บทที่ 162 ปี 1973…ปีแห่งรถไฟ

บทที่ 162 ปี 1973…ปีแห่งรถไฟ
โดย

บทที่ 162 ปี 1973…ปีแห่งรถไฟ

ท่านแม่โจวรู้ว่าหลินชิงเหอยกของหลายอย่างให้น้องชายสามตระกูลหลิน

“น้องชายของเธอช่างขี้เกรงใจจริง” ท่านแม่โจวเอ่ย นางเองก็รู้ว่าน้องชายคนนี้เพิ่งนำไก่ฟ้ามาให้ในตอนเช้าตรู่

ยิ่งกว่านั้นนางยังรู้ดีว่าสะใภ้สี่มีปฏิสัมพันธ์กับแค่น้องชายสามจากตระกูลฝั่งแม่เท่านั้น จึงไม่มีอะไรต้องพูดอีก

หลินชิงเหอไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับน้องชายสามตระกูลหลินมากนัก

มันมีเรื่องบางอย่างที่สามารถอธิบายให้ท่านแม่โจวฟังได้ และมีบางเรื่องที่หลินชิงเหอไม่อยากพูดมากนัก

หลินชิงเหอนำไก่ฟ้าตัวนี้ไปแกง เธอสับมันเป็นชิ้น ๆ จึงไม่มีเนื้อส่วนใดที่ใครจะยึดไว้กินคนเดียวได้

แกงไก่ฟ้าตุ๋นถูกยกมาตั้งทานคู่กับหมั่นโถวถั่วแดง ทำให้ทั้งครอบครัวรู้สึกพอใจมาก

ต้องบอกว่าทักษะการตุ๋นแกงของหลินชิงเหอเข้าขั้นสุดยอดเลยทีเดียว

ความจริงแล้วคนที่นี่ไม่มีนิสัยชอบกินน้ำแกงกันเท่าไหร่ หลินชิงเหอเองก็มีชีวิตชาติที่แล้วอยู่ทางตอนเหนือของประเทศ แต่เธอชอบวัฒนธรรมของทางตอนใต้มาก

โดยเฉพาะความสามารถในการปรุงน้ำแกงของคนแดนใต้ ซึ่งเธอชอบมากเหลือเกิน

ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบสารพัดชนิดอะไรก็ตาม ทุกอย่างสามารถนำมาตุ๋นเป็นน้ำแกงได้หมด

ฟังดูอาจจะเกินจริงอยู่ แต่ไม่มีอะไรที่คนภาคใต้ไม่กล้ากิน โดยเฉพาะเหล่าคนที่อยู่ในมณฑลกวางตุ้ง

หลินชิงเหอไม่ได้จะดูถูกพวกเขาหรอกนะ กลับกันเธอชอบวิธีการปรุงน้ำแกงของพวกเขามาก

วันเวลาในฤดูหนาวนี้ช่างเป็นเวลาดีที่หลินชิงเหอจะแสดงทักษะด้านนี้จริง ๆ

ติดแค่ว่ามีวัตถุดิบน้อยเกินไปหน่อย ที่ได้กินบ่อย ๆ ก็จะเป็นแกงจืดหัวไชเท้า นอกนั้นก็เป็นแกงจืดสาหร่ายกับแกงจืดกุ้งแห้ง ส่วนอย่างอื่นนั้นไม่มี

ในอากาศหนาวจนหิมะตกแบบนี้ หลินชิงเหอก็ไม่มีอะไรจะทำหลังจากช่วยท่านแม่โจวถักกางเกงไหมพรมสองตัว

ดังนั้นในแต่ละวัน เธอจึงเรียนหนังสือกับเจ้าใหญ่และเจ้ารอง ตั้งโจทย์ถามสองพี่น้องและเฉลยคำตอบที่ถูกต้องให้พวกเขา

ส่วนโจวชิงไป๋ออกไปนอกบ้านในบางครั้ง แต่บางครั้งเขาก็จะดูพวกเขาเรียนหนังสือกันที่บ้าน และเขาเองก็หยิบหนังสือมาอ่านเหมือนกัน

หลินชิงเหอบอกเขาให้ถามเธอหากมีตรงไหนไม่เข้าใจ แต่โจวชิงไป๋ไม่เคยถามเธอมาก่อนเลย หลินชิงเหอจึงรู้สึกว่าชายคนนี้สามารถเข้าใจเนื้อหาได้ด้วยตัวเอง

“ฉันได้ยินคุณแม่พูดว่าบรรพบุรุษตระกูลโจวของคุณต่างเป็นคนไร้การศึกษาทั้งหมด ตอนแรกฉันก็คิดว่าเด็ก ๆ จะได้พรสวรรค์ในการเรียนหนังสือมาจากฉัน แต่ตอนนี้เหมือนพวกเขาจะได้จุดเด่นเรื่องนี้มาจากคุณเสียแล้วสิคะ” หลินชิงเหอบอกเขา

โจวชิงไป๋มีการศึกษาดีเยี่ยมทีเดียว เขาได้เรียนถึงชั้นมัธยมต้น ซึ่งในยุคนี้ถือว่าไม่เลวเลย แต่หลังจากนั้นครอบครัวของเขาก็เผชิญกับความยากจน เขาจึงออกจากโรงเรียนเพื่อไปเป็นทหาร

แม้เขาจะได้เรียนเพียงชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น แต่ลายมือของโจวชิงไป๋ก็สวยงามมาก

มีพลัง แข็งแกร่ง และเรียบตรง คำเหล่านี้เหมือนกับตัวตนของเขา ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องโกหกเลย

“เหมือนคุณต่างหาก” โจวชิงไป๋ตอบ

ความรู้ของเขาสู้ภรรยาไม่ได้หรอก เขารู้สึกว่าภรรยาของเขาอย่างน้อยต้องจบการศึกษาระดับมัธยมปลาย หรือสูงกว่านั้น

มันเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อนัก

เขาไม่กล้าคิดไปไกลกว่านั้น ดังนั้นเขาจึงเชื่อว่าภรรยาของเขาเรียนรู้เนื้อหาในชั้นมัธยมศึกษาด้วยตัวเอง

หลินชิงเหอยิ้มโดยไม่เห็นฟันและไม่เถียงเขาในเรื่องนี้อีกต่อไป เธอหันไปพูดเรื่องของโจวเสี่ยวเม่ยแทน “ทั้งสองคงมาฉลองวันปีใหม่ปีนี้ที่นี่ไม่ได้แน่ ๆ เลยค่ะ ดังนั้นพวกเขาต้องรับเฉิงเฉิงกลับไปแทน”

“เป็นเรื่องดีนะที่ได้อยู่ด้วยกันในวันปีใหม่” โจวชิงไป๋พยักหน้า

เมื่อเห็นว่ามันเกือบได้เวลาต้องล้างเท้าและเข้านอนแล้ว โจวชิงไป๋ก็ลุกไปตักน้ำใส่หม้อให้ทั้งคู่ได้ล้างเท้า

ก่อนที่หลินชิงเหอจะก้าวขึ้นเตียงเตา เธอก็มองเจ้าใหญ่กับเจ้ารอง ตามกฎแล้วมีเจ้าสามที่ได้นอนในห้องของพ่อแม่

ปีหน้าเขาจะมีอายุ 5 ขวบแล้ว และจะมานอนรวมกับพี่ชายทั้งสองโดยไม่กลับมานอนกับพ่อแม่อีก

เมื่อเธอกับโจวชิงไป๋ก้าวขึ้นเตียงเตา เจ้าสามก็นอนหลับปุ๋ยเป็นลูกหมูไปแล้ว

แล้วก็เป็นเหมือนเคยที่โจวชิงไป๋อยากจะจ่ายทบต้นทบดอกกับเธอ แต่หลินชิงเหอก็เอ่ยขึ้นมา “คืนนี้ไม่สะดวก นอนเถอะนะคะ”

โจวชิงไป๋ได้ยินก็ยอมจำนน จากนั้นก็นอนกอดภรรยาจนหลับไป

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนถึงวันสิ้นปี ซูเฉิงน้อยถูกซูต้าหลินมารับไปฉลองปีใหม่ในเมือง

ส่วนฝ่ายผลิตแบ่งเนื้อส่วนสุดท้ายของปี ทุกคนต่างพร้อมที่จะฉลองเทศกาลปีใหม่

ปีนี้เป็นปีค.ศ. 1972 แล้ว

หลังปีใหม่นี้ก็จะเข้าสู่ปี 1973 ซึ่งเป็นปีแห่งรถไฟ

ต้องบอกว่าต่อให้หลินชิงเหอจะรอคอยให้ถึงปี 1977 ทุกวัน แต่เธอก็รู้สึกใจหาย เวลาช่างผ่านไปเร็วจริง ๆ

“พรุ่งนี้เจ้าใหญ่จะมีอายุ 9 ขวบแล้ว” หลินชิงเหอพลันรู้สึกอ่อนไหวขึ้นมาในคืนวันสิ้นปี

พรุ่งนี้เป็นวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งเจ้าใหญ่จะมีอายุครบ 9 ขวบ เจ้ารองจะมีอายุ 7 ขวบ แม้แต่เจ้าสามที่มีอายุเพียงขวบเดียวและยังพูดไม่ได้ในตอนที่เธอทะลุมิติมาใหม่ ๆ ก็จะมีอายุ 5 ขวบแล้ว

เวลาผ่านไปเร็วอย่างมาก รู้สึกราวกับว่าเรื่องราวต่าง ๆ ยังไม่เกิดขึ้น เวลา 4 ปีได้ผ่านไปในชั่วพริบตาเดียว

โจวชิงไป๋ไม่ได้พูดอะไร แต่กระชับอ้อมแขนรอบกายภรรยาแน่นขึ้น

เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเวลาแต่ละปีผ่านไปเร็วมาก แต่นั่นก็คือชีวิต

“ชิงไป๋ ถ้าฉันแก่และน่าเกลียดแล้วคุณจะรังเกียจฉันไหมคะ?” หลินชิงเหอเอ่ย

โจวชิงไป๋เงียบไป

“คุณไม่ต้องตอบหรอกค่ะ ฉันรู้ว่าคุณต้องรังเกียจแน่ ผู้ชายก็เป็นแบบนี้แหละ ไม่มีดีแม้แต่คนเดียว ทุกคนล้วนใจคอโลเลกันหมด ถ้ามีสาว ๆ สวย ๆ เข้ามา พวกคุณจะสนใจความเป็นความตายของหญิงหน้าเหลืองน่าเกลียดที่บ้านเหรอ?” หลินชิงเหอเอ่ยต่อ

โจวชิงไป๋ยังคงเงียบ

“คุณไม่ตอบแบบนี้ก็แสดงว่าคุณยอมรับน่ะสิคะ เป็นอย่างที่คิดเลยว่ากาทุกตัวบนโลกยังไงก็เป็นสีดำ” หลินชิงเหอแค่นเสียงเย็นชา

จากนั้นโจวชิงไป๋ก็ทำให้ภรรยาได้เห็นว่า ‘ไม่ทอดทิ้งภรรยาที่อยู่กับเขาไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์’ นั้นเป็นอย่างไร

หลังจากเสร็จกิจแล้ว โจวชิงไป๋ก็ตอบเสียงหอบ “ผมไม่รังเกียจคุณหรอกครับ”

‘ก่อนหน้านี้คือเสแสร้งสินะ’ หลินชิงเหอพึมพำในใจ จากนั้นก็หลับอย่างมีความสุขในอ้อมแขนของเขา เธอไม่กล้าทำตัวเป็นไต้อวี้ฝังบุปผา(1) ต่อแล้ว

ชายที่แข็งแกร่งราวเหล็กกล้าคนนี้ไม่รู้จักปลอบโยนเธอ แต่เขาก็มีวิธีปลอบเธอในแบบของเขา

ยกตัวอย่างเช่น หากเธอบอกว่าเขารังเกียจเธอ เขาก็จะแสดงให้เห็นว่าเขารังเกียจเธอหรือเปล่า

กล่าวได้ว่าตั้งแต่ที่โจวชิงไป๋กลับมาอยู่บ้านหลายปีนี้ ความสนใจในตัวเธอของเขาไม่ได้ลดน้อยลงเลย

มันมีคำกล่าวว่าชายหญิงที่แต่งงานกันแล้วจะมีช่วงเวลาข้าวใหม่ปลามันกันแค่ปีครึ่ง แต่หลังจากนั้นจะบริสุทธิ์ยิ่งกว่านักพรตไม่ใช่หรือ?

กล่าวกันว่าหากทั้งคู่นอนเปลือยกายด้วยกันได้เป็นปกติก็เป็นอันว่าพวกเขาไม่มีใจที่จะมีสัมพันธ์ต่อกัน แต่ทำไมผู้ชายของเธอถึงยังมีความรู้สึกเสน่หาอยู่นักล่ะ?

ความกระตือรือร้นและแรงปรารถนาในเรื่องนี้ยังคงเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน

ไม่ว่าหลินชิงเหอจะครวญคร่ำอย่างไร เธอก็ยังพอใจอย่างมาก

ทั้งสองนอนหลับไปทั้งที่ยังกอดก่ายกัน

วันรุ่งขึ้นเป็นวันขึ้นปีใหม่แล้ว

น้องชายสามตระกูลหลินพาลูกสาวสองคนมาเยี่ยมเยียนในวันปีใหม่

สะใภ้สามตระกูลหลินไม่ได้พาลูกสาวคนสุดท้องมาด้วยเพราะว่ายังเล็กอยู่ อีกอย่างหนึ่งก็คือหล่อนรู้สึกอับอายเล็กน้อย

หลินชิงเหอให้กำเนิดลูกชายสามคน ขณะที่สะใภ้สามตระกูลหลินให้กำเนิดลูกสาวสามคน

ถึงหล่อนจะเป็นสะใภ้สามตระกูลหลิน หล่อนก็ไม่อาจรู้สึกภาคภูมิใจได้

เพราะยุคนี้ให้ความสำคัญกับลูกชายเป็นพิเศษ

“พี่อย่าคิดมากเลยนะครับ หล่อนท้องอีกแล้วน่ะครับ” น้องชายสามตระกูลหลินเหมือนจะรู้ความคิดของเธอจึงเอ่ยขึ้นมา

หลินชิงเหออึ้งไป “ลูกสาวนายอายุได้แค่หกเดือนหล่อนก็ท้องอีกแล้วเหรอ?”

…………………………………………………………………………………

(1)ฉากหนึ่งในวรรณกรรมคลาสสิกของจีนเรื่อง ความฝันในหอแดง เป็นตอนที่หลินไต้อวี้ นางเอกของเรื่องเข้าใจผิดกับเจี่ยเป่าอี้คนรักของนาง นางจึงเดินมาที่เนินเขาและขุดดินฝังกลีบดอกไม้บนพื้นพร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญเป็นลำนำอันไพเราะเพื่อระลึกถึงดอกไม้ที่เหี่ยวเฉาโรยราเหล่านั้น ทำให้เจี่ยเป่าอี้ที่แอบฟังอยู่ถึงกับโศกเศร้าไปด้วย

สารจากผู้แปล

ตอนนี้ได้เห็นความรู้ของพ่อแล้วล่ะค่ะ นอกจากสามแสบจะฉลาดได้แม่แล้ว ยังฉลาดได้พ่ออีกนะคะ

แม่งอนพ่อแบบนี้คืองอนพ่อจริง ๆ หรืออะไรคะ ทำไมหลังจากนั้นแม่ดูแฮปปี้มีความสุขล่ะ ๕๕๕

ทางบ้านน้องชายตระกูลหลินได้ลูกสาวเพิ่มอีกแล้วค่ะ หลินชิงเหอจะว่าอย่างไร ติดตามตอนหน้านะคะ

ไหหม่า (海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset