บทที่ 132 นกพิราบ 2
อเลนที่เป็นสัตว์อัญเชิญนก F กลับไปเมืองแกรนเวล
บินลงตรงคฤหาน์ที่เคยอาศัยอยู่เมื่อ 5 เดือนก่อน
ก๊อกก๊อก
ใช้จะงอยปากเคาะหน้าต่าง
ไวเคานต์แกรนเวลที่อยู่ในห้องรู้สึกถึงนกพิราบที่เคาะอยู่นอกหน้าต่าง เขาคิดอะไรบางอย่างก่อนจะเปิดหน้าต่าง แล้วนกพิราบที่หนีบตะกร้าเข้าไปในห้อง ก่อนจะวางลงบนโต๊ะ
‘อเลนเองครับ ไม่ได้พบกันนานเลยนะครับ’
“หา! อเลนเหรอ?”
เพราะนกพิราบพูดออกมาทำให้เขาผงะไปนิดหน่อย อเลนรอให้ไวเคานต์แกรนเวลหายประหลาดใจก่อน
หลังจากนั้นสักพัก พอไวเคานต์แกรนเวลสงบจิตใจ ก็นึกถึงเรื่องที่หัวหน้ากลุ่มอัศวินเคยบอกเกี่ยวกับนกแก้วมาแจ้งข่าวด้วยเสียงของอเลน
อเลนบอกว่า ภายในตะกร้ามีจดหมายของเซซิล และเธอจะไม่กลับมาช่วงวันหยุดฤดูร้อนเพราะจะลุยดันเจี้ยน
ไวเคานต์แกรนเวล ขมวดคิ้วครู่หนึ่งตอนที่บอกว่าลุยดันเจี้ยนแต่ก็ไม่ได้กล่าวโทษอะไร เป็นเรื่องเล่าที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงที่โรงเรียนให้ลุยดันเจี้ยนเพื่อให้นักเรียนก้าวข้ามการทดสอบของพระเจ้า
“ขอบใจนะที่อุตส่าห์มาแจ้งให้ทราบ”
ต่อให้อเลนอยู่ในสภาพของนกพิราบก็ยังขอบคุณอย่างจริงใจ
‘ครับ ที่จริงท่านเซซิลได้เขียนจดหมายมาแล้ว แต่มีเรื่องเกี่ยวกับตระกูลคาร์เนลครับ’
“ว่าไงนะ ตระกูลคาร์เนลเหรอ?”
ไวเคานต์แกรนเวลมีสีหน้าที่เคร่งเครียด เลยพูดตั้งแต่ตอนที่ได้พบกับคีลเป็นพวกและความวุ่นวายของตระกูลคาร์เนลให้เขาฟัง
‘เรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับ ตอนนี้อาศัยอยู่ที่ฐานด้วยกันครับ’
“เรื่องเป็นอย่างนี้……ละ แล้วที่บอกว่าอยู่ด้วยกันนี่รวมถึงเซซิลด้วยหรือ?”
‘ครับ’
“หา……”
ไวเคานต์ละสายตาจากนกพิราบมองไปทางหน้าต่าง ก่อนจะเอานิ้วกดหัวตา ไวเคานต์คงคิดว่าเพราะแสงของฤดูร้อนทำให้สมองเพี้ยนไปก็ได้
‘แล้วราชฑูตยังบอกว่าถ้าทำหน้าที่ครบ 5 ปี จะให้ฟื้นฟูตระกูลด้วย เลยมาเพื่อยืนยันครับ’
พูดเรื่องที่เกิดขึ้นกับคีล อเลนกลับมาเมืองแกรนเวลที่ห่างไกลอย่างนี้เพื่อตรวจสอบเรื่องนี้ด้วย ถ้าเป็นเรื่องการฟื้นฟูแคว้นข้างเคียงน่าจะมีมาบอกกับไวเคานต์แกรนเวลอยู่ก็ได้
(ทำไมปฏิกิริยาของไวเคานต์เหมือนเพิ่งเคยได้ยินเลย กะแล้วเชียวว่าโกหกสินะ)
แน่นอนว่า ได้บอกเรื่องที่คีลเป็นพวกพ้องกับไวเคานต์แกรนเวลไปแล้ว เซซิลเองเขียนยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงไว้ในจดหมายแล้วด้วย
“……เรื่องนั้นจะจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้เหมือนกัน”
(กะแล้วเชียวว่าไวเคานต์แกรนเวลไม่รู้เรื่อง บางทีอาจจะเป็นเรื่องที่บอกกับคีลคนเดียวก็ได้)
ในระหว่างที่อเลนคิดอยู่ ไวเคานต์พูดออกมาต่อ
“ถึงจะไม่รู้เกี่ยวกับสัญญา แต่ถ้าคีลมีพรสวรรค์บาทหลวงแล้วละก็ มันก็มีเรื่องที่พูดกันอยู่บ่อยๆเหมือนกัน”
‘เรื่องที่พูดกันอยู่บ่อยๆหรือครับ?’
ไวเคานต์เกริ่นว่าพูดถึงสิ่งที่เกิดทั่วไปไม่ใช่เฉพาะแค่คีล
เขาบอกไว้ว่าพวกราชวงศ์และขุนนาง ใช้ขุนนางที่มีพรรสวรรค์บาทหลวงอย่างหนักหน่วง
ทั้งราชวงศ์และขุนนางต่างก็รักลูกของตัวเอง ต่อให้มีพ่อแม่ที่เต็มใจส่งลูกไปยังสนามรบ แต่ก็ไม่มีหลักประกันว่าจะรอดกลับมา
อย่างไรก็ตาม เด็กที่มีพรสวรรค์สายฟื้นฟูอย่างบาทหลวงจะโดนทางศาสนจักรดึงตัวไป ซึ่งแต่เดิมมีจำนวนน้อยอยู่แล้ว คงคิดว่าถ้าเป็นไปได้อยากให้ผู้ที่ทำหน้าที่รักษาคอยอยู่ข้างๆลูกของตัวเอง
‘มันน้อยขนาดนั้นเลยเหรอครับ?’
ฉันคิดว่าเหตุผลที่ 50% เสียชีวิตใน 3 ปีเป็นเพราะไม่มีบทบาทการกู้คืน
ทำให้คิดว่าใน 3 ปีมีผู้เสียชีวิต 50% เพราะไม่มีคนที่ทำหน้าที่รักษาก็ได้
“มันก็ใช่อยู่หรอก เดิมทีไม่มีจัดเตรียมผู้ทำหน้าที่รักษาให้กับขุนนางอยู่แล้ว เพราะว่ามีผู้ที่ทำหน้าที่รักษาได้อยู่น้อย เลยให้เอลฟ์จากโรเซนเฮมที่เดินทางไปด้วยรับหน้าที่รักษา”
(จักรวรรดิบาวกีสสนับสนุนอุปกรณ์เวทมนตร์ให้กับทวีปกลาง ส่วนโรเซนเฮมสนับสนุนด้านเวทมนตร์เหรอ ทวีปกลางมีแต่ได้รับความช่วยเหลือนะเนี่ย เอาเถอะถ้าหากทวีปกลางล่มสลายแล้วละก็ อีก 2 ทวีปคงโดนโจมตีเต็มๆ)
เอลฟ์มาช่วยปกป้องด้วย แต่ก็ไม่ได้ลำบากเรื่องที่ผู้ทำหน้าที่รักษาไม่เพียงพอ
สิ่งที่มันไม่พอยังไงก็ไม่พอ เพราะอย่างนั้นเลยบอกไปว่าจะหาทางรับมือ
แต่เอลฟ์อยู่ต่อสู้เพื่อชัยชนะ ไม่ใช่เพื่อความต้องการส่วนตัวของราชวงศ์และขุนนาง
และบอกว่าถูกส่งมาเพื่อช่วยเหลือทวีป ไม่ได้มาเพื่อปกป้องขุนนาง
ถ้าหากพูดเอาแต่ใจและฝืนออกคำสั่งกับเหล่าเอลฟ์แล้วละก็ คงกลับไปที่โรเซนเฮมเลย
หรือเท่ากับว่าแนวหน้าจะพังทลายลง
นั่นคือสิ่งที่บอกต่อกันมา
ช่วงแรกๆ จ้างประชาชนหรือทาสติดที่ดินซึ่งมีพรสวรรค์สายฟื้นฟู
โดยจะให้เงินกับครอบครัวและรับประกันความปลอดภัย และพาผู้มีพรสวรรค์สายฟื้นฟูไปด้วย
แต่อย่างนี้ถือเป็นการต่อต้านศาสนจักรอย่างมาก เขาบอกว่ามันดูแปลกหากใช้พรสวรรค์ที่พระเจ้าประทานมาให้เพื่อขุนนาง
‘ศาสนจักรกับราชอาณาจักรมีอำนาจที่ทัดเทียมกันหรือครับ’
“นั่นสินะ ถึงจักรพรรดิของจักรวรรดิจะมีอำนาจเบ็ดเสร็จอยู่ แต่ที่ราชอาณาจักรศาสนจักรกับกิลด์เองก็มีสิทธิออกเสียงพอประมาณอยู่”
ศาสนจักรมีตำแหน่งที่ค่อนข้างแข็งแกร่งอยู่แล้ว ส่วนกิลด์นักผจญภัยเองเป็นการรวมตัวของกิลด์ต่างๆทำให้มีอำนาจในตัวอยู่แล้ว
เพราะเรื่องนั้น ทำให้ผู้มีพรสวรรค์สายรักษาของขุนนางถูกใช้งานอย่างหนักหน่วง
ปัญหาของขุนนางต้องให้ขุนนางแก้ไขกันเอง ทำให้ทางศาสนจักรพูดอะไรมากไม่ได้
ราชวงศ์และขุนนางจะต้องส่งลูกไปสนามรบเป็นปกติอยู่แล้ว เลยอยู่ในสภาพที่อยากให้มีผู้ทำหน้าที่รักษาอยู่เคียงข้าง
คงคิดว่าต่อให้ทำหน้าที่รักษาสำเร็จแล้ว หลังจากนั้นก็ยังอยากให้อยู่ต่อ
มีบางกรณีที่หลังจากทำหน้าที่สำเร็จแล้วและอยากให้อยู่ต่อ ราชวงศ์และขุนนางชั้นสูงจะการันตีรางวัลและความรุ่งเรืองของตระกูลให้ แต่ก็มีบ้างที่พ่อแม่สัญญากันเองว่าจะจะให้ลูกของขุนนางไปอยู่ด้วยกันจนกว่าจะตายที่สนามรบ
‘เรื่องในครั้งนี้คงจะเป็นอย่างหลังใช่ไหมครับ?’
“น่าจะอย่างนั้น”
ต่อให้ราชฑูตหลอกใช้ชื่อของราชอาณาจักร แต่อีกฝ่ายเป็นเป็นลูกของขุนนางที่โดนยุบตระกูลไปแล้ว
(จะว่าไป เวทมนตร์ฟื้นฟูของคีลค่อนข้างมีประโยชน์อยู่)
สกิลบาทหลวงของคีลเพียงแค่ 1 เดือนเพิ่มจากเลเวล 1 ไปเป็นเลเวล 4
ผลเวทมนตร์ฟื้นฟูของคีล
・ฟื้นฟูเลเวล 1 ฟื้นพลังกายของเป้าหมาย 1 คน
・ฟื้นฟูเลเวล 2 ฟื้นพลังกายอย่างมากของเป้าหมาย 1 คน
・ฟื้นฟูเลเวล 3 ฟื้นพลังกายของเป้าหมายทุกคนในระยะรัศมี 10 เมตร
・ฟื้นฟูเลเวล 4 ฟื้นพลังกายของเป้าหมายอย่างมากในระยะรัศมี 10 เมตร
ดูเหมือนปริมาณการฟื้นฟูจะขึ้นอยู่กับความฉลาด ถึงจะยังอยู่ระหว่างหาค่าที่ถูกต้องว่าความฉลาดกับปริมาณการฟื้นฟูมันเป็นอย่างไรกันแน่ แต่ถือว่ามีประโยชน์มาก
ถ้าพูดถึงรัศมี 10 เมตรแล้วละก็ ถ้าฟื้นฟูทหาร 1 คนใช้พื้นที่ 3 ตารางเมตรแล้วละก็ เท่ากับว่าสามารถรักษาทหารได้พร้อมกัน 100 คน
(เอาเถอะ ต้องบอกว่าสกิลปลุกพลังมันเถื่อนมากต่างหาก)
เดือนกรกฎาคม เปิดรับหินเวทระดับ D จำนวน 100,000 ก้อน ซึ่งทั้งหมดถูกแปลงเป็นค่าประสบการณ์สกิล จนในที่สุดปลุกพลังก็มาถึงเลเวล 6 เพราะอย่างนั้นทำให้เห็นภาพรวมทั้งหมดของสกิลปลุกพลังแล้ว
・สกิลปลุกพลังของพืช F ”สมุนไพร”
ถ้าสูดกลิ่นเข้าไป จะทำให้ระยะเวลาในการฟื้นฟูพลังเวทจนเต็มลดเหลือแค่ 3 ชั่วโมง เป็นระยะเวลา 24 ชั่วโมง
・สกิลปลุกพลังของพืช E ”ใบไม้แห่งชีวิต”
ฟื้นพลังกาย 1000 ให้ทุกคนในปาร์ตี้ระยะรัศมี 50 เมตร
・สกิลปลุกพลังของพืช D ”เมล็ดพลังเวท”
ฟื้นพลังเวท 1000 ให้ทุกคนในปาร์ตี้ระยะรัศมี 50 เมตร
・สกิลปลุกพลังของพืช C ”สารพัดเครื่องเทศ”
รักษาสถานะผิดปกติให้ทุกคนในปาร์ตี้ระยะรัศมี 50 เมตร ผลอยู่ต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง
เนื่องจากรัศมี 50 เมตร ถ้าฟื้นฟูทหาร 1 คนใช้พื้นที่ 3 ตารางเมตรแล้วละก็ เท่ากับว่าสามารถรักษาทหารได้พร้อมกันมากกว่า 2500 คน
(เอาละ เพื่อที่จะไม่ต้องลำบากเรื่องการรักษาในสนามรบ คงได้เวลาเปิดรับซื้อหินเวทระดับ E เต็มสูบแล้ว ถ้าไปสนามรบไม่รู้ว่าจะเติมได้อีกทีเมื่อไร)
พอได้ยินเรื่องนี้จากไวเคานต์ เลยวางแผนอีก 1 อย่าง
สิ่งนั้นคือ นอกจากจะเปิดรับหินเวทระดับ D เดือนละ 50,000 ก้อนแล้ว จะเปิดรับหินเวทระดับ E เพิ่มเข้าไปด้วย ทำให้คิดว่าระดับ E น่าจะเปิดรับได้เดือนละหนึ่งแสนก้อนหรือเปล่า
ถ้าอเลนไปสนามรบแล้ว ไม่รู้ต้องใช้เวลากี่ปีถึงจะกวาดล้างกองทัพจอมมมารให้สิ้นซากและปราบจอมมารได้ สมุนไพรฟื้นฟูมีเยอะไว้ก็ไม่เสียหายอะไร ถ้าเพื่อปกป้องเหล่านักเรียนที่ร่วมเรียนด้วยกันตรงแนวหน้าแล้วละก็ ต้องเตรียมสมุนไพรฟื้นฟูไว้จำนวนมาก
(เอาเถอะ มันเป็นเรื่องหลังจากนี้ ยังไม่จำเป็นต้องพูดตอนนี้)
‘เพราะตระกูลคาร์เนลโดนยุบ ผู้ที่จะมาทำหน้าที่รักษาให้ตัวเองพลอยหายไปด้วย ถ้าปล่อยไว้อย่างนี้จะแย่เลยรีบมาสัญญาปากเปล่าว่าเรื่องไปสนามรบ 5 ปีอย่างนั้นเหรอครับ?’
อเลนสรุปสถานการณ์จากสิ่งที่พูดคุยกับไวเคานต์และการคาดเดาของตัวเอง
“นะ นั่นสินะ 5 ปีที่ว่า บางทีอาจจะเป็นลูกที่เข้าเรียนหลังจากนี้ก็ได้นะ”
ถึงภายนอกจะเป็นนกพิราบ แต่น้ำเสียงของอเลนแฝงไว้ด้วยความโกรธอยู่
‘อย่างนั้นเหรอครับ พอจะเข้าใจสถานการณ์แล้ว ขอบคุณมากเลยครับ’
“แล้วจะทำอะไรต่อหรือ?”
‘ไม่ครับ จะให้รบกวนตระกูลแกรนเวลไม่ได้หรอกครับ’
“ไม่หรอก บอกมาได้เลย คิดจะทำอะไรต่อหรือ?”
‘ไปขอฝ่าบาทเรื่องฟื้นฟูตระกูลคาร์เนลครับ’
“ถ้าฝ่าบาทปฏิเสธจะทำไงหรือ?”
‘จะเสนอผลการต่อสู้ที่เหมาะสมจนทำให้ปฏิเสธไม่ได้ครับ’
พูดราวกับว่ากษัติย์จะยอมให้ฟื้นฟูตระกูลคาร์เนล
(ถ้าปฏิเสธราชอาณาจักรคงถึงคราวสิ้นสุด เพราะฉันจะเป็นจอมมารหมายเลข 2 เอง ว่าไปนั่น คงต้องคิดแผนต่อสู้เพื่อไม่ให้โดนปฏิเสธด้วยสิ เอาเถอะยังมีเวลาเหลือเฟือด้วย ไม่สิยังไงก็ต้องทำอะไรสักอย่าง)
ถึงจะพบกับคีลแค่ไม่กี่เดือน แต่รู้ได้เลยว่าคีลเป็นคนดี
ถึงจะเป็นคนโลภที่ชอบเงินอย่างมาก เลยเรียกว่า “พระหลงเงิน” แทนที่จะเป็น “ผู้ลุ่มหลงเงินตรา” จนโดนเซซิลบ่นใส่ แต่เจ้าตัวเข้ากับพวกพ้องได้เป็นอย่างดี
แถมเงินที่หามาไม่ได้เอาไว้ใช้แต่เก็บไว้ให้น้องสาวและคนรับใช้ และพยายามใช้จ่ายอย่างไม่สุรุ่ยสุร่าย
ถึงเจ้าตัวจะไม่พูด แต่คงพยายามเพื่อให้น้องสาวใช้ชีวิตได้อย่างไม่ลำบากในช่วง 5 ปีที่ตัวเองไม่อยู่
อเลนไม่มีทางปล่อยเรื่องที่เกิดขึ้นกับคีลไปได้
ไวเคานต์เอานิ้วกดหัวตาและเริ่มใช้ความคิด หลังจากนั้นสักพักจึงพูดออกมา
“อเลนเอ๋ย ขอยืนยันอีกครั้ง บอกว่า 5 ปีสินะ ไม่ใช่ 3 ปีหรือ 7 ปีใช่ไหม?”
‘ครับ ที่ได้ยินมาคือ 5 ปีครับ’
“งั้นเหรอ 5 ปีสินะ” ไวเคานต์พึมพำออกมาแค่นั้น บางทีอาจจะมีอะไรที่สะกิดใจอยู่ก็ได้
“อเลนเอ๋ย โทษทีนะเรื่องนี้ปล่อยให้ฉันจัดการได้หรือเปล่า?”
‘เอ๊ะ? ไวเคานต์จะเคลื่อนไหวเหรอครับ?’
“ใช่แล้ว ราชทูตพูดชื่อของฉันด้วยไม่ใช่หรือ?”
ไวเคานต์บอกว่าแค่นั้นก็มีเหตุให้เคลื่อนไหวแล้ว อเลนแค่อยากบอกเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับคีลให้ฟังเท่านั้น ไม่ได้อยากให้ไวเคนต์เคลื่อนไหวเลย
‘ขอบคุณมากครับ’
ไวเคานต์แกรนเวลบอกว่าหลังจากนี้จะไปยืนยันที่พระราชวัง อาจจะใช้เวลาสักพักขอให้รอไปก่อน
อีก 2 ปีกว่าถึงจะต้องไปสนามรบ อเลนที่อยู่ในรูปร่างของนกพิราบตอบว่าจะรอครับ