[นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ – ตอนที่ 10 เพื่อนกันตลอดกาล

“หรือก็คือสรุปจากที่แกพูดแล้ว แกไปทำลายประตูผนึกของประเทศอื่นแล้วก็ดื้อดึงทำสัญญาอย่างไม่เป็นธรรมเพื่อเอาสมบัติที่อยู่ข้างในนั้นมา ว่าแบบนี้ได้สินะ? ข้าก็เลี้ยงดูแกมาในฐานะองค์ชายหรอก แต่ไม่ได้สอนให้เป็นขโมยเลยนะ”

“โต้แย้งไม่ได้เลยครับ”

“ไม่ใช่ โต้แย้งไม่ได้เลยครับ สิ ไอ้เจ้าคนงี่เง่า”

 

ส่วนในสุดของพระราชวังเฮลิฟาลเต้ ในห้องที่ดูแข็งแกร่งและงดงามที่สุดในทวีปนี้ ราชาราชสีห์ชูวาน เฮลิฟาลเต้ได้ฟังรายงานของลูกชาย แล้วก็เอามือกุมหน้าผากอยู่บนบัลลังก์ 

 

อายุอานามก็อยู่ในวัยที่เรียกว่ากลางคนได้แล้ว แต่ร่างกายที่ใหญ่โตราวกับหินผานั้นไม่ได้จางหายไปเลย ในดวงตาที่ราวกับเหยี่ยวก็ยังคงเต็มไปด้วยความสง่างามในฐานะราชาอันดับหนึ่งของทวีปนี้

 

“เดิมทีทำไมถึงได้ไปพื้นที่ห่างไกลอย่างอาร์คุยล่าล่ะ ถึงจะบอกว่าออกไปเรียนรู้โลกกว้าง แต่ประเทศที่เจ้าเลือกก็มีแต่ประเทศเล็กๆห่างไกลจากเฮลิฟาลเต้ทั้งนั้นเลยไม่ใช่หรือไงกัน ประเทศข้างๆเขาถามมาแล้วนะว่า[องค์ชายยังไม่มาอีกเหรอ]น่ะ”、

“ผมก็แค่ไปประเทศต่างๆตามต้องการเป็นการส่วนตัวเองครับ ก็ไม่น่าจะต้องไปที่ไหนแน่ๆไม่ใช่หรือครับ”

“ทั้งๆที่ไปมาตั้งหลายประเทศไปแม้กระทั่งประเทศที่เล็กที่สุดแท้ๆ แต่กลับไม่ไปประเทศข้างๆที่ใหญ่เป็นอันดับสองของทวีปเนี่ยไม่คิดว่ามันเกินไปบ้างหรือ?”

“ยังไงเดี๋ยวจะไปทักทายครับ”

“เดี๋ยวงั้นเหรอ ก็เข้าใจเหตุผลที่เจ้าไปแต่ที่ไกลๆอยู่หรอก คิดจะถ่วงเวลาสินะ ก็ที่ประเทศข้างๆมี[ไอ้นั่น]อยู่นี่นา”

“…ตามที่พูดเลยครับ”

“โอ๊ะ นอกเรื่องแล้วสินะ กลับมาที่การกระทำอันโง่เขลาของเจ้าต่อองค์หญิงของอาร์คุยล่ากันต่อ ที่ข้าให้เจ้าออกเดินทางก็เพราะเจ้าเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว แต่ทั้งๆอย่างนั้น กลับทำเรื่องอะไรที่ไม่ยั้งคิด…”

“อาระ ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่นา โรแมนติกดีออก”

 

คนที่ขัดคำเทศนาของชูวานก็คือผู้หญิงผมลอนสีแพลทินัมบลอนด์ที่นั่งอยู่อีกบัลลังค์หนึ่ง ผิดกับชูวานที่กำลังทำสีหน้าบูดบึ้ง เธอประกบมืออย่างสนุกสนานแล้วทำสีหน้ายิ้มแย้ม 

 

“ไม่เป็นไรเนี่ยนะ…ไอบิส เธอตามใจมิราโนะเกินไปแล้ว ก็เลยทำตัวเหยาะแหยะแบบนี้ไง”

“อ๊าระ เมื่อก่อนคุณเองก็ฝืนทำอะไรหลายๆอย่างเพื่อฉันไม่ใช่เหรอคะ”

“อุ๊ก”

 

ชูวานที่โดนจี้ใจดำก็พูดอะไรไม่ออก ผู้หญิงที่มีบรรยากาศอ่อนนุ่มที่ถูกเรียกว่าไอบิสนั้นในตอนนี้เป็นราชินี แต่ว่าแต่เดิมเคยเป็นหนึ่งในข้ารับใช้ของเฮริฟาลเต้ 

 

เพราะว่าเป็นความรักที่ต่างฐานะกัน ชูวานในวัยหนุ่มจึงต้องก้าวผ่านความยากลำบากมามากมายถึงสามารถบรรลุเป้าหมายได้ เขาได้พัฒนาเฮริฟาลเต้ไปอีกระดับ แถมยังสร้างผลสำเร็จอย่างมิราโนะที่ถูกเรียกว่าองค์ชายศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้ ในตอนนี้จึงไม่มีใครสักคนที่กล้าท้าทายราชาและราชินี

 

“มิราโนะ”

“มีอะไรเหรอครับ ท่านแม่”

“แม่เองในวัยเด็กก็ผ่านเรื่องลำบากมามากมายค่ะ แต่ว่าสุดท้ายก็สามารถผ่านมันมาได้ องค์หญิงเซเลเน่คนนั้นดูเหมือนจะเป็นเด็กที่เจออะไรที่เลวร้ายกว่าแม่มาเยอะเลยสินะ ยังไงก็รับผิดชอบทำให้เธอมีความสุขด้วยล่ะ”

“รับทราบครับ”

 

พอไอบิสพูดแบบนั้นชูวานที่นั่งอยู่ข้างๆก็ทำได้แค่ยักไหล่ เป็นสัญญาณแห่งการยอมแพ้

 

“ถึงจะถูกเรียกว่าราชาราชสีห์แต่ก็ไม่เคยชนะภรรยาได้เลยนะ ทำสัญญาแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศอย่างเป็นทางการไปแล้วด้วยสิ จะมาขอคืนคำเอาตอนนี้ก็คงจะไม่ได้สินะ”

“จะยอมรับแล้วเหรอครับ?”

“ถึงจะเคยบอกไปแล้วก็เถอะ แต่ข้าจะถือว่าเจ้าเป็นลูกผู้ชายคนหนึ่ง ปัญหาใดที่เจ้าดื้อดึงจะแบกรับมันไว้แล้วเจ้าก็ต้องรับผิดชอบดูแลมันซะ ที่ข้าจะพูดก็มีเท่านี้ล่ะ”

“ขอบพระคุณมากครับ!”

 

พูดเช่นนั้นแล้วมิราโนะก็คุกเข่าลงตรงหน้าอค์ราชาและราชินีที่มีอำนาจสูงที่สุดในประเทศนี้ผู้เป็นบิดาและมารดา

 

“เอาล่ะ เรื่องจริงจังก็พอมันไว้ตรงนี้ก่อน แล้ว มิราโนะ องค์หญิงเซเลเน่รูปงามคนนั้นตอนนี้เป็นยังไงบ้างล่ะ?”

 

ท่าทีหนักอึ้งที่ผ่านมาหายไปในพริบตา ชูวานจ้องไปที่มิราโนะด้วยความสนใจ ดวงตานั้นเปล่งประกายราวกับสีหน้าของเด็กที่อยากจะเห็นลูกแมวน่ารักๆที่พึ่งมาที่บ้านเร็วๆ

 

“ท่านพ่อ ใจเย็นๆนะครับ เมื่อกี้ก็บอกว่าปัญหาของผมให้ผมเป็นคนจัดการเอง…”

“อย่าเอาเรื่องทางการกับส่วนตัวมาปนกันสิ เรื่องทางการน่ะจบไปตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว ต่อจากนี้เป็นความสนใจส่วนตัวล้วนๆ ข้าเองก็อยากจะไปดูเป็นการส่วนตัวน่ะ”

“นั่นสิ แม่เองก็อยากจะเห็นเซเลเน่จังบอกว่าน่ารักขนาดนั้นด้วยค่ะ นี่ ช่วยพาไปดูหน่อยจะได้ไหมคะ”

 

พอเห็นใบหน้าของทั้งสองคนมิราโนะก็ยิ้มออกมา ถึงจะมีตำแหน่งราชา ราชินีแล้วก็องค์ชาย แต่ก่อนหน้าตำแหน่งพวกนั้นพวกเขาก็เป็นครอบครัวกัน 

 

“น่าเสียดาย แต่ตอนนี้เซเลเน่พักอยู่น่ะครับ”

 

ตอนที่กำลังจะบอกว่จะเจอได้ต้องหลังจากพรุ่งนี้ อยู่ๆประตูด้านหลังก็ถูกเปิดออกมาอย่างแรง พวกมิราโนะทั้งสามคนพอหันไปมองทางนั้นก็เห็นแมรี่ยืนอยู่คนเดียว ไม่รู้ว่าวิ่งมาหรือเปล่า ถึงได้หายใจหอบหนัก

 

“แม่รี่? ทำไมถึงได้รีบขนาดนั้น”

“เซเลเน่…เซเลเน่เขา…!”

 

แม่รี่สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้วก็โผเข้ามากอดมิราโนะ

 

 

  ◆◇◆◇◆

 

 

มิราโนะอุ้มเซเลเน่ที่หลับอย่างหมดสติในท่าอุ้มเจ้าหญิง ที่ด้านหลังของมิราโนะที่กำลังเดินอย่างเงียบอยู่บนทางเดิน ก็มีแมรี่ที่กำลังคอตกเดินตามมา

 

“ทำไมถึงไม่เรียกพวกเมดที่อยู่ใกล้ๆล่ะ”

“…ก็รีบนี่นา”

 

แม่รี่ก้มหน้าลงแล้วพูดออกมาเบาๆ อยู่ๆเซเลเน่ก็ล้มลงไป สิ่งที่จะช่วยได้ที่นึกออกในหัวที่กำลังตกตะลึงไม่ใช่เมดหรือข้ารับใช้ที่อยู่ใกล้ๆ แต่เป็นพี่ชายที่แสนพึ่งพาได้ 

 

“ก็บอกไปแล้วไม่ใช่เหรอว่า เซเลเน่กำลังเหนื่อยให้พักก่อน น่ะ”

“ก็คิดการเล่นที่มันไม่น่าเหนื่อยแล้วนี่นา!”

 

ถ้าเล่นข้างนอกไม่ได้ก็น่าจะเล่นพวกฟังเพลงในห้องได้ แม่รี่คิดแบบนั้นแล้วก็พาเซเลเน่ไป แต่ว่าสำหรับเซเลเน่แล้วถือเป็นตัวเลือกที่แย่ 

 

ทำนองเพลงอันลึกซึ้งที่เล่นโดยนักดนตรีของราชสำนักเป็นความบันเทิงชั้นสูงที่ถ้าเป็นชาวเมืองต่อให้จ่ายหนักแค่ไหนก็หาฟังไม่ได้ แต่ว่าสำหรับเซเลเน่ที่นอกจากเพลงอนิเมแล้วก็ไม่ได้ฟังดนตรีอะไรก็เป็นได้แค่เสียงกล่อมนอน ถึงจะนั่งอยู่บนเก้าอี้กันสองคนอยู่ในห้องของแมรี่ แต่เซเลเน่ที่ทนง่วงไม่ไหวแล้วก็เลยทรุดตกจากเก้าอี้ 

 

ถึงจะเป็นเซเลเน่เองก็เถอะแต่ถ้าเป็นพื้นแข็งๆก็คงจะตื่นมาแล้ว แต่ด้วยพรมชั้นดีที่สัมผัสนุ่มนิ่มยิ่งกว่าเตียงครึ่งๆกลางๆที่รองรับร่างกายของเซเลเน่อย่างอ่อนโยน และด้วยความที่ไม่ได้นอนจากการเดินทาง10ชั่วโมงด้วยแล้ว เซเลเน่ที่กำลังง่วงก็เลยหลับลึกไม่ได้ตื่นทั้งอย่างนั้น 

 

แมรี่ที่อยู่ข้างๆก็ตกใจ สาวน้อยที่นั่งอยู่เงียบๆอยู่ๆก็ล้มลงไปบนพื้นโดยไม่มีสัญญาณอะไรเตือน แต่ว่าไม่ว่าจะส่งเสียงหรือเขย่าขนาดไหนก็ไม่ตื่นขึ้นมาเลย ก็เลยคิดว่าเป็นเรื่องใหญ่ แล้วแมรี่ก็น้ำตาคลอวิ่งไปที่ห้องโถงราชาที่พี่ชายอยู่

 

“ผลลัพธ์ก็คือเพราะทำตามความเอาแต่ใจของเธอเด็กคนนี้ถึงได้เป็นลมล้มลงไป ทำไมถึงได้ทำเรื่องแบบนี้กันล่ะ”

“ก็ทุกคนไม่มีใครสนใจหนูเลยนี่นา ทั้งท่านพ่อท่านแม่ก็เอาแต่ยุ่ง ท่านพี่ก็ออกเดินทาง แถมยังพาเด็กน่ารักแบบนี้มาด้วย คงจะคิดว่าฉันไม่จำเป็นแล้วสินะคะ…”

 

แมรี่พูดพึมพำแบบนั้นอยู่ด้านหลังของมิราโนะ ที่พาเซเลเน่ไปนั้นก็เป็นเพราะว่าอยากจะเล่นกับเด็กน่ารักอายุใกล้เคียงกันอยู่หรอก แต่นอกจากนั้นหลักๆเลยก็คือต่อต้านพี่ชายกับครอบครัว

 

“จำเรื่องของมีอาได้ไหม?”

“เอ๊ะ?”

 

คำพูดของมิราโนะที่อยู่ๆก็พูดออกมาทำให้แมรี่พูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ

มันคือชื่อที่ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีทางลืมแม้แต่ในช่วงชีวิตสั้นๆของแมรี่

 

“จำได้สิ ลูกแมวสีขาว น่ารักมาก ที่มีสีเหมือนกับเซเลเน่”

“ลูกแมวพึ่งเกิดที่เธอเห็นแล้วบอกว่า[มันน่ารัก]ก็เลยเล่นกับมันไม่หยุด แล้วจำได้ไหมว่าผลลัพธ์มันเป็นยังไง”

“…อืม”

 

แมรี่ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ราวกับจะหายไป ถึงจะเป็นเรื่องที่ผ่านมาหลายปีแล้ว แต่แมรี่ก็เลยไปเจอแมวที่ถูกทิ้งอยู่มุมปราสาทแล้วเก็บกลับมา แต่ถึงแม้จะเก็บมาแต่แมรี่ก็ไม่สามารถดูแลได้จึงได้ฝากลูกแมวตัวนั้นไว้กับมิราโนะ

 

เทียบกับตอนที่ลูกแมวถูกทิ้งก็แข็งแรงดี แต่วันหนึ่งตอนที่มิราโนะไปดูก็จบว่ากำลังเหนื่อยจนสภาพดูไม่ได้ เป็นเพราะตอนที่พี่ชายไม่อยู่แมรี่ก็เข้ามาเล่นตลอดก็เลยหมดแรง โชคดีที่สามารถรักษาได้ทันทีด้วยการพยาบาลของมิราโนะ แต่มิราโนะก็ต้องเอาลูกแมวมาจากแมรี่ที่ร้องไห้งอแงแล้วมอบให้ข้ารับใช้ที่ชอบแมวคนหนึ่งไป แต่ว่าทำไมถึงได้หยิบเรื่องนั้นมานั้นแมรี่ไม่สามารถเข้าใจได้ 

 

“เด็กคนนี้ ถูกแม่ทิ้งน่ะ”

“เอ๊ะ!?”

 

มิราโนะบอกแมรี่เกี่ยวกับความลับเพียงส่วนหนึ่งของเซเลเน่อย่างตรงไปตรงมา พอได้ยินแบบนั้นแมรี่ก็ตกใจ แม่ที่ทิ้งลูกตัวเอง เรื่องแบบนั้นไม่เคยอยู่ในความคิดของเธอที่โตมาในครอบครัวที่อบอุ่นสักนิด 

 

“เอ๊ะ เอ๋? แบบนั้นมันแปลกนะคะ ก็คุณแม่เนี่ย คือท่านแม่สินะคะ? ท่านแม่จะทิ้งฉันเหรอคะ? ไม่มีทางหรอกค่ะ ถ้าทำเรื่องแบบนั้นได้ก็เพี้ยนเต็มที่แล้วค่ะ”

 

ดูเหมือนแมรี่จะยังไม่เข้าใจ ก็เลยพูดออกมาโดยไม่ได้เรียบเรียงความคิดอะไร ถึงจริงๆเซเลเน่จะสมองเพี้ยนมาตั้งแต่ก่อนจะถูกทิ้งแล้วแต่เรื่องนั้นก็ไม่มีใครที่รู้

 

“เด็กคนนี้ก็เหมือนกับมีอา เหมือนกับที่เธอไม่สามารถมองข้ามลูกแมวที่ถูกทิ้งไปได้ ผมเองก็มองข้ามเด็กคนนี้ไม่ได้เช่นกัน ก็ไม่ได้จะให้เธอไม่มายุ่งอะไรเลยหรอกนะ จะพูดเอาแต่ใจกับผมก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ช่วยอ่อนโยนกับเซเลเน่หน่อยเถอะ”

 

พอพาเซเลเน่มาถึงห้องและวางลงบนเตียง มิราโนะก็ลูบหัวแมรี่เบาๆแล้วออกไปโดยไม่พูดอะไร เหลือเพียงสาวน้อยสองคนในห้องกว้างๆ แต่แมรี่ก็ไม่ได้ออกไปไหน หยิบเก้าอี้ใกล้ตัวไปวางใกล้ๆเตียงแล้วก็จ้องใบหน้าของเซเลน่าที่กำลังหลับอยู่โดยไม่พูดอะไร 

 

ตอนที่ท้องฟ้าเริ่มกลายเป็นสีส้ม เซเลเน่ก็ลืมตาตื่นขึ้น หลังจากนี้คือเวลาที่เซเลเน่มีชีวิตชีวาที่สุด แล้วด้วยการนอนกลางวันอย่างเต็มอิ่มทำให้ความง่วงหายไปเป็นปลิดทิ้ง

 

“เซเลเน่! ตื่นแล้วสินะ!”

“หวา!?”

 

ตอนที่เซเลเน่ลืมตาตื่นขึ้นมา แมรี่ก็เข้าสวมกอดเข้าที่คอของเซเลเน่ ตามปกติคงจะเป็นสถานการณ์ที่น่าดีใจแต่เซเลเน่ยังคงงงอยู่ เนื่องจากไม่เคยโดยโลลิผมทองเข้ามากอดทันทีที่ตื่นถึงจะเป็นเซเลเน่เองก็ยังสับสนมากกว่าที่จะดีใจ

 

“อยู่ๆก็ล้มลงไปเลยเป็นอะไรหรือเปล่า!? เจ็บไหม!?”

“สบายดี”

 

พอถูกพูดแบบนั้นเซเลเน่ถึงได้เข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้ ก็จำได้จนถึงตอนถูกเชิญไปฟังดนตรีอยู่หรอกแต่ความทรงจำหลังจากนั้นไม่มีเลย บางที คงจะหลับไปไม่ผิดแน่ ถึงจะง่วงขนาดไหนก็เถอะแต่ก็รู้สึกผิดมาก เนื่องจากไม่รู้จะแก้ตัวยังไงดีก็เลยเงียบ ดูเหมือนความเงียบนั่นทำให้แมรี่คิดว่าเซเลเน่กำลังโกรธ

 

“โกรธ สินะ…คือว่า ขอโทษ”

 

ท่าทีขึงขังของแมรี่เวลาปกติราวกับกลายเป็นเรื่องโกหก เธอก้มหัวลงอย่างห่อเหี่ยว แล้วก็กำมือเล็กๆบนตักแน่น

 

“คือ คือว่า ฉัน…ไม่เคยมีเพื่อนเลย ก็เลยไม่รู้ว่าจะเข้าหายังไงดีค่ะ”

“ท่านแมรี่เบล ไม่มี เพื่อนเหรอ?”

“อืม”

“ทั้งๆที่เป็น เจ้าหญ้งในหมู่เจ้าหญิง?”

“…”

 

พอเซเลเน่เอียงคออย่างแปลกใจ แมรี่มองไปที่พื้นด้วยความรู้สึกพูดไม่ออก แต่สักพักก็ทำใจแล้วพูดออกมา 

 

“ก็จริงที่ฉันยิ่งใหญ่เป็นอันดับหนึ่งในบรรดาเจ้าหญิงทั้งหมดค่ะ แต่ว่า มันก็แค่นั้น คนที่สุดยอดจริงๆก็คือท่านพ่อกับท่านแม่ คนที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือท่านพี่ ส่วนฉันก็ทำอะไรไม่ได้เลยค่ะ”

“ท่านแม่รี่เบล ไม่สุดยอดเหรอ?”

“ท่านพี่น่ะสุดยอดค่ะ งานใช้แรงก็ได้ หัวก็ดี พลังเวทก็มีมากมายมหาศาล คนที่เกิดก่อนจะได้รับพลังเวทไปมากที่สุดค่ะ ดังนั้น ถึงจะเล่นกับเด็กคนอื่นไป ลับหลังก็เอาฉันไปพูดว่าเป็นเด็กที่ทำอะไรไม่ได้ ฉันรู้ดีอยู่แล้วค่ะ”

 

ถึงตอนนั้นเซเลเน่ก็นึกถึงประตูปิดผนึกที่ขังตัวเองเอาไว้ ถ้าเป็นอัลเลผู้เป็นผู้สาวจับประตูก็สามารถเปิดได้ แต่พอตัวเองไม่ว่าจะจับยังไงก็ไม่ตอบสนอสักนิด ถ้าเชื่อที่แมรี่พูดบางทีตัวเองอาจจะไม่ได้มีของที่เรียกว่าพลังเวทมากมายนักก็ได้ 

 

“ดังนั้นถ้าฉันไม่ใช่เจ้าหญิงล่ะก็ คงจะไม่มีใครเข้าหาหรอก…”

 

ไม่รู้ว่าเพราะเซเลเน่ไม่พูดอะไรออกมาเลยหรือเปล่า แมรี่ก็เลยระบายความในใจของตัวเองออกมาแล้วเสียก็ค่อยๆสะอื้นขึ้นเรื่อยๆ พอเห็นแมรี่เป็นแบบนั้นเซเลเน่ก็พูดออกมาอย่างแผ่วเบา

 

“ฉันเอง ก็ไม่เคยมี เพื่อน”

“เอ๊ะ…?”

 

เมื่อกี้เด็กผู้หญิงสีขาวตรงหน้าพูดออกมาแบบนี้ “ไม่เคยมีเพื่อน” 

ไม่ใช่”ไม่มี”แต่เป็น”ไม่เคยมี”

แม่รี่ที่รู้สึกตัวเรื่องนั้น ก็เปิดปากพูดออกมาอย่างหวั่นไหว

 

“เซเลเน่ ไม่โกรธเหรอ? หรือว่าจะคิดว่าฉันเป็นเพื่อนเหรอ…?”

“ถ้าท่านแม่รี่เบล ยอม”

 

ขณะที่แม่รี่กำลังจะร้องไห้ เซเลเน่ก็ยิ้มออกมา การยิ้มอันงดงามนั้นไม่ใช่การแสดงเหมือนกับองค์หญิงหรือลูกสาวขุนนางคนอื่นๆ แต่เป็นรอยยิ้มที่ยินดีโดยไม่ปิดบังอะไร แม้แต่แมรี่ที่ยังเด็กอยู่ก็สามารถดูออก 

 

ที่เซเลเน่บอกว่า”ไม่มีเพื่อน”นั้นเป็นรูปอดีตก็จริง แต่นั่นก็เป็นเรื่องสมัยเป็นตาลุง ก่อนหน้าจะเป็นเซเลเน่นั้นไม่มีใครเป็นเพื่อนสักคน แต่ตอนเป็นเซเลเน่เองก็มีแค่หนูเป็นเพื่อน ทั้งๆแบบนั้นตอนนี้กลับมีสาวงามโลลิผมทองบอกว่าเป็นเพื่อนกันเถอะ ใครล่ะจะไม่ดีใจ

 

“จะดีเหรอ เป็นฉันจะดีจริงๆเหรอคะ? ฉัน ไม่มีอะไรดีเลยนะคะ?”

“มี”

“ไม่มีหรอก! หัวก็ไม่ดี แข็งแรงก็ไม่ พลังเวทก็ไม่ค่อยมีด้วยค่ะ!”

“มี เพราะท่านแม่รี่เบล เป็นท่านแมรี่เบล”

 

ด้วยคำพูดที่เซเรเน่พูดออกมาราวกับไม่มีอะไร ทำให้ส่วนลึกในหัวใจของแมรี่เกิดความรู้สึกสั่นไหวอย่างแรง

 

“(เด็กคนนี้ พูดแบบเดียวกับท่านพ่อเลย!)”

 

ก่อนหน้านี้แม่รี่เคยโกรธใส่พ่อกับแม่ว่า”ทำไมตัวเองถึงได้มีพลังเวทน้อย ทำไมถึงไม่ได้เกิดมายอดเยี่ยมแบบพี่ชาย” แล้วพ่อกับแม่ก็ตอบแมรี่ที่กำลังร้องไห้งอแงว่าแบบนี้

 

“เจ้าคิดสินะว่าตัวเองไม่มีความสามารถอะไรเลยไม่มีความหมายที่จะเกิดมาน่ะ? ไม่ใช่แล้วล่ะ แมรี่ แค่มีเจ้าอยู่ข้างๆในฐานะแมรี่ก็เป็นพลังให้พวกเราได้แล้ว เมื่อคนเรามีเรื่องสำคัญต้องแบกรับถ้ามีคนมามอบความสุขให้ก็จะเกิดการขัดเกลาตัวเองขึ้น แค่นั้นก็มีค่ามหาศาลแล้วล่ะ นอกจากพวกเราแล้ว จะต้องมีคนที่จำเป็นต้องมีเจ้าโผล่ออกมาแน่ๆ”

 

เรื่องแบบนั้นมันก็ต้องเป็นเรื่องโกหกอยู่แล้ว จนถึงตอนนี้นอกจากครอบครัวที่พูดแบบนั้นทุกคนก็มองมาที่แมรี่ด้วยสายตาเย็นชาจากที่ไหนสักแห่งเสมอทำให้เด็กสาวตัวน้อยรู้สึกกังวลมาตลอด เรื่องที่มีคนบอกว่าตัวเองเมื่อเทียบกับพี่ชายที่เยี่ยมยอดเกินไปแล้วก็เหมือนกับ”กากเกินขององค์ชายศักดิ์สิทธิ์มิราโนะ”แล้วเรียกแบบนั้นจากลับหลังแมรี่เองก็รู้ตัวดีอยู่แล้ว

 

ดังนั้นแมรี่จึงได้บอกว่าตัวเป็น”เจ้าหญิงในหมู่เจ้าหญิง”แล้วทำตัวให้ดูยิ่งใหญ่ ถ้าเกิดไม่ทำแบบนั้นก็จะถูกตีตราในฐานะคนไร้ความสามารถ แต่ว่าสาวน้อยสีขาวเปราะบางที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ ถึงแม้จะอ่อนแอยิ่งกว่าตัวเองอีก แต่ทั้งๆอย่างนั้นกลับบอกว่ายอมรับตัวเองเป็นเพื่อน

 

ถึงความจริงเซเลเน่จะคิดว่า”แค่เป็นสาวน้อยโลลิผมทองก็มีค่าแล้วล่ะ”ก็เถอะ ในกรณีที่ต้องเลือกช่วยสาวงามโลลิที่เป็นอาชญากรรมาสุดร้ายแรงกับตาลุงนักบุญแล้ว เซเลเน่เป็นมนุษย์ประเภทที่เลือกอย่างแรกโดยไม่ลังเลเลยล่ะ

 

“ขอบคุณนะ เซเลเน่”

“ไม่หรอก ท่านแมรี่เบล น่ารัก”

“แมรี่”

“เอ๊ะ?”

“แม่รี่ก็ได้ค่ะ ก็เป็นเพื่อนกันแล้วมาเรียกว่าท่านมันก็แปลกๆนี่คะ?”

 

แมรี่หัวเราะออกมา บรรยากาศมืดครึ้มถึงเมื่อครู่หายไป ดวงตากลับมามีประกาย

 

“เซเลเน่ ทำเครื่องรางกับเถอะค่ะ?”

“เครื่องราง?”

“อ๊ะ จริงสิ เซเลเน่ไม่รู้สินะคะ นี่ ขอยืมเส้นผมสักนิดได้ไหมคะ?”

“ก็ได้หรอก”

 

พอพูดแบบนั้น แมรี่ก็คุ้ยชั้นวางของในห้องของเซเลเน่แล้วหยิบของที่เหมือนกับกรรไกรตัดด้ายขนาดเล็กออกมา จากนั้นก็มาที่ด้านหลังของเซเลเน่ที่นั่งอยู่บนเตียงแล้วแมรี่ใช้มือหวีผมของเซเลเน่

 

“เป็นผมที่สวยจังเลยนะ…ทั้งนุ่มลื่น ทั้งขาวบริสุทธิ์ ราวกับเส้นไหมเลย ทั้งๆถ้าไว้ยาวกว่านี้จะดีกว่าแท้ๆ”

“น่ารำคาญ”

 

ด้วยคำตอบที่ไม่ได้ปรุงแต่งอะไร ทำให้แมรี่หัวเราะฟุฟุออกมา 

 

ในวันที่ร้อนและชื้นในฤดูร้อน ด้วยที่สมัยที่ยังเป็นตาลุงเซเลเน่เคยไว้หัวล้านมาก่อน ทำให้อัลเลที่มาเยี่ยมนั้นพอได้เห็นน้องสาวที่อยู่ๆก็หัวล้านเป็นลมล้มลงไป หลังจากนั้นเซเลเน่ก็เลยถูกพาไปหาหมอที่อยู่ในปราสาทแล้วถูกวินิจฉัยว่าเป็นพฤติกรรมที่เกิดจากความเครียดที่มีมากทำให้ถูกจับตามองไปพักหนึ่ง ทำให้หลังจากนั้นก็เลยยอมไว้ผมสั้นถึงบ่า

 

“ถ้าอย่างนั้นขอยืมสักนิดหน่อยนะคะ”

 

แม่รี่ใช้กรรไกรตัดผมของเซเลเน่ออกมาเล็กน้อย แล้วก็ใช้ผมนั้นมัดกลมเป็นรูปแหวนอย่างกระฉับกระเฉง

 

“เสร็จแล้ว! เป็นไง สุดยอดไหม?”

“สุดยอด!”

 

เซเลเน่ตบมือให้โดยไม่คิดอะไร แมรี่ใช้ผมสีขาวเข้มสร้างขึ้นเป็นแหวนสีขาววงเล็กๆขึ้นมา เพราะว่าดูชำนาญมากเซเลเน่ก็เลยเบิกตากว้าง จากนั้นแมรี่ก็สวมแหวนนั่นไว้ที่นิ้วก้อยมือขวาของตัว แล้วคราวนี้แมรี่ก็ตัดผมสีทองเป็นประกายของตัวเองแล้วก็ทำเป็นแหวนแบบเดียวกัน  

 

“เซเลเน่ ยื่นมือขวามาหน่อยได้ไหมคะ?”

“แบบนี้?”

 

พอเซเลเน่ยื่นมือขวาออกไป แมรี่ก็เอาแหวนด้ายสีทองสวมไปที่นิ้วก้อยขวาของเซเลเน่

 

“นี่คือ อะไร?”

“ในกลุ่มเด็กผู้หญิจะใช้เส้นผมของพวกตัวเองทำเป็นเครื่องประดับค่ะ แล้วถ้าเอามาแลกเปลี่ยนกันจะแสดงว่าทั้งสองจะเป็นเพื่อนกันไปตลอดกาล เป็นเครื่องราวที่สืบต่อกันมาในเฮริฟาลเต้น่ะค่ะ”

“เด็กผู้หญิง เพื่อน ตลอดกาล”

 

ถึงเซเลเน่จะจินตนาการอะไรที่ไม่ควรจากคำพูดนั้นก็เถอะ แต่แน่นอนว่าก็หมายถึงเป็นเพื่อนกันแบบตรงๆนั่นล่ะ

 

“ถึงดูเหมือนคนที่ทำจริงๆจะไม่ค่อยมีก็เถอะ ฉันเองก็พึ่งจะได้ทำกับเซเลเน่คนแรกนี่ล่ะ ถ้าอย่างนั้นไว้เจอกันนะ คราวหน้าตอนที่แข็งแรงแล้วก็มาเล่นด้วยกันนะ!”

 

พูดแบบนั้นแมรี่ก็กระพริบตาแล้วออกไปจากห้อง บรรยากาศมืดหม่นก่อนหน้านี้หายไปอย่างรวดเร็ว เซเลเน่ก็มองส่งเด็กผู้หญิงที่กลับมาสดใสร่าเริงออกไป

 

[เท่าที่ผมเห็น ก็ไม่คิดว่าเธอไม่มีความสามารถอะไรนะขอรับ]

“บัตเลอร์ กลับมาแล้วเหรอ?”

[ดูเหมือนจะกำลังยุ่งก็เลยอยู่เงียบๆน่ะขอรับ สำหรับองค์ชายมิราโนะนั้นแม้จะสุดยอดมากก็จริงแต่ในเรื่องที่ละเอียดอ่อนที่ผู้ชายไม่รู้นั้นผู้หญิงสามารถรับรู้ได้ดีกว่าขอรับ แค่ความยอดเยี่ยมของพลังเพียวๆไม่สามารถใช้วัดอะไรได้ขอรับ]

“ไม่ใช่แค่ พลัง”

 

คำพูดของบัตเลอร์กินเข้าไปในใจของเซเลเน่ ตามนัน้ล่ะ ถึงการปะทะพลังเพียวจะไม่สามารถต่อกรได้ แต่ถ้าใช้ลูกเล่นต่างๆล่ะก็อาจจะชนะองค์ชายได้ก็ได้ การต่อสู้นั้นไม่ได้มีแค่พลัง แล้วเซเลเน่ก็หัวเราะออกมา 

 

แต่การที่วันนี้ได้เป็นเพื่อนกับแมรี่ก็ถือว่าเป็นกำไรยิ่งกว่าเรื่องนั้นแล้วล่ะ เรื่องแผนการณ์อะไรไว้เอาไว้คิดพรุ่งนี้ แล้วเซเลเน่ก็มองไปที่แหวนเล็กที่มือขวาแล้วหัวเราะเอเฮะเอเฮะออกมา

[นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์

[นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์

Comment

Options

not work with dark mode
Reset