ผมเองก็ไม่มีที่ไปเหมือนกันก็เลยเลือกที่จะไปนั่งคิดเอาในห้องน้ำ
ผมได้รับคำใบ้จากคลิปการเล่นเกมของ KEN
ในเกมยิงปืนแนวแบทเทิลรอยัล KEN มักที่จะหลอกล่อให้ศัตรูของเขาให้เข้ามาในเส้นทางที่เขาวางเอาไว้แล้วค่อยจู่โจม ในฐานะของอดีตเกมเมอร์ระดับมือโปร การเล็งยิงของเขาได้จัดว่าแม่นยำโครตๆ ดังนั้นถ้าหากว่าเขาล่อให้ศัตรูเข้าไปในจุดที่ไม่มีพวกอุปสรรคสิ่งกีดขว้างได้ล่ะก็ ถึงตอนนั้นเขาก็จะลากยิงหัวคมๆได้อย่างแม่นยำ
แล้วทำไมผมถึงไม่ลองทำแบบเดียวกันดูบ้างล่ะ?
พูดอีกนัยหนึ่งแทนที่ตัวผมกระเสือกกระสนพยายามที่จะเข้าไปจับมือเธอ ก็สร้างสถานการณ์ที่จะทำให้ชิราคาวะซังยื่นมือของเธอมาให้จับก็พอแล้วนี่!
แต่ต้องทำยังไงล่ะ?
อย่างแรกที่ผมคิดได้ขึ้นมาก็คือบ้านผีสิง แต่ผมก็ส่ายหน้าปฏิเสธทันที
ชิราคาวะซังเธอดูเหมือนจะเป็นคนประเภทที่โอเคกับเรื่องผีๆสางๆ
เธอพึ่งจะบอกกับผมทาง LINE ว่าเมื่อคืนนี้พึ่งดูหนังสยองขวัญต่างประเทศไปหยกๆ
ในกรณีนี้ผมก็คงจะไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้วนอกจากที่จะต้องใช้วิธีการโจมตีทางกายภาพ
พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ “พาเธอไปยังสถานที่ที่มันมีฐานรากไม่มั่นคง”
ไอ้พวกสะพานเชือกอะไรทำนองนั้นน่าจะเหมาะที่สุด แต่ผมก็ไม่คิดว่าจะมีสะพานแบบนั้นอยู่แถวๆนี้แถมนั่นก็ไม่ใช่สถานที่ที่มันเหมาะกับการออกเดทเลยสักนิด
หรือจะเอาเป็นพวกหลุมแอ่งน้ำตามถนนหนทางดี?
แต่เอาเข้าจริงๆก็ไม่รู้แล้วว่าที่ไหนมันจะเหมาะไปกว่าสะพานเชือกได้น่ะและการที่จะค้นหาที่นั่นมันก็ยิ่งไร้ความหมายยิ่งกว่าซะอีก
หลังจากครุ่นคิดเรื่องนั้นแล้ว ผมก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“สระน้ำไง………..”
เราสามารถนั่งเรือในสระน้ำได้และในช่วงเวลาที่ก้าวขึ้นลงจากเรือก็เป็นโอกาสเหมาะเจาะที่สุดในเรื่องที่ยืนไม่มั่นคง
และที่สำคัญไปกว่านั้นการนั่งเรือการเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสุดๆในการออกเดท
นี่มันสมบูรณ์แบบไปเลย!!
“เอาล่ะ !!”
ผมตะโกนออกไปโดยไม่ทันได้รู้สึกตัวว่าตัวเองกำลังอยู่ในห้องน้ำชายอยู่จากนั้นพอรีบดึงสติกลับมาและก็รู้สึกเขินชะมัดเพราะงี้ผมถึงยังออกไปตอนนี้ไม่ได้
“นี่ริวโตะ ! กลับบ้านกันเถอะ!!”
หลังเลิกเรียนของวันนั้น ชิราคาวะซังเธอก็มาหาผม
“เอ๊ะ?”
ชิราคาวะซังมองที่ผมด้วยความสับสันด้วยหางตาที่ชี้ขึ้น
“ไม่เอางั้นเหรอ~?……..ก็ในเมื่อตอนนี้เรื่องที่พวกคบกันอยู่มันก็รู้กันไปทั่วแล้ว มันก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย ถ้าพวกเราจะได้กลับบ้านด้วยกันบ้างน่ะ”
“อะ-อ่า ครับได้ครับ”
“ถ้างั้นก็ตัดสินใจได้แล้วสินะ!”
ชิราคาวะซังเธอพูดอย่างอารมณ์ดีมีความสุขแล้วพวกเราก็เดินออกจากโรงเรียนด้วยกัน
“ว่าแต่ยามานะซังล่ะครับ? ไม่กลับบ้านพร้อมกันกับเธอมันจะดีเหรอครับ?”
“วันนี้นิโคลเข้างานพาร์ทไทม์น่ะ ไว้พวกเราค่อยคุยกันตอนดึกๆเอาก็ได้เพราะงั้น ส.บ.ม.อ.ห จ้า”
“แล้วงานพาร์ทไทม์ที่ว่ามันคืองานอะไรเหรอครับ?”
“ก็ที่อิซากายะน่ะ”
(**TL NOTE: อิซากายะ เป็นชื่อเรียกของร้านแนวกินดื่มที่จะไม่เหมือนกับพวกผับมันจะคล้ายๆกับร้านอาหารที่มีเหล้าเบียร์หลากชนิดพร้อมเสิร์ฟกินคู่กับแกล้มมากกว่า ส่วนมากพวกมนุษย์เงินเดือนเลิกงานก็จะชอบมานั่งในร้านแบบนี้เพื่อแก้เครียดจนกลายเป็นวัฒนธรรมไปแล้ว**)
“เห ก็ฟังดูคล้ายกับตัวเธอดีนะครับ…..”
“ทีแรกเธอก็ไปสัมภาษณ์งานของร้านอาหารครอบครัวน่ะแต่ด้วยเล็บกับสีผมของเธอมันไม่ผ่านเพราะงั้นเธอก็เลยหดหู่ไปเลยตอนนั้น”
“อย่างนี้นี่เอง”
“วันที่นิโคลไปทำงานพาร์ทไทม์ เธอก็ชอบกลับบ้านดึกเพราะอย่างนั้นพวกเราก็เลยได้เม้าท์มอยกันผ่านโทรศัพท์ตอนช่วงดึกๆเสมอเลย”
อย่างนี้นี่เองนั่นคือสาเหตุที่โทรคุยกันลากยาวจนดึกดื่นค่อนคืนก่อนถึงช่วงวันหยุดสินะ
“แล้วชิราคาวะซังเอง…….ไม่ได้ทำงานพาร์ทไทม์หรืออะไรกับเขาบ้างเลยเหรอครับ?”
“ไม่เป็นไร ขอผ่านค๊า~. พอลองได้ฟังเรื่องราวจากนิโคลแล้ว ชั้นก็รู้สึกว่าชั้นคงจะเครียดจนอกแตกตายแน่ๆเวลาที่ได้เจอพวกลูกค้าแย่ๆน่ะ และบางครั้งคุณย่าเองก็ให้ค่าขนมชั้นด้วย ยังไงซะมันก็พอที่จะประทังชีวิตอยู่ได้ล่ะนะ”
“เข้าใจแล้วครับ”
หลังจากนั้นชิราคาวะซังก็จ้องหน้าผม
“……เอ หรือว่าบางที……ชั้นควรจะหางานพาร์ทไทม์สักที่ทำดีกว่าไหมนะ?”
“มะ-ไม่สิ คือผมไม่ได้หมายความแบบนั้นนะครับ แต่….”
ในหัวของผมก็พอนึกภาพของชิราคาวะซังในชุดที่ทำงานพาร์ทไทม์ออกมาได้ลางๆ
“ผมก็แค่คิดว่าเครื่องแบบร้านเค้กมันคงจะเข้ากันกับชิราคาวะซังดีน่ะครับ…….”
หลังจากได้ยินเรื่องนั้นชิราคาวะซังก็ตาเบิกกว้าง
“อ๋า ~ หมายถึงอย่างนั้นเองหรอกเหรอ ~ ร้านเค้กสินะ!! นายนี่ชอบของน่ารักๆใช่ม้า ~ หื้ม ริวโตะ ~”
“เอ๊ะ! เดี๋ยว ไม่ใช่นะครับ!”
เมื่อถูกเธอพูดหยอกล้อจู่ๆผมก็เขินจนเลิ่กลั่กทำอะไรไม่ถูก
“มะ-ไม่ใช่ว่าผมชอบหรืออะไรอย่างนั้นนะครับ!”
“หรือบางทีนายอาจจะชอบแนวชุดผ้ากันเปื้อนสินะ? อย่างพวกเมด? นายนี่อ่านทางง่ายชะมัดเลย!!!”
“ไม่ใช่……”
“อย่างนี้นี่เอง~ ถึงว่าล่ะนายถึงไม่ได้สนใจพวกเสื้อผ้าของสาวแกลเลย”
ตอนนี้ชิราคาวะซังกำลังมีความสุขอย่างเต็มที่อยู่
“มันก็ไม่ใช่แค่…………”
“ไม่เป็นไรๆ ไม่ต้องอายไปหรอกหน่า”
“มันก็ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวสักหน่อยนี่ครับ!! นั่นมันเป็นความใฝ่ฝันของผู้ชายทุกคนเลยนะครับ!!”
“โอ้ว! ในที่สุดก็ยอมสารภาพออกมาแล้วสินะ!”
ชิราคาวะซังเธอพูดพร้อมกับออกอาการเว่อร์วังเกินจริงและหัวเราะคิกตักพร้อมกับรอยยิ้มที่พึงพอใจ
“เข้าใจแล้ว ฟุๆๆ”
ผมเบือนหน้าหนีจากเธอขณะที่เธอพึมพัมออกมาราวกับว่าเธอจับจุดอ่อนของผมได้
และผมก็เงียบไปด้วยความเขินอาย
ผมอายที่ชิราคาวะซังเธอดันรู้ถึงรสนิยมความชอบของผมซะได้
แต่การที่ได้พูดคุยเรื่องไร้สาระกับชิราคาวะซังแบบนี้………….ช่วงเวลาแบบนี้ผมรู้สึกมีความสุขมากๆเพราะมันเหมือนกับว่าพวกเรานั้นเป็นแฟนกันจริงๆ
ระยะหลังมานี้เวลาที่ผมได้อยู่กับชิราคาวะซังผมก็รู้สึกประหม่าน้อยลงมากกว่าเมื่อก่อนแล้ว
ทีแรกก็นึกว่าจะไม่มีอะไรที่ตัวผมจะเหมือนกับชิราคาวะซังผู้โด่งดังซะแล้ว มันก็เลยรู้สึกเหมือนกับว่ามันคือเรื่องลี้ลับที่พวกเราสามารถพูดคุยกันแบบนี้ได้ในตอนนี้
ผมเองก็ไม่ค่อยเต็มใจที่จะโดนเธอพูดหยอกล้อชวนใจเต้นแบบนี้นักหรอกนะ……….ยังไงซะผมก็กำลังพยายามหาหัวข้อที่สามารถที่จะเปลี่ยนเรื่องในตอนนี้ได้
จากนั้นผมก็นึกถึงเรื่องของคุโรเสะซังเมื่อเช้า
“จะว่าไป……..ผมได้ยินมาว่าคุโรเสะซังโทรหาเธอใช่ไหมครับ?”
สีหน้าของชิราคาวะซังแข็งขึ้นเล็กน้อยหลังจากที่ได้ยินคำพูดของผม
“อื้อ…….เธอโทรมาขอโทษชั้นน่ะ แล้วชั้นก็รับคำขอโทษไว้แล้ว นอกจากนี้ชั้นเองก็คิดว่าคงจะดีไม่น้อยเลยถ้าหากว่าชั้นกลับมาญาติดีกับมาเรียได้อีกครั้งนึงน่ะ……….”
“ผมก็หวังว่าอย่างนั้นครับ……….”
ผมรู้สีกอย่างนั้นจริงๆจากก้นบึ้งของหัวใจ
พวกเรามาถึงสถานีแล้วก็ขึ้นรถไฟขบวนเดียวกันและแน่นอนว่าลงสถานีที่ใกล้บ้านของชิราคาวะซังที่สุด
“ริวโตะ วันนี้ว่างรึเปล่า?”
พอชิราคาวะซังถามผม ผมก็พยักหน้า
“ว่างครับ”
นั่นก็เป็นเหตุผลที่ผมมาส่งเธอจนถึงบ้านนี่ล่ะและเมื่อผมกำลังจะพูดแบบนั้นชิราคาวะซังก็ดึงแขนผมไว้
“เอ๋……..”
ผมตกใจ จากนั้นชิราคาวะซังก็ยิ้มให้ผมด้วยใบหน้าที่น่ารักของเธอ
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็จะอ้อมกันหน่อยนะ!!”
เธอจับแขนของผมแค่เพียงครู่เดียวและยิ่งไปกว่านั้นก็จับแค่ตรงเสื้อเครื่องแบบของผม
ชิราคาวะซังเธอสัมผัสผม………..
พอผมคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ แก้มของผมก็ร้อนผ่าวส่วนแขนของผมเองก็ด้วย
หัวใจเต้นดังมากๆไปครู่นึงเลยหลังจากที่เธอจับ
สถานที่ที่ชิราคาวะซังพาผมไปคือห้างใกล้ๆสถานี
มันเป็นห้างทั่วไปที่มีร้านอาหารในเครือมากมายที่ชั้น 1 และพวกร้านเสื้อผ้าและของจำเป็นในชีวิตประจำวันก็อยู่ชั้นบนๆ
ชิราคาวะซังพาผมไปที่มุมหนึ่งของชั้น 5 ซึ่งเป้นชั้นบนสุดของตัวอาคารและก็หยุดเดินตรงนั้น
“ดูสิ มันอยู่นี่ไง!”
สิ่งที่เธอชี้ไปคือผนังกระจกเดี่ยวๆที่ดูเหมือนกับตู้โชว์
ภายในของมันตรงส่วนของพื้นที่ถูกแบ่งออกเป็นบูธแผงกั้นหลายแผงทั้งในแนวนอนและแนวตั้งโดยแต่ละบูธก็จะมีสัตว์อยู่หนึ่งถึงสองตัว
“ร้านขายสัตว์เลี้ยงงั้นเหรอครับ”
“ช่าย!”
ชิราคาวะซังวิ่งเข้าไปที่บูธแมวด้วยดวงตาที่เป็นประกาย
“นี่มันน่ารักที่สุดเล๊ย ~! อื้ม ผ่อนคลายดีแท้ ~! ถ้าหากว่าคุณย่าของชั้นไม่ได้เป็นโรคภูมิแพ้ล่ะก็ ชั้นเองก็คงจะได้เลี้ยงสักตัวแล้วแท้ๆเชียว ~”
จริงๆมันก็มีน้องหมาด้วยล่ะนะ แต่ชิราคาวะซังเธอก็ปฏิเสธไม่ยอมย้ายหนีจากน้องแมวไปไหนเลย
“ชิราคาวะซัง เป็นทาสแมวมากกว่าทาสหมาเหรอครับ?”
“อื้ม ! แต่ชั้นว่าน้องหมาก็น่ารักดีเหมือนกันนะ~!”
หลังจากตอบคำถามของผมเสร็จเธอก็เอาตัวเข้าไปแนบติดหนึบกับผนังกระจกแก้วอีกครั้ง
“ดูสิๆ นายไม่คิดว่าเด็กคนนี้น่ารักบ้างเหรอ? เดี๋ยวอีกไม่นานเด็กคนนี้ก็จะได้ไปแล้วล่ะ เพราะงั้นช่วงนี้ชั้นก็เลยมาที่นี่บ่อยหน่อย”
สิ่งที่ชิราคาวะซังชี้ไปก็คือลูกแมวพันธุ์มันชกิ้นสีเทาที่อยู่ด้านหน้าของเธอที่มีป้ายราคาห้อยไว้พร้อมเขียนว่า ‘หนูได้บ้านใหม่แล้วฮับ’
“เธอได้มาที่นี่บ่อยเหรอครับ?”
“อื้ม ที่นี่เป็นที่โปรดของชั้นเลยล่ะ! ก็คงมาเป็นกิจวัตรของชั้นไปแล้วมั้งนะ? แล้วนั่นก็เป็นเหตุผลที่ชั้นอยากจะมาที่นี่กับริวโตะน่ะ”
เธอมองมาที่ผมโดยที่มือทั้งสองข้างยังเกาะกระจกอยู่
“ริวโตะก็เป็นคนบอกเองใช่ไหมล่ะ? นายพูดว่า ‘ผมเองก็อยากจะชอบในสิ่งที่ชิราคาวะซังชอบด้วย’ นั่นน่ะมันทำให้ชั้นมีความสุขมากๆเลยนะ รู้ไหม?”
“เอ๋……..”
ผมค่อนข้างแน่ใจว่านั่นคือ……สิ่งที่ผมพูดออกไปในวันเกิดของเธอตอนที่ผมไปไล่หาร้านชานมไข่มุกทั่วทุกสารทิศ
เธอจำได้สินะ
“เพราะอย่างนั้น………ชั้นก็เลยอยากที่จะแชร์สิ่งที่ตัวเองชอบหลายๆอย่างให้กับริวโตะน่ะ”
หลังจากพูดแบบนั้นชิราคาวะซังก็ยิ้มในขณะที่เขินอายเล็กน้อย
แม้ว่าผมจะดีใจที่เธอจำเรื่องที่ผมพูดออกไปได้ก็จริง แต่ผมก็ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเธอเองก็จะพูดแบบนั้นออกมาด้วยเหมือนกัน
ผมเขินจนหน้าอกร้อนผ่าว
“ไหนดูซิ~ ใครเป็นเด็กดีเอ่ย ~”
ชิราคาวะซังที่กำลังเล่นกับน้องแมวโดยใช้นิ้วไปหมุนด้วยเล็บสีฉูดฉาดของเธอราวกับเป็นของเล่นแมวผ่านทางกระจกมันดูน่ารักกว่าตอนปกติอีกนะเนี่ย