บทที่ 178 เป็นชู้

บทที่ 178 เป็นชู้
โดย

บทที่ 178 เป็นชู้

จักรยานที่เขาขี่เป็นจักรยานที่โจวเสี่ยวเม่ยทิ้งไว้ให้ตอนแต่งงาน ซึ่งตอนนั้นซูต้าหลินให้ของขวัญใหญ่ประจำครอบครัวมาสี่อย่าง แต่ท่านแม่โจวเก็บเพียงจักรยานคันนี้ไว้

มันอยู่ที่บ้านตระกูลโจวเสมอมา ซึ่งถ้าพี่ชายคนไหนต้องการใช้มันก็ยืมไปใช้ได้

ครั้งนี้โจวชิงไป๋เป็นคนใช้มัน เนื่องจากหลินชิงเหอต้องขี่จักรยานของครอบครัวไปทำงาน

แต่ในวันที่มีการแจกจ่ายเนื้อหมู หลินชิงเหอก็ขอลากิจ ในโรงเรียนยังมีเฉินซานที่ทำหน้าที่เป็นครูสำรองอยู่ไม่ใช่เหรอ เธอไม่ปล่อยให้เขาได้เงินเดือนเปล่า ๆ โดยไม่ทำอะไรหรอก

การมีเฉินซานเป็นครูสำรอง ทำให้หลินชิงเหอสามารถลาพักได้ 2 วันในทุกเดือน เธอไม่เคยขอลาพักมาก่อน ดังนั้นลาพักวันเดียวก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

การแจกจ่ายเนื้อหมูรอบนี้ก็เหมือนกับปีก่อน ๆ ตรงที่ครอบครัวของหลินชิงเหอได้ส่วนแบ่งในปีนี้ไปมากที่สุด เป็นอย่างที่คิดไว้โดยไม่ต้องพูดถึงเลย

ปีนี้หลินชิงเหอขอเลือดหมูได้เพิ่มเติมจากตำแหน่งคุณครูของเธอ ซึ่งการกินเลือดหมูจะช่วยชะล้างผงชอล์กในปอดไปได้บ้าง

สำหรับเนื้อส่วนที่เหลือนั้น เธอก็นำมันกลับไปพร้อมกับลูกชายสามคน เช่นเดียวกับท่านแม่โจวและลูกชายทั้งสองของโจวเสี่ยวเม่ย

ซูเฉิงน้อยมีท่าทีตื่นเต้นอย่างเห็นชัด “กินเนื้อ กินเนื้อ”

“ไส้หมูผัดกับผักดองอร่อยมากเลยนะ” เจ้าสามพยักหน้า

ซูเฉิงน้อยได้ยินก็น้ำลายสอจนแทบหกจากปาก

เจ้าใหญ่กับเจ้ารองเองก็ดีใจเหมือนกัน วันนี้สองพี่น้องไม่จำเป็นต้องไปเรียน โรงเรียนประถมของฝ่ายผลิตหยุดเรียนหนึ่งวันเนื่องจากวันนี้เป็นวันเชือดหมู

กล่าวดังนี้แล้ว มันก็ถือว่าการเรียนการสอนของโรงเรียนนี้หย่อนยานอย่างยิ่ง

ท่านแม่โจวกับหลินชิงเหอเริ่มคัดแยกเนื้อในทันทีที่กลับมาบ้านเหมือนอย่างเคย

ไส้ใหญ่หมูกับกระเพาะหมูถูกส่งให้ท่านแม่โจวจัดการ ในขณะที่หลินชิงเหอรีบตัดก้อนไขมันไปสกัดเป็นน้ำมันหมู

น้ำมันที่บ้านลดพร่องเร็วมาก น้ำมัน 2 ขวดที่เธอซื้อมาคราวที่แล้วถูกใช้จนหมด ส่วนขวดสำรองที่เธอเอาออกมาจากมิติก็ถูกเปิดใช้จนเกือบหมดแล้ว

ดังนั้นในครั้งนี้เธอจึงขอเนื้อติดมันมาเป็นจำนวนมาก ซึ่งมันทำให้เธอเจียวน้ำมันขาวขุ่นออกมาใช้ได้ 2 ไหเลยทีเดียว

ไม่นานนักหลังจากนั้นมันจะเป็นช่วงเทศกาลปีใหม่ และเธอก็จะเจียวน้ำมันได้มากกว่านี้

หลังจากที่น้ำมันถูกสกัดออกมาแล้ว กากมันหมูก็ถูกตักออก เธอตักมันออกมาชามหนึ่งให้เด็ก ๆ กิน ขณะส่วนที่เหลือถูกเก็บไว้ทำอาหาร หากนำกากหมูไปผัดกับกะหล่ำปลีและผักกาดขาวก็จะทำให้อาหารมีกลิ่นหอมหวานชวนรับประทานมาก

กากหมูชามนั้นถูกแบ่งกันกินในหมู่เด็ก ๆ พวกเขาต่างมีปากมันแผลบและดวงตาเป็นประกายอย่างพึงพอใจ ซึ่งมันก็รวมถึงซูเฉิงน้อยด้วย

สองพี่น้องซูเฉิงน้อยกับซูสวิ่นน้อยต่างถูกเลี้ยงดูเป็นอย่างดีที่นี่ หลินชิงเหอไม่คิดว่าพวกเขาอ้วนเลย แต่ภายใต้มาตรฐานความงามคนในยุคนี้แล้ว ทุกคนต่างเห็นว่าหลินชิงเหอเลี้ยงดูสองพี่น้อยดีมากขนาดไหน

นอกจากนั้นคุณครูหลินยังมีนิสัยตรงไปตรงมา หนึ่งก็คือหนึ่ง สองก็คือสอง เธอไม่เคยปฏิบัติกับลูกของน้องสาวสามีอย่างทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ ลับหลังผู้เป็นมารดาของเด็กเลย

หลังแบ่งเนื้อกันในปีนี้แล้ว พวกเขาก็จะกินไส้หมูผัดกับผักดอง

ส่วนกระเพาะหมูนั้นก็จะถูกตุ๋นโดยฝีมือของหลินชิงเหอ ซึ่งอาหารหม้อนี้จะถูกเก็บไว้กินตอนเย็น

เมื่อโจวชิงไป๋กลับมาในตอนเที่ยง มันก็ยังมีไส้หมูผัดผักดองเหลืออยู่หนึ่งชาม ซึ่งเธอเหลือไว้ให้เขาเพราะคนอื่น ๆ กินข้าวกันเรียบร้อยแล้ว

“พรุ่งนี้คุณยังต้องไปอีกไหมคะ?” หลินชิงเหอถาม

แม้หมั่นโถวจะไม่ร้อนแล้ว แต่มันก็ไม่เย็นชืดเหมือนกัน เพราะเธออุ่นมันไว้ในหม้อที่ใช้งานแล้ว

“ยังต้องออกไปอีก 2-3 วันนี้น่ะ” โจวชิงไป๋ตอบ

พวกเขาได้รับของหลายอย่างที่สามารถเผาเป็นเชื้อเพลิงได้ แต่ถึงอย่างนั้นครอบครัวของเขาก็ใช้เชื้อเพลิงมากเหมือนกัน

ผู้คนจะล้างเท้ากันเพียงสามวันหรือห้าวันครั้งเท่านั้น แต่สำหรับบ้านของหลินชิงเหอแล้วทุกคนต้องล้างเท้ากันทุกวัน ยิ่งกว่านั้นมันยังเป็นน้ำผสมขิงด้วย

และนี่ก็เป็นแค่ส่วนของเด็ก ๆ ส่วนตัวของเธอเองนั้นจะต้มน้ำและขัดถูตัววันเว้นวัน เธอยังบอกให้โจวชิงไป๋อาบน้ำด้วย เธอชอบความสะอาดมาก ดังนั้นแล้วมันจะไม่เปลืองฟืนได้อย่างไรล่ะ?

โจวชิงไป๋ไม่แย้งอะไรกับเรื่องนี้ ภรรยของเขาบอกว่าถ้าพวกเขาไม่ทำความสะอาดก่อนทำเรื่องนั้นก็จะป่วยง่าย เธอถามหมอที่โรงพยาบาลมาแล้ว

เพื่อที่จะได้ใกล้ชิดกับภรรยาในช่วงฤดูหนาว จึงไม่ต้องบอกเลยว่ามันทำให้โจวชิงไป๋เริ่มเตรียมฟืนในตอนนี้ทันที

เขาออกไปแต่เช้าตรู่หลังกินข้าวเสร็จและกลับมาในตอนนี้ ชายหนุ่มรู้สึกหิวโหยนัก

หมั่นโถวสี่ลูกและกับข้าวชามนี้ถูกเขาสวาปามจนหมด

“ไปพักเสียนะคะ” หลินชิงเหอเก็บกวาดจานชาม เธอเองก็คิดจะนอนพักครู่หนึ่งก่อนจะออกไปทำงานต่อเหมือนกัน

โจวชิงไป๋นำมัดฟืนไปกองผึ่งไว้ให้แห้งจากนั้นก็เข้ามานอนพัก

เนื่องจากมีการแจกจ่ายเนื้อ เลยทำให้อาหารวันต่อ ๆ มามีแต่ของดีเยี่ยม

หัวหมู หมูตุ๋น และอื่น ๆ ล้วนถูกนำมาประกอบอาหารสารพัดรูปแบบ

ดังนั้นเมื่อซูต้าหลินกับโจวเสี่ยวเม่ยกลับมาเยี่ยมในวันหยุด พวกเขาก็เห็นว่าซูเฉิงน้อยตุ้ยนุ้ยขึ้น

โจวเสี่ยวเม่ยพยายามอุ้มลูกชายขึ้นแต่ก็อุ้มไม่ขึ้น หล่อนเลยให้พ่อของเขาเป็นคนอุ้ม

ส่วนซูต้าหลินก็กอดลูกชายไม่ปล่อย เมื่อเห็นว่าลูกชายได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็ไม่เคยจางหายไป

“ลูกกินอะไรมาบ้างน่ะ?” โจวเสี่ยวเม่ยถาม

“กินเนื้อ” ซูเฉิงน้อยตอบ

“น้องชายตัวน้อยของผมชอบกินเนื้อติดมันมากเลยครับ เนื้อติดมันชิ้นใหญ่ ๆ ด้วย แต่ละมื้อเขากินเข้าไปเยอะมาก เขาก็เลยตัวอ้วนน่ะครับ” เจ้าสามบอก

“แล้วเจ้าสามล่ะกินเยอะด้วยไหม?” โจวเสี่ยวเม่ยยิ้มกริ่ม

“เยอะครับ” เจ้าสามพยักหน้า “คุณอาเอาลูกอมมาให้เราอีกแล้วนะครับ”

โจวเสี่ยวเม่ยกลับมาคราวนี้ก็นำลูกอมนมมาด้วยถุงหนึ่ง นอกจากนั้นก็มีไข่ 2 ชั่ง เดิมมันมีราว ๆ เกือบ 5 ชั่ง แต่หล่อนส่งไปให้สะใภ้สามที่บ้านใหญ่จำนวน 2 ชั่ง เพราะซูสวิ่นน้อยต้องดื่มนมของหล่อน

แต่ทางพวกเขาเองก็มีอาหารสะสมไว้เหมือนกัน พวกเขานำแป้งสาลีขาวกลับมาด้วย 10 ชั่ง

“ปากเล็ก ๆ ของเฉิงเฉิงไม่ต้องการให้พวกเธอเอาอาหารมามากขนาดนี้หรอกนะ” หลินชิงเหอบอก

“ฉันรู้จักเด็กคนนี้ดีค่ะ เขาตัวไม่ใหญ่แต่กินจุมาก การเลี้ยงเขาให้ได้ดีระดับนี้ เขาจะต้องกินเยอะมากแน่ ๆ ค่ะ” โจวเสี่ยวเม่ยยิ้ม จากนั้นก็ถามพี่สะใภ้สี่เรื่องการเรียนการสอน “ฉันไม่รู้มาก่อนนะคะเนี่ยว่าพี่เรียนด้วยตัวเองเยอะขนาดนี้จนกระทั่งพวกบัณฑิตหนุ่มสาวสู้พี่ไม่ได้”

หลินชิงเหอกระแอมไอแห้ง ยิ่งเธอพูดเรื่องนี้มากเท่าไหร่มันก็ยิ่งมีจุดให้จับผิดมากขึ้น หญิงสาวจึงไม่พูดอะไรอีก เธอตัดประเด็นด้วยการให้คำตอบอันคลุมเครือ

จนกระทั่งตอนนี้ โจวชิงไป๋ยังไม่ถามเธอแบบเจาะจงขนาดนี้เลย

การอยู่ใต้ชายคาเดียวกันทำให้เขารู้ชัดว่าเธอเริ่มเรียนหนังสือตั้งแต่เมื่อไหร่ สำหรับเรื่องที่เธอเรียนมาก่อนหน้าที่จะทะลุมิติมาน่ะเหรอ? ไม่มีทางที่เขาจะรู้หรอก

ซูต้าหลินกับโจวเสี่ยวเม่ยมาที่บ้านในตอนเช้าตรู่ พวกเขาไม่อาจค้างคืนได้และต้องกลับเข้าเมืองไปในตอนเย็น

พวกเขาจึงกลับไปหลังร่วมกินอาหารเย็นแล้ว

ซูเฉิงน้อยไม่แสดงท่าทีอิดออดใด ๆ เพราะเขาเองก็มีความสุขมากในการอยู่ที่นี่ เขาแค่ขอให้พ่อแม่ของเขานำลูกอมมาให้ตอนที่พวกเขาว่างมาเยี่ยมเท่านั้น

ซูสวิ่นน้อยลูกชายคนเล็กก็ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีเช่นกัน ตอนนี้เขายังต้องดื่มนมของสะใภ้สามเป็นหลัก

เมื่อความอยากอาหารของเขามีมากขึ้น สะใภ้สามก็จะไม่มีนมให้กินอย่างเพียงพอแล้ว

พี่ชายสามจึงมักออกไปตกปลาอยู่เรื่อย ๆ หากโจวต้งนำปลาหรือกุ้งมาให้ หลินชิงเหอก็จะส่งบางส่วนไปให้กับสะใภ้สาม เพราะถ้าไม่ทำแบบนี้หล่อนก็มีน้ำนมไม่พอให้เขากิน

การให้นมทารกของผู้หญิงในยุคนี้เทียบไม่ได้กับผู้หญิงยุคหลัง เพราะพวกเธอได้รับอาหารไม่เยอะนัก

ซูต้าหลินกับโจวเสี่ยวเม่ยกลับเข้าเมืองไปในวันเดียวกับที่มาเยี่ยม ส่วนโจวชิงไป๋ก็สะสมไม้ฟืนให้ครอบครัวได้อย่างเพียงพอแล้วหลังจากที่ไปรวบรวมมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 10 วัน

และเมื่อเขาไม่ได้คิดไปหาไม้ฟืนมาเพิ่ม หิมะก็เริ่มตกในกลางดึกของคืนวันนั้น

พอถึงวันต่อมา เรื่องที่หวังหลิงเป็นชู้กับน้องชายสามีของหล่อนก็เป็นที่เล่าลือกันทั่วทั้งหมู่บ้านโจวเจี่ย

…………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เรื่องกินเลือดหมูแล้วมันช่วยชะล้างผงชอล์กในปอดนี่ไม่แน่ใจว่าจริงไหมนะคะ แต่ผู้แปลคิดว่ามันคงเป็นเพราะในเลือดหมูมีสารอาหารสูง ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกายให้กำจัดสิ่งแปลกปลอมได้ดีขึ้นทำนองนี้มากกว่าค่ะ

พ่อได้ยินชัดแล้วนะว่าต้องรักษาความสะอาด ไม่งั้นแม่ไม่ยอมให้ทำนะคะ

หวังหลิงโดนจับได้แล้วค่ะ ชีวิตของเธอจะเป็นอย่างไรต่อ ติดตามตอนต่อไปนะคะ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset