บทที่ 167 ฉันแค่อยากจะสอนหนังสือ

บทที่ 167 ฉันแค่อยากจะสอนหนังสือ
โดย

บทที่ 167 ฉันแค่อยากจะสอนหนังสือ

จากการที่ฝนตกหนักแบบนี้ ทำให้หลินชิงเหอไม่ได้เรียกท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวให้มากินข้าวที่บ้าน เธอเก็บอาหารไว้ในภาชนะบรรจุและให้เจ้าใหญ่นำไปส่งที่บ้านใหญ่

ไม่นานนักทั้งครอบครัวก็ตื่นนอนกันหมด จากนั้นจึงแปรงฟัน และกินอาหารเช้า

หลังกินอาหารเสร็จ โจวชิงไป๋ก็สวมเสื้อกันฝนเดินไปที่สวนหลังบ้านเพื่อให้อาหารหมูกับไก่ จากนั้นก็ออกจากบ้านพร้อมกับจอบอันหนึ่ง เนื่องจากฝนตกหนักมาก ทำให้เขาต้องไปตรวจดูว่าน้ำในแปลงนาระบายออกดีหรือไม่

ต่อให้พวกเขาไม่ต้องทำงานในแปลงนา แต่ยังต้องตระเวนตรวจแปลงอยู่ดี

หลินชิงเหอถึงกับคร่ำครวญว่าทำไมคนยุคนี้ที่ต้องพึ่งพาฟ้าฝนเพื่อจะได้อาหารมากินถึงมีชีวิตยากลำบากขนาดนี้

“พ่อทำงานหนักมากเลยครับ” เจ้าสามเอ่ยขึ้นมาเช่นกัน

งานหนักน่ะสิ เพราะเขาต้องออกไปข้างนอกขณะที่ฝนกำลังเทกระหน่ำนี่?

“ใช่จ้ะ ถ้าลูกมีงานทำ ลูกจะไม่ต้องทำงานหนักแบบนี้” หลินชิงเหอบอก “เจ้าใหญ่ เจ้ารอง ลูกคิดว่ายังไง?”

ทั้งเจ้าใหญ่กับเจ้ารองต่างเห็นด้วย จากนั้นสองพี่น้องก็เรียนหนังสือกัน

ส่วนหลินชิงเหอก็ตัดเย็บเสื้อผ้าที่ยังตัดไม่เสร็จต่อ

ไม่นานนักโจวชิงไป๋ก็กลับมา มันไม่มีปัญหาใหญ่อะไรต้องกังวล อีกอย่างการที่ฝนตกในหลายวันนี้ทำให้เขาไม่ต้องรดน้ำต้นกล้าที่ปลูกไว้ ดังนั้นมันจึงไม่มีอะไรให้ทำมากนัก

“ฉันตัดเสื้อใหม่ให้คุณสองตัวนะคะ ส่วนตัวเก่า ๆ จะให้น้องชายของฉันตอนที่เขาว่างมาหา ดีไหมคะ?” หลินชิงเหอถาม

“คุณไม่ต้องตัดให้ผมหรอก ตัดให้คุณเองสองชุดเถอะ” โจวชิงไป๋บอก

หลินชิงเหอยิ้มกริ่มและตอบกลับ “เสื้อผ้าของฉันไม่ค่อยมีรอยขาดหรอกค่ะ ไม่เหมือนเสื้อผ้าของพวกคุณ”

พูดถึงเรื่องนี้แล้ว เธอไม่ได้ตัดเสื้อหลายชุดนักตั้งแต่ทะลุมิติมาที่นี่ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเสื้อผ้าเดิมของเจ้าของร่างเดิม ถึงอย่างนั้นพวกมันก็ยังมีสภาพดี อีกอย่างหนึ่งเธอก็ไม่ขาดเสื้อผ้าที่จะสวมใส่ จึงไม่จำเป็นที่จะต้องตัดเสื้อผ้าใหม่ให้ตัวเอง

โจวชิงไป๋จ้องมองภรรยา เขารู้ว่าคนในหมู่บ้านมีความคิดไม่ดีต่อภรรยาของเขา พวกเขาพากันพูดว่าเธอไม่รู้จักใช้ชีวิต แต่ความจริงแล้วเขาเป็นคนที่รู้ดีที่สุดว่าเธอเป็นแบบนั้นหรือไม่

ปกติแล้วของดีทุกอย่างล้วนเป็นของเขากับเด็ก ๆ ส่วนของของเธอเองมักจะขึ้นกับสถานการณ์ความเหมาะสม

โจวชิงไป๋ไม่ใช่คนปากหวาน เขารู้อยู่ในใจว่าเธอทุ่มเทให้กับครอบครัวนี้ขนาดไหน ทั้งหมดเป็นเพราะเธอที่ทำให้ทั้งครอบครัวมีชีวิตชีวาได้ในตอนนี้

“คุณมองฉันแบบนี้ทำไมคะ?” หลินชิงเหอเหลือบมองเขาขณะกำลังเย็บสาบคอเสื้อ เมื่อเห็นเขาเอาแต่จ้องมองเธอแบบนี้ หญิงสาวก็ถามด้วยความสงสัย

“ตัดให้คุณเองสักสองตัวเถอะ” โจวชิงไป๋ยังคงยืนยันคำเดิมขณะจ้องมองเธอ

“ค่ะ” หลินชิงเหอหัวเราะในลำคอจากนั้นก็เย็บเสื้อผ้าต่อ

คนหนึ่งนั่งเย็บผ้า ขณะที่อีกคนหนึ่งมองคนเย็บเสื้อผ้า เป็นอะไรที่ไม่น่าเบื่อเลย

“ปีนี้ต้องเลาะเสื้อกันหนาวของเจ้าใหญ่มาถักใหม่แล้วนะคะ เด็กคนนี้เหมือนกับคุณเลยที่อนาคตจะกลายเป็นคนตัวสูง” หลินชิงเหอเอ่ยเจื้อยแจ้ว

“คุณอย่าหักโหมมากนะ” โจวชิงไป๋ตอบ

“มันไม่เหนื่อยหรอกค่ะ ที่บ้านก็มีอะไรให้ทำอยู่ตลอด” หลินชิงเหอบอก

แม้เธอจะสามารถเรียนภาษาจีน คณิตศาสตร์ และภาษาอังกฤษในยามว่างเพื่อจะให้สอบผ่านได้ แต่เธอก็ต้องทำงานบ้านที่ควรทำทั้งหมดให้เสร็จ ไม่อย่างนั้นมันจะรู้สึกคันยุบยิบอยู่ในใจ

“จริงสิ โรงเรียนมัธยมต้นในตำบลต้องการครูไหมคะ? ฉันรู้สึกอยากสอนหนังสือขึ้นมาน่ะค่ะ” หลินชิงเหอเปลี่ยนประเด็น

“สอนหนังสือ?” โจวชิงไป๋เอ่ยอย่างประหลาดใจ

“ไม่ดีเหรอคะ?” หลินชิงเหอปรายตามองเขา

“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ ถ้าคุณอยากสอนหนังสือ คุณต้องสอบก่อนน่ะ” โจวชิงไป๋บอกขณะมองภรรยา

เขาไม่คิดเลยว่าภรรยาจะมีความคิดแบบนี้ เขาเคยเห็นลายมือของเธออยู่และคิดว่าเธอเขียนหนังสือสวยมาก เพียงแต่ว่างานสอนหนังสือไม่ใช่งานง่าย ๆ เท่านั้น

“มีสอบก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ยิ่งกว่านั้นเมื่อไหร่ที่มหาวิทยาลัยคนงาน ชาวนา และทหารเปิด การศึกษาก็จะกลายเป็นเรื่องสำคัญ โรงเรียนมัธยมต้นในอำเภอจะต้องให้ความสนใจมากขึ้นแน่ ๆ ค่ะ” หลินชิงเหอบอก

เธอแค่รู้สึกว่าไม่อาจนั่งรออยู่เฉย ๆ ได้ถูกไหมล่ะ?

ยังมีเวลาเหลืออีกไม่กี่ปีเท่านั้น เธอจะต้องหาอะไรบางอย่างมาทำฆ่าเวลาไปก่อน

อย่างเช่นการเป็นครูสอนหนังสือ แม้เธอจะไม่เคยทำงานนี้มาก่อน แต่มันก็ไม่น่าจะยาก ก็แค่สอนหนังสือให้นักเรียนระดับมัธยมต้นเท่านั้นเอง

โจวชิงไป๋ฟังที่เธอพูดมาก็รู้แล้วว่าเธอเอาจริง เขาจึงอ้ำอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยออกมา “งั้นผมจะไปถามกับทางตำบลให้นะ”

“อย่าเพิ่งไปตอนนี้นะคะ ฝนกำลังตกหนักเลย” หลินชิงเหอเอ่ยทันทีเมื่อเห็นว่าเขากำลังจะออกจากบ้าน

“ไม่เป็นไรหรอก” โจวชิงไป๋ส่ายหน้า จากนั้นก็สวมเสื้อกันฝนและขี่จักรยานไปที่ตำบลเพื่อพบครูใหญ่

ครูใหญ่ของโรงเรียนมัธยมต้นประจำตำบลรู้จักโจวชิงไป๋ดี เพราะชายหนุ่มเองก็เคยเป็นนักเรียนโรงเรียนมัธยมต้นของที่นี่เหมือนกัน

“โรงเรียนมัธยมต้นของเราจะรับสมัครครูคณิตศาสตร์ในภาคการศึกษาหน้าแน่ ๆ ครับ แต่ภรรยาของคุณจะสอนได้เหรอ?” ครูใหญ่ของโรงเรียนได้ยินถึงกับอึ้ง

อย่างที่หลินชิงเหอบอกว่ามหาวิทยาลัยคนงาน ชาวนา และทหารกำลังรับสมัครนักเรียน การศึกษาที่เคยซบเซาจะค่อย ๆ ฟื้นฟูอีกครั้ง จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องรับสมัครครูสอนคณิตศาสตร์เพิ่ม

ทางเลือกอย่างแรกก็คือคัดเลือกกันในหมู่นักศึกษาคนเมืองที่อยู่ตามชนบท

“ภรรยาผมสอนได้ครับ” โจวชิงไป๋พยักหน้า

เขารู้ว่าภรรยาของเขาทำงานหนักแค่ไหน เขายังเคยเห็นโจทย์ที่เธอให้เจ้าใหญ่ทำแล้วก็คิดว่ามันยากด้วย

ชายหนุ่มรู้สึกว่าการศึกษาของภรรยาต้องอยู่ในระดับมัธยมศึกษาแล้วแน่ ๆ เธอคงไม่ด้อยกว่าเหล่าคนหนุ่มสาวจากในเมืองที่ได้รับการศึกษาหรอก

ครูใหญ่ประจำโรงเรียนนี้ถึงกับเอ่ยในใจ ‘อย่าบอกนะว่าคุณถูกภรรยาทำเสน่ห์เข้าแล้ว?’

“หลังการเก็บเกี่ยวฤดูร้อนนี้จะมีการจัดสอบขึ้น จะมีการถามโจทย์ในทันทีและต้องให้คำตอบในทันที ดังนั้นจะไม่มีใครโกงได้ หากภรรยาของคุณอยากจะเป็นครูที่นี่ก็ให้เธอมาลองสอบดูในตอนนั้นนะครับ” ครูใหญ่ไม่ได้ตอบปฏิเสธ แต่ให้ข้อเสนอมาดังนี้

หากเธอสอบไม่ผ่านในตอนนั้นก็โทษใครไม่ได้ และแน่นอนว่าเมื่อถึงตอนนั้นเขาก็สามารถให้คำอธิบายกับโจวชิงไป๋ได้

โจวชิงไป๋ได้ยินแล้วก็กลับมารายงานสิ่งที่เกิดขึ้น

หลินชิงเหอได้ฟังก็ยินดีมากและรีบถามรัวเร็ว “แล้วจะได้ค่าจ้างเท่าไหร่เหรอคะ?”

โจวชิงไป๋รู้เรื่องนี้ ว่าพวกเขาสามารถรับแต้มค่าแรงได้หากสอนหนังสือ คิดเป็นจำนวน 5 แต้ม นอกจากนี้ยังมีเงินเดือนที่คิดเป็น 13 หยวนต่อเดือน ส่วนคูปองต่าง ๆ จะได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับสถานการณ์

หลังการฟื้นฟูมหาวิทยาลัยคนงาน ชาวนา และทหาร ทั้งโรงเรียนมัธยมต้นประจำตำบลกับโรงเรียนมัธยมปลายประจำอำเภอก็กลายเป็นสถานที่ฝึกคนไปโดยปริยาย หากทางโรงเรียนสามารถผลิตนักศึกษามหาวิทยาลัยคนงาน ชาวนา และทหารที่ตอบรับนโยบายจากทางรัฐได้ มันจะน่าภาคภูมิใจขนาดไหน?

เรื่องนี้ยังไม่ได้รับการยืนยันชัดเจนนัก หากมันแพร่ออกไปก็คงจะสร้างความขบขันอย่างแน่นอน เพราะมันเป็นเรื่องตลกชัด ๆ ที่หลินชิงเหอจะเป็นครูสอนหนังสือในชุมชนนี้

ดังนั้นหลินชิงเหอจึงบอกโจวชิงไป๋ไม่ให้พูดอะไรออกไป แม้แต่ท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวก็อย่าให้รับรู้

หลินชิงเหอไม่รู้ว่าบรรดานักศึกษาคนเมืองมีความสามารถระดับไหน ในเมื่อตำแหน่งครูคณิตศาสตร์มีเพียงตำแหน่งเดียว หญิงสาวจึงไม่กล้าชะล่าใจแม้แต่น้อย ใครจะรู้ล่ะว่าเด็ก ๆ นักศึกษาคนอื่นจะมีความสามารถกันแค่ไหน?

ในช่วงต่อมา หลินชิงเหอก็ได้เรียนรู้ตำราการเรียนการสอนระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น จนกระทั่งถึงระดับมัธยมศึกษาตอนปลายอย่างเป็นระบบระเบียบอีกครั้ง เธอกำลังรอคอยการสอบคัดเลือกครูประจำโรงเรียนมัธยมต้นในตำบลที่จะเกิดขึ้นหลังการเก็บเกี่ยวฤดูร้อน

และท่านแม่โจวก็เห็นความพยายามนี้ของเธอ

นอกจากทำงานบ้านทุกอย่างที่ต้องทำจนเสร็จแล้ว สะใภ้สี่ยังจับหนังสืออย่างต่อเนื่อง

และอย่างที่คิด ท่านแม่โจวคงจะถามว่าทำไมจู่ ๆ เธอถึงเกิดขยันขึ้นมาตอนนี้?

หลินชิงเหอตอบด้วยปฏิภาณว่าเธอต้องการสอนเจ้าใหญ่ที่กำลังจะขึ้นชั้นประถมศึกษาปีที่ห้าในภาคการศึกษาหน้า เธอจะสอนเขาได้อย่างไรถ้าไม่ขยัน?

ท่านแม่โจวจึงตรวจสอบเรื่องนี้กับเจ้าใหญ่ แล้วเจ้าใหญ่ก็บอกว่าโจทย์ที่ครูในโรงเรียนตั้งยาก ๆ ยังสู้โจทย์ที่แม่เขาตั้งไม่ได้เลย

…………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

นับถือความเคารพเมียของพ่อจังค่ะ เมียอยากได้อะไรไปทำให้ทันทีเลย

แม่โป๊ะแล้วค่ะ ลืมเตี๊ยมเจ้าใหญ่ ขอให้แม่หาเหตุผลแก้ต่างกับท่านแม่โจวให้ได้นะคะ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset