ผู้หญิงคนนี้คือผู้หญิงที่พยายามอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อเป้าหมายอย่างการเป็นที่ชื่นชอบของทุกคน ตัวเธอเองก็คงจะรับไม่ได้กับความคิดที่ว่าเธอโดนผมเกลียดเข้าให้แล้วหลังจากเหตุการณ์เมื่อวานนี้สินะ
นั่นคือสิ่งที่ผมเข้าใจและก็ค่อนข้างที่จะมั่นใจเลย
“อย่ากังวลไปเลยครับ ผมไม่ได้เกลียดเธอหรอกนะครับ”
เมื่อผมตอบกลับเธอ
คุโรเสะซังก็มองมาตรงนี้พักหนึ่งและดูเหมือนว่าเธอกำลังจะร้องไห้ออกมา
และเพราะแบบนั้นเธอจึงเบือนหน้าหนีผมโดยที่ไม่ได้พูดอะไรต่อ
เธอหันหน้าไปทางด้านหน้าและก้มหน้าลง
“เอ๋……?”
ผมคงไม่ได้ตอบอะไรผิดไปใช่ไหมเนี่ย?
ยังไงก็เถอะ มันไม่มีอะไรที่ผมจะสามารถพูดต่อได้ไม่ว่าจะในทางไหน
คงได้แต่ปล่อยให้คุโรเสะซังเธออยู่เงียบๆของเธอไปสักพักก็แล้วกัน
บางทีพอเวลาผ่านไป ความกระอักกระอ่วนมันก็คงจะหายไปเอง
แล้วพวกเราก็จะสามารถหันมาพูดคุยโต้ตอบกันได้เฉกเช่นเพื่อนร่วมห้องทั่วๆไป
ผมก็หวังว่ามันจะเป็นอย่างนั้นล่ะนะ
ผมเอาเอกสารที่ได้รับแจกจ่ายมาเข้าไปเก็บในกระเป๋าและเตรียมตัวกลับบ้าน
หลังจากที่ชีวิตในรั้วโรงเรียนได้ผ่านไปสองสามวัน
สิ่งที่ผมเข้าใจนั่นก็คือทุกคนนั้นไม่ได้สนใจเรื่องของชาวบ้านอย่างที่ผมคิด
โดยเฉพาะวันหนึ่ง
ตอนที่ชิราคาวะซังเธอเดินเตร่ไปตรงที่นั่งของผมในช่วงเวลาพักเบรก
“อรุณสวัสดิ์จ้า ริวโตะ!!”
“อะ-อรุณสวัสดิ์ครับผม”
เพราะเรื่องมันแดงออกมาหมดแล้วผมคิดว่ามันคงจะไม่เป็นอะไรหรอก
จนถึงป่านนี้ ผมก็ยังไม่เคยได้คุยกับเธอตอนที่อยู่ในโรงเรียนเลยสักครั้ง เพราะอย่างนั้นผมก็เลยกังวลเรื่องที่คนอื่นๆจะพากันจ้องมองมาที่ผมและทำให้ผมรู้สึกประหม่า
“ดูนี่สิ ดูนี่! เล็บของชั้น! เมื่อวานนี้ชั้นเป็นคนทำเองล่ะ!”
ผมมองไปที่เล็บที่ประกายแวววาวของชิราคาวะซัง ที่มันผิดกฏข้อบังคับของโรงเรียน
แต่ผมก็อดไม่ได้ที่จะใส่ใจกับสายตาจากบริเวณโดยรอบ
อย่างไรก็ตามปฏิกิริยาของทุกคนก็เบาบางกว่าที่คิด
แน่นอนว่ามีบางคนที่ส่งสายตาอยากรู้อยากเห็นมองมาทางนี้จากที่ไกลๆแต่ยังไงเพื่อนร่วมห้องของผมส่วนใหญ่ก็วุ่นวายกับการทำเรื่องของตัวเองกันทั้งนั้น
“…….ผมว่าก็สวยดีนะครับ”
ผมสงสัยว่าตัวผมเองกำลังกลัวอะไรอยู่เนี่ย? คนอื่นเขาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วยสักหน่อยหนิ
“นี่! ตั้งใจดูให้ดีหน่อยสิ!”
ผมที่กำลังคิดฟุ้งซ่านอยู่ต่อหน้าเธอ ทำให้ชิราคาวะซังเธอยื่นมือออกมาอย่างยืนกราน
“อ๊ะ ครับ ขอโทษด้วยครับ”
ผมจึงตั้งใจมองดูอีกครั้ง
“น่ารักใช่ม้า? ว่ามะ?”
มือของชิราคาวะซังเรียวเหมือนกับมือของเด็กผู้หญิงส่วนนิ้วและเล็บของเธอก็ยาวสวย
ถ้าผมเป็นพวกเพลย์บอยตัวพ่อล่ะก็เวลาแบบนี้ผมก็คงจะจับมือเธอเอาได้อย่างช่ำชองแล้วก็พูดออกมาว่า ‘ใช่แล้วล่ะ มันน่ารักมากจริงๆ’ เรื่องการสกินชิพแตะเนื้อต้องตัวเนี่ยมันก็เป็นแค่เรื่องหมูๆเหมือนกัน
แต่ยังไงซะ ไม่ว่าจะคิดยังไงแบบนั้นมันไม่ใช่คาแรคเตอร์ของผมเลยสักนิด ผมไม่รู้สึกว่าตัวผมจะทำเรื่องแบบนั้นได้และก็ไม่รู้สึกว่าอยากจะทำอีกด้วย
“…….เป็นอะไรไปเหรอ? นายเกลียด…….เล็บแบบนี้งั้นเหรอ?”
เนื่องจากผมจ้องไปที่มือของชิราคาวะซังด้วยใบหน้าตึงๆเคร่งเครียดมากเกินไป
ใบหน้าของชิราคาวะซังก็เปลี่ยนเป็นใบหน้าที่สงสัยเข้ามาแทน
“อ๊า ครับ! ผมคิดว่ามันก็ดูดีนะครับ เข้ากับเธอเลยล่ะครับ”
เมื่อผมรีบตอบกลับเธอ ชิราคาวะซังก็ยิ้มกว้างราวกับดอกไม้ที่เบ่งบาน
“ดีใจจัง!! ชั้นทำได้สวยเลยใช่ไหมล๊า!! สวยจนขนาดนิโคลยังเอ่ยปากชมเลยนะ”
ชิราคาวะซังเธอพูดออกมาอย่างภูมิอกภูมิใจ และเหมือนกับว่าเธอคงจะพอใจแล้ว
เธอก็เดินกลับไปยังกลุ่มพวกผู้หญิงหน้าตาดีเหมือนเดิม
ในเวลาเดียวกันเพื่อนร่วมห้องบางคนที่จ้องมองมาที่พวกเราก็เบนหน้าหันไปมองอย่างอื่นราวกับว่าพวกเขาหมดความสนใจไปแล้ว
เพราะงั้นเรื่องซุบซิบนินทาจากคนรอบข้างคงไม่มีอะไรที่จะต้องกลัวอีกต่อไป
ถึงแม้ว่าไอ้ปัญหาเรื่องการสกินชิพแตะเนื้อต้องตัวผมเองก็ยังแก้ไขอะไรไม่ได้และมันก็ทิ้งความรู้สึกอันครุมเครือเอาไว้ภายในตัวของผมอีกด้วย
ความปรารถนาของผมที่จะคอยเอาใจใส่ทะนุถนอมชิราคาวะซังนั้นยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
นั่นเป็นเหตุผลที่ผมไม่ได้คิดเรื่องอุกอาจอย่างเช่น จู่ๆก็อยากจะมีอะไรกันกับเธอแบบนั้น ก็ไม่ใช่ว่า………….ผมไม่อยากทำหรอกนะ
มันก็แค่……..ถ้าเกิดว่าชิราคาวะซังเธอชอบผมกว่าเดิมแล้วล่ะก็
ผมก็ต้องการมีสัมผัสทางกายที่มันสอดคล้องกันกับเรื่องนั้นด้วยล่ะนะ……..
นั่นก็พูดแบบอ้อมโลกไปหน่อย แต่ยังไงๆซะ……………..
ให้พูดตรงๆเลยนะ ผมอยากจูบเธอ !!
แต่ผมไม่รู้จริงๆว่าผมควรจะทำยังไงดี!!!
ผมอยากรู้ว่าจะต้องใช้เทคนิคอะไรเพื่อให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น……ในละครแนวโรแมนติก
เวลาที่คนสองคนสบตากันอย่างกระทันหัน ริมฝีปากของพวกเขาก็จะเข้าไปประกบกันราวกับถูกดูดเข้าไป แต่ผมคิดว่าช่วงเวลานั้นมันคงจะไม่มาถึงถ้าหากว่าผมยังมัวเอาแต่รออยู่อย่างนี้น่ะ
ในหัวผมไม่ได้คิดอะไรเลยนอกจากเรื่องนี้ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา
เพราะงี้ผมถึงข่มตานอนไม่หลับในช่วงเวลากลางคืนและก็รู้สึกปวดทรมาณมาก
ผมไม่สามารถเขาไปเต๊าะชิราคาวะซังตรงๆด้วยความปรารถนาแบบนี้ได้หรอก
ก็ผมเคยพูดเอาไว้ว่า ‘ผมอยากจะดูแลทะนุถนอมชิราคาวะซัง’ ออกไปอย่างเท่เลยนี่นา
และผมก็ไม่อยากจะถูกเธอมองว่ามันเป็นเพียงแค่การเพ่งเล็งไปยังร่างกายของเธอเท่านั้นด้วย
สงสัยจังว่าพวกคู่รักบนโลกใบนี้ที่สามารถทำสกินชิพกันได้อย่างเป็นธรรมชาตินั้นเขาทำกันได้ยังไงกันนะ? อะไรคือสิ่งกระตุ้นสำหรับเรื่องนั้น? และด้วยวิธีไหน?
ผมว่าผมควรไปปรึกษากับใครดีในช่วงเวลาคับขันแบบนี้
แล้วพอมาลองคิดๆดู เจ้าพวกนั้นคงเป็นคนกลุ่มเดียวที่ผมจะสามารถไปปรึกษาได้ล่ะนะ
มันเป็นช่วงเวลาพักเที่ยง
ในตอนที่พวกเราสามเกลอกำลังกินมื้อเที่ยงด้วยกันตามปกติ
“คาชิ………..”
จู่ๆเจ้าอิจิก็วางตะเกียบลง
“เอ๊ะ? มีอะไรงั้นรึ?”
อิจิผู้ที่จะไม่ยอมปล่อยชามข้าวจนกว่าชามข้าวมันจะเกลี้ยงโบ๋เบ๋ไม่เหลืออะไรเลย
อิจิผู้ที่ชื่นชอบการกินข้าวมากกว่าสามมื้อต่อวัน
ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าอิจิคนนั้นจะขัดจังหวะการกินของเขาเอง ในตอนที่ข้าวในกล่องข้าวยังเหลือมากกว่าครึ่ง
ขณะที่ผมจ้องมองเขาด้วยความคิดเหล่านั้น เจ้าอิจิก็ก้มหัวลงทันทีทันใด
“ชั้นขอโทษ!! ที่ชั้นไม่เชื่อแกตั้งแต่แรกตอนที่แกบอกว่าแกกำลังคบกับชิราคาวะซังน่ะ!”
เขาพูดออกมาในตอนที่กำลังเคี้ยวข้าวอย่างเอร็ดอร่อยและไหล่ของเขาก็ทรุดลง
“ชั้นลำบากใจจริงๆที่ชั้นไม่ยอมเชื่อแก แต่พอชั้นได้เห็นแกกับชิราคาวะซังเมื่อวันก่อนแล้ว ชั้นก็รู้ว่าชั้นคงต้องเชื่อใจแกแล้ว ก็เราเป็น……..เพื่อนกันใช่ไหมล่ะ? และพวกแกเองก็คบกันจริงๆด้วย มันก็เป็นเรื่องที่เยี่ยมไปเลย ทั้งๆที่เดิมทีชั้นเป็นคนบังคับให้แกไปสารภาพกับเธอแท้ๆ”
“อิจิ………………”
เพราะงั้นสองสามวันหลังจากวันนั้น แกก็เอาแต่คิดถึงเรื่องนี้มาโดยตลอดเลยอย่างนั้นเหรอ
แล้วข้างๆผมเจ้านิชิก็เอามือกอดอกอยู่
“ส่วนชั้นไม่ขอโทษหรอกนะ”
เขาพูดจาเหมือนกับคุณพ่อแนวหัวแข็งและจ้องมองมาที่ผมอย่างรวดเร็ว
“ต่อให้พวกเราจะต้มยำทำแกงกับแกรุนแรงไปสักแค่ไหนก็ตาม แต่แกก็ยังได้จู๋จี๋กันกับชิราคาวะซังในช่วงวันหยุดอยู่ดีนี่หว่า จริงมะ? อย่างแกน่ะระเบิดไปซะได้ก็ดี!!”
“นิชิ……..”
แต่ถ้าผมได้ไปอยู่ในจุดเดียวกันกับเจ้านิชิล่ะก็ ผมก็พูดไม่ได้เหมือนกันว่าตัวเองจะไม่พูดอะไรที่แสดงความเกลียดชังแบบนั้นออกมา
ส่วนเจ้าอิจิน่ะหมอนี่มันเป็นคนดีมากเกินไป
ยังไงๆเจ้าอิจิจู่ๆก็พุ่งพรวดเข้ามาใกล้ๆผม
“แล้วแกได้ทำไปรึยัง? แน่นอนว่าแกก็ต้องงาบหล่อนไปแล้วใช่ม้า? นี่ๆบอกตรูหน่อยดิ”
“เอ๊ะ? อะไรของเอ็งวะเนี่ย?!”
ตาของแกมันแดงก่ำจนเห็นเส้นเลือดแล้วนะเว้ยยย
ไอ้ชั้นก็หลงคิดว่าแกเป็นคนดี ปั้ดโถ่ว!!
“ก็นะ เรื่องนั้น………”
ดังนั้นผมจึงบอกพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องปัญหาปัจจุบันของผม
“…..อย่างนี้นี่เอง ก็คือแกอยากจะจูบกับชิราคาวะซัง แต่ไม่รู้จะต้องทำยังไง ถ้าอย่างนั้นอย่างแรกเลย แกต้องเริ่มต้นด้วยการจับมือกันแล้วก็ต้องมีไอเดียอะไรสักอย่าง”
เจ้าอิจิพึมพัมอย่างเหนื่อยอ่อนและหมดแรง
“แล้วในบรรดาหลายต่อหลายคนเนี่ย………..ชั้นสงสัยว่าทำไมแกถึงได้เลือกมาหาพวกเราเพื่อขอคำปรึกษาวะ?…….”
เจ้านิชิดูเหมือนกับนักมวยที่พึ่งลงจากสังเวียนพร้อมกับหมดไฟ
“ขะ-ขอโทษจริงๆ ก็ชั้นไม่มีใครให้ปรึกษาได้อีกแล้วนี่นา………”
เมื่อผมรีบขอโทษขอโพยทั้งคู่ก็มองหน้ากันแล้วก็ถอนหายใจแล้วก็มองมาที่ผมด้วยใบหน้าที่มุ่งมั่น
“ช่วยไม่ได้ล่ะน้า………งั้นเรามาระดมสมองปั้นให้ไอ้เจ้าคาชิเป็นผู้ชายทั้งแท่งกันเถอะ!!”
“อืมๆ เรามาคิดแผนการที่ไม่ใช่แค่ได้จับมือกันกับชิราคาวะซังอย่างเดียว แต่เพื่อที่จะได้เชื่อมต่อกับหัวใจของเธอด้วยละกัน”
นี่พวกนาย……..
“ขอบคุณนะ!……..พวกนายช่วยชั้นไว้ได้จริงๆ!!”
เจ้าพวกนี้ก็ไม่ได้มีประสบการณ์อะไรมากไปกว่าผมเลย
และนี่ก็คือการรวมตัวของไอ้หนุ่มจิ้นสามหน่อที่ไม่ว่าจะเค้นสติปัญญาไปสักเท่าไหร่ก็ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรเลย
“ แล้วอย่าง ‘นี่ๆรู้มะ? จริงๆแล้วผมน่ะ เป็นหมอดูลายมือล่ะ’ แบบนี้เป็นไง?”
“นั่นมันแค่การโกหกแบบหน้าด้านๆไม่ใช่รึยังไง? ถึงอย่างนั้นชั้นเองก็ไม่รู้ด้วยว่าเธอจะยอมเอามือมาให้ชั้นดูรึเปล่า”
“เอ็งจะพูดแบบนั้นทั้งๆที่ยังไม่ลองเลยไม่ได้นะเว้ยย”
“ก็ชั้นไม่อยากโกหกชิราคาวะซังนี่หว่า”
“เออๆ ถ้างั้นเอานี่เป็นไง ‘ไม่นะ มันหนาวสุดๆไปเลย……..มือของผมเย็นจนแข็งไปซะแล้ว’ ไงล่ะแบบนี้ใช้ได้ปะ?”
“อ้อมค้อมแบบนั้นมันน่ารำคาญจะตายชัก มันดูเหมือนแค่ทำให้ดูเป็นคนขี้หนาวแค่นั้นแหละ”
“ชิ ถ้าอย่างนั้นก็ ‘มาจับมือกันเถอะ’ ตรงๆไปเลยเป็นไง?”
“ก็ถ้าชั้นพูดแบบนั้นออกไปได้ล่ะก็ ชั้นก็คงไม่มาปรึกษาพวกแกหรอกนะ…….”
“นู่นก็ไม่เอา นี่ก็ไม่ดี เอ็งนี่แม่มเรื่องมากจริงวุ้ย!!”
หลังจากพูดคุยกันสักพัก พวกเราทุกคนก็พากันตันกันหมด
“เออ ช่างแม่มเถอะ! ไม่รู้แล้วโว้ย!”
เจ้านิชิเป็นคนแรกที่ประกาศยอมแพ้และเจ้าอิจิก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้นพร้อมกับมองขึ้นไปบนท้องฟ้า
“จริงชั้นก็ไม่ไหวแล้วว่ะ! มันก็ไม่ใช่ว่าชั้นเองก็จะเข้าไปจับมือผู้หญิงได้นะเว้ย!”
“ยังไงก็เถอะ ช่วยชั้นหน่อยเถอะนะ…….”
“ชั้นไม่ไหวแล้วจริงๆ อย่างน้อยแกก็ช่วยเก็บเรื่องนี้ไปกังวลด้วยตัวแกเองทีเถอะ”
“ก่อนหน้านี้ชั้นพยายามทำเท่อยู่ล่ะนะ แต่ตลอดเวลาชั้นก็เกือบจะรู้สึกอิจฉาริษยาแก จนแทบจะฉี่ออกมาเป็นสายเลือดแล้วว่ะเพื่อนเอ๋ย”
ทั้งสองคนพูดด้วยท่าทางเหนื่อยๆและพยายามขยับที่นั่งให้ห่างออกจากผม
“ปล่อยให้ไอ้เรียจูมันอยู่คนเดียวของมันเหอะ แล้วเรามาดูคลิปใหม่ของ KEN กันดีกว่า”
และตอนนั้นเองที่ผมได้ยินคำพูดของเจ้านิชิ
“คลิปของ KEN งั้นเหรอ……..”
ผมรู้สึกเหมือนมีหลอดไฟมันกระพริบติดอยู่ในตัวของผม
“ใช่แล้ว KEN ไงล่ะ!”
ถ้าเป็นแบบนี้ล่ะก็ ผมก็คิดว่าผมทำแน่
“ขอบใจนะพวกนายทั้งคู่เลย”
ผมพูดขอบคุณทั้งสองคนที่กำลังงงงวยอยู่และลุกขึ้นจากที่นั่ง
ผมต้องการสถานที่เงียบสงบเพื่อรวบรวมความคิด
นี่พวกนาย……..
“ขอบคุณนะ!……..พวกนายช่วยชั้นไว้ได้จริงๆ!!”
เจ้าพวกนี้ก็ไม่ได้มีประสบการณ์อะไรมากไปกว่าผมเลย
และนี่ก็คือการรวมตัวของไอ้หนุ่มจิ้นสามหน่อที่ไม่ว่าจะเค้นสติปัญญาไปสักเท่าไหร่ก็ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรเลย
“ แล้วอย่าง ‘นี่ๆรู้มะ? จริงๆแล้วผมน่ะ เป็นหมอดูลายมือล่ะ’ แบบนี้เป็นไง?”
“นั่นมันแค่การโกหกแบบหน้าด้านๆไม่ใช่รึยังไง? ถึงอย่างนั้นชั้นเองก็ไม่รู้ด้วยว่าเธอจะยอมเอามือมาให้ชั้นดูรึเปล่า”
“เอ็งจะพูดแบบนั้นทั้งๆที่ยังไม่ลองเลยไม่ได้นะเว้ยย”
“ก็ชั้นไม่อยากโกหกชิราคาวะซังนี่หว่า”
“เออๆ ถ้างั้นเอานี่เป็นไง ‘ไม่นะ มันหนาวสุดๆไปเลย……..มือของผมเย็นจนแข็งไปซะแล้ว’ ไงล่ะแบบนี้ใช้ได้ปะ?”
“อ้อมค้อมแบบนั้นมันน่ารำคาญจะตายชัก มันดูเหมือนแค่ทำให้ดูเป็นคนขี้หนาวแค่นั้นแหละ”
“ชิ ถ้าอย่างนั้นก็ ‘มาจับมือกันเถอะ’ ตรงๆไปเลยเป็นไง?”
“ก็ถ้าชั้นพูดแบบนั้นออกไปได้ล่ะก็ ชั้นก็คงไม่มาปรึกษาพวกแกหรอกนะ…….”
“นู่นก็ไม่เอา นี่ก็ไม่ดี เอ็งนี่แม่มเรื่องมากจริงวุ้ย!!”
หลังจากพูดคุยกันสักพัก พวกเราทุกคนก็พากันตันกันหมด
“เออ ช่างแม่มเถอะ! ไม่รู้แล้วโว้ย!”
เจ้านิชิเป็นคนแรกที่ประกาศยอมแพ้และเจ้าอิจิก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้นพร้อมกับมองขึ้นไปบนท้องฟ้า
“จริงชั้นก็ไม่ไหวแล้วว่ะ! มันก็ไม่ใช่ว่าชั้นเองก็จะเข้าไปจับมือผู้หญิงได้นะเว้ย!”
“ยังไงก็เถอะ ช่วยชั้นหน่อยเถอะนะ…….”
“ชั้นไม่ไหวแล้วจริงๆ อย่างน้อยแกก็ช่วยเก็บเรื่องนี้ไปกังวลด้วยตัวแกเองทีเถอะ”
“ก่อนหน้านี้ชั้นพยายามทำเท่อยู่ล่ะนะ แต่ตลอดเวลาชั้นก็เกือบจะรู้สึกอิจฉาริษยาแก จนแทบจะฉี่ออกมาเป็นสายเลือดแล้วว่ะเพื่อนเอ๋ย”
ทั้งสองคนพูดด้วยท่าทางเหนื่อยๆและพยายามขยับที่นั่งให้ห่างออกจากผม
“ปล่อยให้ไอ้เรียจูมันอยู่คนเดียวของมันเหอะ แล้วเรามาดูคลิปใหม่ของ KEN กันดีกว่า”
และตอนนั้นเองที่ผมได้ยินคำพูดของเจ้านิชิ
“คลิปของ KEN งั้นเหรอ……..”
ผมรู้สึกเหมือนมีหลอดไฟมันกระพริบติดอยู่ในตัวของผม
“ใช่แล้ว KEN ไงล่ะ!”
ถ้าเป็นแบบนี้ล่ะก็ ผมก็คิดว่าผมทำแน่
“ขอบใจนะพวกนายทั้งคู่เลย”
ผมพูดขอบคุณทั้งสองคนที่กำลังงงงวยอยู่และลุกขึ้นจากที่นั่ง
ผมต้องการสถานที่เงียบสงบเพื่อรวบรวมความคิด