บทที่ 159 กลัวเหลือเกินว่าเขาจะไม่ไปทำงาน

บทที่ 159 กลัวเหลือเกินว่าเขาจะไม่ไปทำงาน
โดย

บทที่ 159 กลัวเหลือเกินว่าเขาจะไม่ไปทำงาน

“มันไม่ใช่ปัญหาใหญ่หรอก”

หลินชิงเหอเอ่ยหลังได้ยินหล่อนพูดดังนั้น

แล้วเธอก็เล่าเรื่องของโจวเสี่ยวเม่ยให้ฟัง

“ต่อให้แม่สามีของเธอไม่พอใจที่พวกเธอสองคนย้ายออกจากบ้าน แต่ท่านก็คงจะดีใจที่ได้เลี้ยงหลานเวลาที่เธอส่งเงินให้ เพราะนั่นก็คือหลานชายของท่านเหมือนกัน” หลินชิงเหอบอก

เสิ่นอวี้ตะลึงไปเมื่อได้ยินดังนี้ “เอาหลานชายไปให้เลี้ยงแล้วยังต้องจ่ายเงินให้อีกเหรอคะ?”

“เงินมันกันไม่ให้ผีหลอกได้นะ” หลินชิงเหอตอบ

เสิ่นอวี้พอเข้าใจในความหมายได้ราง ๆ แต่หล่อนก็ยังอิดออดที่จะให้เงิน

หลินชิงเหอไม่พูดอะไรมาก พูดแค่นี้แล้วก็พอแค่นี้

หลังเอ่ยลาเสิ่นอวี้แล้ว หลินชิงเหอก็กลับมาที่บ้านหลังซื้อของเสร็จ

“แม่ไม่รักผมแล้วเหรอ!” เมื่อเห็นเธอกลับมาบ้าน เจ้าสามก็เริ่มกล่าวหาแม่

“ทำไมแม่จะไม่รักลูกแล้วล่ะ” หลินชิงเหอหัวเราะ เธอแกะซองลูกอมออกและตั้งท่าจะยัดมันใส่ปากเขา

แต่เจ้าสามกลับเมินหน้าหนี เขาสามารถต้านทานต่อแรงยั่วเย้าใจของลูกอมได้แล้วจริง ๆ

“แม่ครับ อย่าคิดจะหลอกล่อผมด้วยของเล็ก ๆ แบบนี้เลย” เจ้าสามบอก

“ลูกกินน้ำตาลมากเกินไปก็เลยขบถกับแม่ใช่ไหม?” หลินชิงเหอใส่ลูกอมเข้าปากขณะเอ่ยกลับ

เจ้าสามยังคงเงียบ

จนหลินชิงเหอต้องตะล่อม “บอกแม่มาสิว่าทำไมจู่ ๆ ลูกถึงมีอารมณ์อ่อนไหวขนาดนี้”

“แม่ไม่พาผมเข้าไปในเมืองนี่ครับ” เจ้าสามบ่น

“งั้นคราวหน้าแม่จะพาไปเดินเล่นที่นั่นด้วยนะ ถ้าลูกเดินเล่นไปทั่วอำเภอตัวคนเดียว แม่ไม่อนุญาต” หลินชิงเหอบอก

เจ้าสามตาโต “แม่ไม่ได้พูดปลอบผมจริง ๆ ใช่ไหมครับ?”

หลินชิงเหอยื่นถุงพุทราจีนให้ “นี่เป็นของที่พี่เสี่ยวซีเขาอยากซื้อน่ะ เอาไปให้เขาที”

“แม่ครับ แล้วลูกอมผมล่ะ” เจ้าสามยื่นมือออกมา

“หมดแล้วล่ะ” หลินชิงเหอเมินเขาและหมุนตัวเดินไปที่ลานหลังบ้าน

เจ้าสามนำพุทราจีนไปส่งเป็นอันดับแรก จากนั้นก็กลับมาเกาะติดกับแม่

“วันนี้ลูกทำอะไรบ้างน่ะ?” หลินชิงเหอถามเขา

วันนี้เธอไม่มีอะไรต้องทำก็เลยเดินทางเข้าไปในอำเภอบ่อยขึ้น

“ผมออกไปเก็บไข่นกน่ะครับ” เจ้าสามเอ่ย

“ไปเก็บมะเขือเทศมากินเสียสิ” หลินชิงเหอสั่ง

“แม่ แล้วลูกอมผมล่ะครับ?” เจ้าสามจ้องมองเธอ

หลินชิงเหอยิ้มกริ่ม “หมดเวลาแล้ว แม่ให้ลูกแต่ลูกไม่เอาเอง ถึงตอนที่ลูกจะกินมันก็หมดแล้วล่ะ”

“แม่มันคนตะกละ” เจ้าสามบ่น

“ถ้าแม่ไม่ตะกละ แล้วจะมีลูกได้อย่างไรล่ะ เจ้าตะกละน้อยเอ๊ย?” หลินชิงเหอหัวเราะ

เจ้าสามหัวเราะเช่นกัน เขาเก็บมะเขือเทศมาล้างกิน จากนั้นก็เอ่ยขึ้น “แม่ครับ ผมอยากไปโรงเรียนเหมือนกัน”

“ลูกต้องรออีกสองปีน่ะ จริงสิ ทำไมวันนี้ลูกกลับมาเร็วล่ะ?” หลินชิงเหอถาม

ปกติเด็กแสบคนนี้ไม่ได้กลับบ้านจนกว่าจะเล่นจนถึงห้าโมงหรือหกโมง แต่วันนี้แค่สี่โมงเย็นเขาก็กลับมาแล้ว

“ลูกแก้วของเพื่อน ๆ มันพัง ผมก็เลยไม่อยากเล่นกับพวกเขาอีกแล้ว” เจ้าสามตอบ

หลินชิงเหอหัวเราะขำ

เด็กพวกนี้ก็มีกฎของตัวเองอยู่เหมือนกัน

แค่หันหน้ามา พวกเขาก็เล่นด้วยกันได้หลังทะเลาะกันไปแล้ว แต่ถ้าลูกแก้วใช้เล่นไม่ได้ พวกเขาก็จะไม่เล่นด้วยกัน ไม่ว่าจะมีกติกาดีแค่ไหนก็ตาม

“ผมให้โก่วจื่อไปลูกหนึ่ง แต่เขาทำมันหายและขอใหม่อีกลูก ผมมีอยู่ไม่เยอะแล้ว” เจ้าสามพูดต่อ

“งั้นลูกก็เล่นซ่อนแอบกันสิ” หลินชิงเหอเสนอ

ในตอนนี้กองข้าวสาลีจำนวนมากถูกรวบรวมไปไว้นอกแปลง มันจึงเป็นสถานที่เหมาะให้เด็ก ๆ พวกนี้เล่นซ่อนแอบกัน

“ไม่เอา มันคัน” เจ้าสามบอก

ไม่นานนักหลินชิงเหอก็ต้องทำความสะอาดแปลงผัก ส่วนเล้าหมูกับเล้าไก่เป็นหน้าที่ของโจวชิงไป๋ต้องจัดการ เธอยังคงรักษากฎเก่า ๆ อยู่ ว่าเธอจะทำงานให้ในช่วงการเก็บเกี่ยวฤดูร้อนกับฤดูใบไม้ร่วง และโจวชิงไป๋เป็นคนจัดการในเวลาที่เหลือ

หลินชิงเหอเก็บฝักถั่วมาได้หนึ่งกำมือ เย็นวันนี้พวกเขาจะกินผัดหมูใส่ถั่ว กับซุปมะเขือเทศใส่ไข่คนโรยต้นหอม สองอย่างนี้นับว่าเพียงพอแล้ว

แทบจะไม่มีมะเขือเทศในสวนหลังบ้านเหลืออยู่ เถาของมันถูกเก็บรวบรวมไปแล้ว

“แม่ครับ คืนนี้เราจะกินหมั่นโถวถั่วแดงกันหรือเปล่า?” เจ้าสามถาม

“เราจะทำหมั่นโถวถั่วแดงพรุ่งนี้น่ะ วันนี้ทำไม่ทันแล้ว” หลินชิงเหอตอบ

เจ้าสามไม่ได้เอ่ยอะไร หลังกินมะเขือเทศเสร็จเขาก็ออกไปที่ทางเข้าบ้านเพื่อเล่นลูกแก้วคนเดียว

ท่านแม่โจวอุ้มซูเฉิงน้อยมาหา เด็กชายสามารถยืนด้วยตัวเองได้แล้วเมื่อไม่นานมานี้ แต่เขาก็ยังทำได้แค่ยืนและยังเดินไม่ได้

เมื่อเดือนที่แล้วซูต้าหลินเพิ่งมาหาพร้อมกับข่าวดีที่ว่าโจวเสี่ยวเม่ยตั้งครรภ์อีกแล้ว

ต้องบอกว่าคนยุคนี้มีสภาพร่างกายแข็งแรงดีจริง ๆ พวกเขามีลูกกันได้ง่ายดายมาก

ในตอนนั้นเองหลินชิงเหอก็ไม่กล้ามองหน้าโจวชิงไป๋ ชายคนนี้อยากให้เธอมีลูกอีกคนหนึ่งอยู่เสมอ แต่เธอก็ให้กำเนิดลูกไม่ได้

ท่านแม่โจวเดินเข้ามาหมายจะช่วย แต่หลินชิงเหอก็ห้ามไว้ก่อน “คุณแม่ดูแลซูเฉิงน้อยเถอะค่ะ อย่าให้เขาหยิบลูกแก้วของเจ้าสามเข้าปากนะคะ”

เด็กในวัยนี้จะคว้าทุกอย่างที่เห็นแล้วเอาใส่ปาก เขายังอยู่ในวัยที่สำรวจโลกกว้างด้วยปาก แต่ไม่อาจปล่อยให้เขากินทุกอย่างได้

ท่านแม่โจวจึงไม่เข้าไปยุ่งเมื่อเห็นการเคลื่อนไหวอันรวดเร็วของหญิงสาว นางคลี่ยิ้มและเอ่ยขึ้น “พี่สะใภ้สามของเธอก็ท้องอีกแล้ว ช่างบังเอิญจริง ๆ”

“ท้องอีกแล้วเหรอคะ?” ริมฝีปากของหลินชิงเหอกระตุก

ตอนที่สะใภ้สามให้กำเนิดอู่นี ร่างกายของหล่อนยังไม่ได้รับความเสียหาย หลังจากนั้นหล่อนก็คลอดลูกสองคนติดต่อกัน หากนับรวมท้องนี้ไปด้วยก็เท่ากับว่าหล่อนตั้งครรภ์ครั้งที่สี่แล้ว

“หล่อนกำลังจะมีลูกชายอีกคนหนึ่ง ถ้าหล่อนเหมือนกับเธอ หล่อนก็คงจะไม่มีอีกคนหนึ่งแล้ว” ท่านแม่โจวอธิบายในทันที

จนถึงตอนนี้ท่านแม่โจวก็ยังคิดว่าเป็นเพราะลูกชายคนสุดท้องของนางไม่สามารถมีบุตรได้ นางจึงรีบพูดกลบเกลื่อนด้วยกลัวว่าสะใภ้คนนี้จะไม่พอใจ

หลินชิงเหอไม่คิดมากในเรื่องนี้ เธอเพียงรู้สึกถึงริ้วอารมณ์หนึ่งผุดขึ้นมาเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของประชากรอย่างก้าวกระโดดในสังคมยุคนี้

ตั้งแต่ตอนนี้จนถึงปี 1980 ถึงจะดูเหมือนว่าในที่สุดพวกเขาก็เริ่มวางแผนครอบครัวกัน แม้จะมีการคุยกันบ้างแล้วในตอนนี้แต่ก็ไม่มีใครสนใจ ผู้คนล้วนมีลูกกันมากตามที่ตัวเองต้องการ

หลังโจวชิงไป๋กับท่านพ่อโจวเลิกงานเสร็จ พวกเขาก็เริ่มลงมือกินอาหารเย็น

เมื่อได้เข้านอนในตอนกลางคืน โจวชิงไป๋ก็เอ่ยขึ้นมา “ผมได้ยินพี่ชายสามบอกว่าพี่สะใภ้สามท้องอีกแล้วนะ”

“ค่ะ” หลินชิงเหอตอบด้วยความรู้สึกผิดนิดหน่อย

“เรามีลูกไม่ได้นี่นะ” โจวชิงไป๋เอ่ย

“อืม” หลินชิงเหอตอบอีกครั้ง

โจวชิงไป๋พลิกตัวหันหลังให้ แล้วหลินชิงเหอจะทำอะไรได้อีกล่ะ? เธอก็ต้องปลอบเขาน่ะสิ

แต่หลังจากที่ปลอบไปได้สักพัก สถานการณ์ก็กลับตาลปัตรไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ กลายเป็นว่าหลินชิงเหอถูกกินหมดทุกส่วนทั้งภายในและภายนอก

“โจวชิงไป๋ คุณต้องไปทำงานพรุ่งนี้นะคะ!” ในที่สุดหลินชิงเหอก็เอ่ยออกมาอย่างอ่อนแรง

“ผมทำเสร็จหมดภายในวันนี้แล้ว ผมไม่ต้องไปทำงานวันพรุ่งนี้แล้ว” โจวชิงไป๋เอ่ยพลางสวมกอดรอบกายเธออย่างอิ่มเอมใจ

หลินชิงเหอได้ฟังก็กลัวขึ้นมาเล็กน้อย “คุณไม่ต้องไปทำงานนับตั้งแต่วันพรุ่งนี้เหรอคะ?”

เธอรู้จักผู้ชายของเธอดี หากเขาไม่ต้องไปทำงาน นั่นหมายความว่าวันทั้งวันเขาก็จะทำเพียงรอกินเธอ และอย่าหวังว่าเขาจะหยุดด้วย

“คุณเองก็ชอบเหมือนกันนี่ครับ” ชายผู้ภายนอกเย็นชาภายในร้อนแรงกระซิบข้างหู

หลินชิงเหอถึงกับเอ่ยในใจ ‘อย่างกับฉันจะชอบนี่ คุณไม่กลัวไตพังแต่ฉันกลัวของฉันจะพังจากการหักโหมทำไม่หยุดนี่น่ะสิ!’

“ฉันรู้สึกว่าอากาศปีนี้เย็นเร็วกว่าเดิมเล็กน้อยนะคะ พรุ่งนี้เราขอให้เด็ก ๆ มานอนที่นี่เถอะค่ะ” หลินชิงเหอเอ่ยพลางกระแอมเสียงแห้ง

“ให้พวกเขานอนกันเองเุถอะ” โจวชิงไป๋ตอบหน้าตาย

เด็ก ๆ ตัวโตขนาดนั้นแล้ว พวกเขาควรรู้จักอยู่ด้วยตัวเองบ้าง จึงไม่มีอะไรต้องอธิบายในเรื่องนี้

ยิ่งกว่านั้นในสิ้นปีนี้เขาก็จะมีโอกาสได้ใกล้ชิดภรรยาแค่ในช่วงการเก็บตัวฤดูหนาว เพราะโดยปกติแล้วหากเธอรู้ว่าเขายุ่งขนาดไหน เธอจะไม่ปล่อยให้เขาได้ทำตามที่ใจชอบแน่

…………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เจ้าสามหัดงอนแม่แล้วล่ะค่ะ แต่สู้แม่ไม่ได้หรอก ๕๕๕

ส่วนพ่อก็อดอยากมาก กินแม่เกลี้ยงเลยค่ะ ไตพังไม่สนแล้ว ขอแค่ได้แอ้มภรรยาก็พอ

ไหหม่า (海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset