะย่ะค่ะ” เหว่ยชังทูลตอบ
“อืม…ท่านจงส่งเมล็ดพันธุ์ข้าวฟู่ลิ่วต้ายและพันธุ์มันเทศไปยังมณฑลที่เหลือด้วย การไถพรวนในฤดูใบไม้ผลิปีหน้าอาจจะใช้พื้นที่ประเทศต้าเซี่ยทั้งหมดปลูกฟู่ลิ่วต้ายและมันเทศ… หากมีเมล็ดพันธุ์มิเพียงพอก็ให้ทุกรัฐที่ยังมีพื้นที่เหลือในโม่โจวเต้าเป็นสถานที่เพาะพันธุ์ กรมโยธาธิการของท่านต้องรวบรวมสถิติในส่วนที่ยังขาดแคลนโดยด่วน เพื่อที่จะได้เตรียมการไถพรวนในฤดูใบไม้ผลิ”
“อ้อ ! ยังมีเมล็ดพันธุ์บางส่วนที่หลิวจิ่นได้นำกลับมาเมื่อปีที่แล้ว ในเวลานั้นข้ามอบหมายให้หวางเอ้อไปเพาะเมล็ดและได้มีการเก็บเกี่ยวที่ดีเลยทีเดียว ทว่ายังมิถึงเวลาที่จะส่งเสริมให้แพร่หลายออกไป เพราะสถานที่ปลูกยังมิค่อยเหมาะสมสักเท่าใดนัก เช่นนั้นจงไปปลูกในพื้นที่แปลงนาหลวงของโม่โจวก่อนเถิด…”
“เมื่อเมล็ดพันธุ์เหล่านี้มีจำนวนมากเพียงพอแล้วค่อยเผยแพร่ไปยังสถานที่อื่น ๆ เนื่องจากเมล็ดพันธุ์เหล่านี้สามารถปลูกลงในดินที่แห้งแล้งได้”
เมื่อเหว่ยชังได้ยินเช่นนี้ก็ตกตะลึงขึ้นมาทันใด เนื่องจากทุกเขตในประเทศต้าเซี่ยได้ผ่านพ้นวิกฤตขาดแคลนอาหารก็เพราะฝ่าบาททรงคิดค้นของวิเศษทั้งสองอย่างขึ้นมาซึ่งก็คือข้าวและมันเทศ ทว่าบัดนี้ฝ่าบาทตรัสว่ายังมีของวิเศษอยู่อีก…
“ฝ่าบาท…พวกมันคือสิ่งใดเยี่ยงนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”
“มันฝรั่งและข้าวโพด ผลผลิตของมันฝรั่งเทียบเท่ากับมันเทศและสามารถปลูกในดินแบบใดก็ได้ แต่ดินที่ใช้ปลูกข้าวโพดยังมีข้อจำกัดอยู่บางส่วน เอาเป็นว่าเมื่อถึงเวลานั้นท่านก็จะรู้เอง”
เหว่ยชังดีใจมากยิ่งนัก คาดว่าปีหน้าเขาคงต้องหาข้ออ้างไปดูที่โม่โจวสักหน่อยแล้ว
“สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับกรมโยธาธิการของท่านในขณะนี้คือการไถพรวนเพื่อเตรียมเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิ อีกเรื่องคือการสร้างท่าเรือราชนาวี ท่านจงเร่งมือสักหน่อยเถิด”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ! ”
เหว่ยชังเดินออกไปอย่างร่าเริง จากนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็ยกถ้วยชาขึ้นมาดื่ม เห็นหนานกงอี้หยู่และเมิ่งฉางผิงเดินเข้ามาด้านใน
“ทูลฝ่าบาท สถิติรายรับภาษีของกรมคลังในปีนี้ออกมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” สีหน้าของเมิ่งฉางผิงมิมีความสุขแม้แต่น้อย บนใบหน้าของเขาล้วนแสดงออกถึงความกลุ้มใจโดยมีสมุดบัญชีอยู่ในมือ
ฟู่เสี่ยวกวนเหลือบมองสีหน้าของเมิ่งฉางผิง ตื่นตกใจไปชั่วครู่ เพราะเขามิได้ใส่ใจเศรษฐกิจในปีนี้มากนัก หรือว่ามันจะแย่ลงกัน ?
“ทูลฝ่าบาท บัดนี้นโยบายรวมสกุลเงินของประเทศต้าเซี่ยทั้งสิบเจ็ดมณฑลรวมถึงเขตปกครองตนเองชื่อเล่อชวนได้สำเร็จลุล่วงโดยมากแล้วพ่ะย่ะค่ะ ทว่าที่หยวนตงเต้าล่าช้าเล็กน้อย ด้านอดีตแคว้นอี๋และราชวงศ์หยูนั้นเคยเป็นบ่อของความยากจนที่ลึกมากยิ่งนัก ! มีเพียงอดีตแคว้นฝานเท่านั้นที่ยังเหมือนเดิมอยู่บ้าง ดังนั้นจึงมีเพียงชื่อเล่อชวนและมณฑลทั้งสี่ของอดีตราชวงศ์อู๋เท่านั้นที่มีผลดำเนินงานในระบบเศรษฐกิจอย่างแข็งแกร่งพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนได้ยินดังนั้นก็พอคลายความกังวลลงได้บ้าง นี่เพิ่งยึดทั้งสามแคว้นมาได้ เดิมทีพวกเขาก็ยากจนข้นแค้นเป็นทุนเดิมอยู่แล้วมิใช่หรือ ?
จากการคาดการณ์ของฟู่เสี่ยวกวนคือต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3 ปี กว่ามณฑลอีก 13 แห่งจะเกิดการพัฒนาขึ้น !
โครงร่างแผนพัฒนาระยะห้าปีแรกยังเหลืออีก 2 ปี ในช่วงสองปีนี้จึงเป็นการดีที่ทั้งสิบสามมณฑลจะสามารถเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจที่ถูกต้อง จากนั้นต้องใช้แผนพัฒนาระยะห้าปีฉบับสองทำให้พัฒนาเพิ่มขึ้นไปอีก
เมิ่งฉางผิงจ้องมองท่าทีสงบของฟู่เสี่ยวกวน จากนั้นก็เอ่ยต่อว่า “ฝ่าบาท…ประเทศต้าเซี่ยมีรายได้ภาษีรวม 110 ล้านตำลึงในปีนี้ จำแนกเป็นเขตปกครองตนเองชื่อเล่อชวนมอบเงินให้ 40 ล้านตำลึง ด้านมณฑลกว่างหนานทั้งสองฟากฝั่ง โม่โจวเต้าและเป่ยเซียวเต้าได้มอบเงินให้ทั้งหมด 60 ล้านตำลึง ส่วนฝานเทียนหนิงมอบเงินให้เพียง 10 ล้านตำลึงเท่านั้น…”
“นี่คือเงินที่รับเข้ามา ทว่าเงินที่จ่ายออกไปเล่าพ่ะย่ะค่ะ ? รายจ่ายทั้งหมดของจ่งตูเยี่ยนในปีนี้มากถึง 130 ล้านตำลึง ซึ่ง 130 ล้านตำลึงนี้เป็นเงินอุดหนุนจากราชสำนักกลาง ส่วนรายจ่ายสะสมในปีนี้ของกองทัพเป็นจำนวนเงิน 100 ล้านตำลึง…และทั้งหมดก็เป็นเงินอุดหนุนจากราชสำนักกลาง อีกทั้งค่าใช้จ่ายด้านอื่นของประเทศต้าเซี่ยยังมีมากถึง 80 ล้านตำลึงพ่ะย่ะค่ะ”
“ค่าใช้จ่ายสะสมในปีนี้เป็นเงินจำนวน 310 ล้านตำลึง ทว่ามีรายได้เพียง 110 ล้านตำลึง รวมแล้วขาดทุนถึง 200 ล้านตำลึงพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ! ”
เงินจำนวน 300 ล้านที่จ่ายออกไปนั้นเป็นสมบัติที่ไป๋ยู่เหลียนไปปล้นมา ทว่าการคำนวณนี้ก็มิได้ผิดอันใด
หมายความว่าท้องพระคลังของประเทศต้าเซี่ยมีเงินฝากอยู่จำนวน 120 ล้านตำลึง แต่ขาดทุนในบัญชีมากถึง 200 ล้านตำลึง !
ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “การพิมพ์ธนบัตรออกจำหน่ายให้หยุดชั่วคราวก่อน ระบบเศรษฐกิจในตอนนี้ของประเทศต้าเซี่ยดำเนินมาถึงจุดนี้แล้วจริง ๆ ทว่าการขาดทุนจำนวน 200 ล้านตำลึงมิได้สำคัญอันใด เพราะมิว่าเยี่ยงไรเงินจำนวนนี้ก็ได้ใช้กับโครงการต่าง ๆ ในการดำรงชีวิตของราษฎร และมันจะค่อย ๆ เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจในอนาคตด้วยตัวของมันเอง”
“แจ้งแก่ฝานเทียนหนิง เยี่ยนซือเต้าและจัวอี้สิงว่า ในปีหน้าเรื่องขาดทุนนั้น จ่งตูทั้งสามจะต้องรับผิดชอบเองทั้งสิ้น ส่วนเงินที่ราชสำนักกลางจัดสรรในปีนี้ก็ถือเป็นรากฐานสำหรับพวกเขา เงินในส่วนต่อไปจะขึ้นอยู่กับความสามารถของพวกเขาในปีหน้า”
“เว้นแต่ว่าเป็นภัยธรรมชาติ ตรงส่วนนี้ทางราชสำนักกลางจะจ่ายเงินให้โดยเริ่มในปีหน้า ส่วนปกครองท้องถิ่นภายใต้เขตอำนาจของจ่งตูต้องจ่ายสองในสิบส่วนของรายได้ภาษีให้แก่ราชสำนักกลางทุกปี หลังจากสามปีพวกเขาต้องจ่ายห้าในสิบส่วนของรายได้ภาษีให้กับทางราชสำนักกลางและหลังจากนั้นก็จะคงอยู่ที่ห้าส่วน…”
ฟู่เสี่ยวกวนใช้เวลา 1 ชั่วยามในการอธิบายรายละเอียดให้เมิ่งฉางผิงและหนานกงอี้หยู่ทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างการเงินในท้องถิ่นและการเงินส่วนกลาง ตลอดจนภาระหน้าที่และความรับผิดชอบตามลำดับ
“เอกสารเหล่านี้จำต้องเขียนออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร…สิ้นปีนี้หากตีพิมพ์เสร็จแล้ว ก็นำไปแจกจ่ายให้พวกเขาเสีย”
รายละเอียดที่ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยมานั้น เมิ่งฉางผิงก็ได้ตระหนักว่า…การขาดทุนมิใช่สิ่งที่มิดีเสมอไป เพราะฝ่าบาททรงวางแผนพัฒนาระยะห้าปีฉบับที่สองเอาไว้แล้ว
ทั้งสองกำลังจะจากไป เห็นหลิวจิ่นวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน
“ทูลฝ่าบาท องค์ไทเฮาเสด็จพ่ะย่ะค่ะ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนผงะไปชั่วครู่ ช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้ นางดูมีความสุขกับการอยู่ในวังหลัง แล้วนางมาที่นี่ด้วยเหตุอันใดกัน ?
เมิ่งฉางผิงและหนานกงอี้หยู่มองหน้ากันชั่วครู่ จากนั้นจึงกลับไปนั่งที่เดิม… ไทเฮากลับมาได้สักพักหนึ่งแล้ว ทว่ามิเคยปรากฏตัวออกมาให้พวกเขาเห็นเลย
ในเมื่อนางมาแล้ว แน่นอนว่าจะต้องอยู่พบหน้าและน้อมถวายการทักทายสักเล็กน้อย
สวี่หยุนชิงสวมอาภรณ์ผ้าลินินธรรมดา จากนั้นก็เดินเข้ามาในห้องทรงพระอักษรอย่างมีความสุข โดยมิได้นั่งพระเกี้ยวของไทเฮามาแต่อย่างใด
อ่า…ห้องทำงานของบุตรชายมีผู้อื่นอยู่ด้วยเยี่ยงนั้นหรือ ?
หนานกงอี้หยู่และเมิ่งฉางผิงลุกขึ้นยืน ในใจพลางคิดไปว่าสตรีรูปงามผู้นี้คือองค์ไทเฮาสวี่หยุนชิงที่เคยตายมาแล้วสองคราใช่หรือไม่
ทั้งสองจึงเอ่ยทำความเคารพ “ถวายพระพรองค์ไทเฮาพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“ไอหยา ! มิต้องมากพิธีหรอก ข้าเพียงแค่มาดูบุตรชาย…พวกเจ้ามีเรื่องปรึกษาหารือกันเยี่ยงนั้นหรือ ? เช่นนั้นข้าค่อยมาใหม่วันหลัง”
ฟู่เสี่ยวกวนยกยิ้มขึ้นพลางเอ่ยว่า “ท่านแม่ พวกเราปรึกษากันเสร็จแล้ว เชิญท่านนั่งลงเถิด ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนเดินเข้าไปประคองสวี่หยุนชิงให้นั่งลง “มีเรื่องอันใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
คิ้วของสวี่หยุนชิงขมวดมุ่น จากนั้นก็ยื่นมือไปตบเบา ๆ ที่หลังมือของบุตรชายโดยมิสนใจหนานกงอี้หยู่กับเมิ่งฉางผิงเลยสักนิด “คืออย่างนี้…
เหล่าภรรยาของเจ้าอยู่ในวังหลังและว่างจนมิมีอันใดทำ แม่เลยคิดว่าเป็นเช่นนี้มิค่อยดีเท่าใดนัก ดังนั้นควรให้พวกนางทำสิ่งที่ชอบ จึงได้ปรึกษาหารือกันมาสักพักแล้วและได้ตัดสินใจว่าจะทำการค้าขายเล่น ๆ สักหน่อย”
ฟู่เสี่ยวกวนยกยิ้มออกมาทันใด “เป็นเรื่องดีเลยทีเดียว ข้าเคยบอกต่งชูหลานและคนอื่น ๆ ในเรื่องนี้แล้ว ตราบใดที่มิใช้นามของราชวงศ์ก็สามารถลงมือทำสิ่งที่ชอบได้เต็มที่”
“อืม ๆ ” สวี่หยุนชิงพยักหน้าแล้วเอ่ยต่อว่า “นี่ก็คือสิ่งที่แม่คิดเช่นกัน ทว่าการลงทุนจำเป็นต้องมีเงินทุน ลูกเอ๋ย…เจ้าช่วยให้เงินแม่ไปลงทุนเล่น ๆ สัก 100 ล้านตำลึงได้หรือไม่”
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนได้ยินดังนั้นก็ใจหล่นไปถึงตาตุ่มทันที ส่วนหนานกงอี้หยู่และเมิ่งฉางผิงก็เบิกตาโพลงด้วยความตื่นตระหนก…เงินจำนวน 100 ล้านตำลึงจะนำไปลงทุนเล่น ๆ ! หัวใจของไทเฮาพระองค์นี้ช่างกว้างใหญ่เสียจริง !
“ท่านแม่ เงินในบัญชีส่วนตัวของท่านก็มีอยู่มิใช่หรือ ? ”
“นั่นยังมิเพียงพอ แม่คิดว่าหากจะเล่นก็ต้องเล่นให้ใหญ่โตไปเลย ! ”