บทที่ 179 นับว่าเป็นการขอยืม

บทที่ 179 นับว่าเป็นการขอยืม
โดย

บทที่ 179 นับว่าเป็นการขอยืม

หลินชิงเหอได้ยินเสียงเล่าลือแว่ว ๆ ในหมู่บ้านอยู่ เธอไม่รู้ว่าที่มาของเรื่องนี้มาจากไหน แถมเธอยังไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับคนในหมู่บ้านมากนัก

เธอมารู้เข้าก็ตอนที่กำลังจะออกจากบ้านเพื่อไปโรงเรียน แล้วสะใภ้ใหญ่ตระกูลหวงที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียงได้พูดขึ้นมา

ยิ่งกว่านั้นเธอยังเห็นสะใภ้ใหญ่บ้านหวงเดินกลับมาด้วยสีหน้าแตกตื่น หญิงสาวจึงถามไปว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น?

จากนั้นสะใภ้ใหญ่บ้านหวงก็มากระซิบบอกเรื่องนี้กับเธอ เธอถึงได้รู้

“เธอยังไม่รู้สินะว่าเมื่อคืนนี้บ้านตระกูลหม่าทะเลาะกันครึ่งค่อนคืน ฉันได้ยินมาว่าลูกชายคนเล็กของหม่าสามไม่ใช่ของเขา แต่เป็นของหม่าสี่” สะใภ้ใหญ่บ้านหวงเอ่ยรัวเร็ว

นอกจากรู้สึกตกใจแล้ว หลินชิงเหอก็ไม่พบว่ามันเป็นเรื่องยากจะยอมรับ

เธอกับโจวชิงไป๋เคยเห็นความสัมพันธ์ระหว่างหวังหลิงกับหม่าสี่มานานแล้ว เพียงแต่ว่าเธอไม่เปิดโปงมันก็เท่านั้น

ลูก ๆ ของเธอยังเล็กนัก ในเมื่อพวกเขาต้องเจอหน้ากันบ่อยในพื้นที่นี้แล้ว เธอก็ต้องปล่อยให้คนอื่นได้มีทางออกบ้าง ไม่อย่างนั้นเธอจะทำอย่างไรล่ะถ้าเกิดมันกลายเป็นการบีบสุนัขให้จนตรอก?

ดังนั้นหลินชิงเหอจึงไม่เคยพูดถึงมัน

จากพฤติกรรมของคนทั้งคู่แล้ว ใครจะรู้ล่ะว่าพวกเขาเริ่มมีความสัมพันธ์แบบนี้กันตอนไหน

หวังหลิงให้กำเนิดลูกสาว 4 คนติดกัน จนกระทั่งคนที่ห้าถึงได้ลูกชาย

ความจริงแล้วหลินชิงเหอกับหวังหลิงไม่ได้เกลียดชังอะไรกันจริง ๆ หรอก ประเด็นหลักคือหวังหลิงแค่อิจฉาที่หลินชิงเหอมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่าหล่อนเท่านั้น

เนื่องจากหลินชิงเหอมีลูกชายติดกัน 3 คน ขณะที่หวังหลิงมีลูกสาวติดกัน 4 คน หล่อนเลยถูกแม่สามีดุด่าอยู่เนือง ๆ ว่าไร้ความสามารถในการมีลูก

แต่ในทันทีที่ลูกคนที่ห้าเป็นลูกชาย หล่อนก็เริ่มมีที่ยืนในหมู่บ้านตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา

หลินชิงเหอกำลังรีบไปสอนหนังสือจึงไม่มีเวลาถามมากนัก เมื่อถึงเวลาเลิกงานตอนกลางวันแล้วเธอถึงได้มุ่งหน้าไปถามสะใภ้ใหญ่

และเป็นอย่างที่คิด สะใภ้ใหญ่เองก็รู้เรื่องนี้

หากถามว่าเรื่องระหว่างหวังหลิงกับน้องชายสามีมันแดงขึ้นมาได้อย่างไร ก็ต้องโทษเหตุการณ์เมื่อคืนนี้

เมื่อคืนนี้หิมะตกไม่ใช่เหรอ? มันจะไม่มีใครรู้เลยว่าหวังหลิงย่องเข้าห้องลูกชายสี่ตระกูลหม่าหากไม่มีใครรู้เรื่องในกลางดึกคืนนั้น

เป็นพี่สะใภ้รองของหวังหลิงนี่เองที่มาเห็นฉากนี้เข้า เพราะหล่อนตื่นขึ้นมากลางดึกเพื่อจะเข้าห้องน้ำ แต่ก็ไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นกับอะไรแบบนี้?

หล่อนตกใจมากและรีบวิ่งไปบอกลูกชายรองตระกูลหม่าผู้เป็นสามี

ความสัมพันธ์ระหว่างหม่ารองกับหม่าสามไม่ได้กลมเกลียวกันนัก ถือว่าเป็นคู่พี่น้องที่จ้องแต่จะกัดกันจนตายไปข้างเลยทีเดียว

ความสัมพันธ์ทางสายเลือดระหว่างพี่ชายน้องชายที่นี่มักจะไม่ลงรอยกันและบางครั้งก็สู้กันอย่างดุเดือด อย่างเช่นหม่ารองกับหม่าสามที่ไม่ต่างอะไรกับศัตรูคู่แค้นเลย

เมื่อหม่ารองรู้เรื่องนี้เข้า เขาจะปล่อยไว้แบบนี้ได้อย่างไรล่ะ?

เขาบุกเข้าไปในห้องนอนพร้อมกับไฟฉาย ลือกันว่าเขาเห็นก้นเปลือยโล่งของหม่าสี่กับหวังหลิงชัดกับตาเลยทีเดียว

ทั้งครอบครัวตระกูลหม่าสั่นสะเทือนในทันที

โดยไม่ต้องบอก หม่าสามบุกเข้าไปตะลุมบอนกับหม่าสี่ทันที โดยมีหม่ารองคอยใส่ไฟอยู่ข้าง ๆ บอกว่าลูกชายคนเล็กของหม่าสามไม่น่าใช่ลูกของหม่าสามแต่เป็นลูกของหม่าสี่มากกว่า

ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่คิดมากเพราะต่างเป็นพี่ชายน้องชายกัน ตอนนี้พวกเขารู้แล้วว่าพวกเขาไม่ใช่พี่ชายน้องชายกัน ลูกชายที่เกิดมาเป็นลูกของหม่าสี่ชัด ๆ

หวังหลิงเองก็มีความสัมพันธ์ย่ำแย่กับสะใภ้รองตระกูลหม่าเหมือนกัน สะใภ้รองตระกูลหม่าได้ใส่ไคล้ว่าเป็นเพราะหล่อนไม่สามารถให้กำเนิดลูกชายให้หม่าสามได้ หล่อนก็เลยวิ่งแจ้นไปหาหม่าสี่เพื่อให้ตัวเองได้ลูกชาย

ทั้งบ้านตระกูลหม่าตกอยู่ในความวุ่นวายตลอดคืน

“แล้วตอนนี้พวกเขาจัดการกันยังไงเหรอคะ?” หลินชิงเหออึ้งไป

การที่ตระกูลใหญ่แบบนี้มาอยู่รวมกันในทุกวันนี้ มันก็ไม่แปลกที่จะมีความขัดแย้งเกิดขึ้นถูกไหม? แต่การเปิดโปงเรื่องฉาวในตระกูลมันก็ไม่ต่างจากการอดรนทนไม่ไหวที่จะป่าวประกาศให้คนอื่นได้รับรู้ พวกเขาจะต้องเกลียดชังกันขนาดไหนนะ?

“พี่ไม่รู้หรอกนะว่าพวกเขาจัดการเรื่องนี้กันยังไง แต่ตอนนี้หม่าสามเกิดความสงสัยว่าลูกชายของเขาเป็นของเขาเองหรือของหม่าสี่ไปแล้ว” สะใภ้ใหญ่ตอบ

“แล้วหวังหลิงล่ะคะ?” หลินชิงเหอถาม

“หล่อนถูกคนตระกูลหวังพากลับไปแล้วน่ะ เมื่อคืนนี้สะใภ้รองตระกูลหม่าตบตีหล่อนอย่างหนักเลยล่ะ” สะใภ้ใหญ่ตอบ

ในตอนนี้เองสะใภ้รองก็เดินออกมาจากห้อง หลินชิงเหอจึงเอ่ยถามพลางเลิกคิ้ว “อากาศตอนนี้เย็นลงแล้วนะคะ ทุกคนเพิ่งจะเสร็จจากการเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงและไม่รู้จะทำอะไรฆ่าเวลากันแท้ ๆ แต่ก็ไม่คิดเลยว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นกับตระกูลหวัง พี่สะใภ้รองได้ยินเรื่องนี้ไหมคะ?”

สะใภ้รองมีสีหน้ากระอักกระอ่วนไป จากนั้นหล่อนก็เอ่ยอย่างเด็ดเดี่ยว “ฉันไม่ข้องเกี่ยวอะไรกับหวังหลิงแล้วล่ะ”

“ดีแล้วค่ะที่ไม่สานสัมพันธ์กับหล่อน ไม่อย่างนั้นชื่อเสียงของพี่จะพลอยเหม็นโฉ่ไปด้วย” หลินชิงเหอเอ่ยเสียงเรียบ

สะใภ้รองไม่พูดอะไรและเดินเข้าครัวไปเตรียมอาหารหลังซาวข้าวไว้แล้ว

หลินชิงเหอเมินหล่อนเสียและหันมาหาสะใภ้ใหญ่ “ฉันได้คูปองผ้ามาจำนวนหนึ่งในปีนี้น่ะค่ะ แต่ครอบครัวของฉันคงไม่ได้ใช้มันในตอนนี้ พี่สะใภ้ใหญ่อยากแลกไว้ไหมคะ?”

สะใภ้ใหญ่ถึงกับมีดวงตาเป็นประกายเล็กน้อย “อยากได้สิ พี่อยากได้”

หลังปีใหม่นี้โจวต้านีก็จะมีอายุ 17 ปี หล่อนจึงอยากตัดชุดใหม่ให้เธอ

สองสะใภ้ตกลงเรื่องราคาแลกเปลี่ยนกัน จากนั้นหลินชิงเหอก็กลับไป

ส่วนสะใภ้ใหญ่ให้โจวต้านีนำเงินมาแลกกับคูปองผ้าจำนวนหนึ่ง

ท่านแม่โจวแวะมาสนทนาที่บ้านพร้อมกับอุ้มซูสวิ่นน้อยมาด้วย เมื่อนางมาถึงบ้าน นางก็ไม่ได้หยิบเรื่องของตระกูลหม่ามาคุย

“อากาศหนาวแบบนี้คุณแม่ไม่กลัวซูสวิ่นน้อยเป็นหวัดเหรอคะ?” หลินชิงเหอบอก

“ไม่เป็นไรหรอก ฉันเอาโค้ทฝ้ายตัวใหญ่ห่อตัวเขาไว้แล้ว” ท่านแม่โจวเอ่ยให้ความมั่นใจ

ซูสวิ่นน้อยหลับไปแล้ว ท่านแม่โจวจึงวางเด็กชายตัวน้อยไว้ในห้องก่อนจะมาช่วยปอกเปลือกมันฝรั่ง

อาหารกลางวันนี้เป็นหมูตุ๋นมันฝรั่งกินคู่กับหมั่นโถว และหลินชิงเหอยังทำซุปแครอทไว้ซดเคียงด้วย

หิมะตกค่อนข้างหนักในตอนบ่าย ทุกคนต่างรู้กันดีและไม่ไปโรงเรียนกันท่ามกลางสภาพอากาศแบบนี้ หลินชิงเหอเองก็ไม่ได้ไปโรงเรียนเหมือนกัน

เธอเล่าเรื่องของตระกูลหม่าให้โจวชิงไป๋ฟังขณะนั่งบนเตียงเตา

เป็นธรรมดาที่โจวชิงไป๋จะรู้เรื่องใหญ่ขนาดนี้ “พวกเขาจะแยกบ้านกันหลังฤดูใบไม้ผลิหน้าน่ะ”

“ถึงแยกบ้านกันแล้วก็ยังน่ารังเกียจอยู่ดีล่ะค่ะ” หลินชิงเหอบอก

มันเป็นเรื่องน่ารังเกียจจริง ๆ ถูกไหมล่ะ? พวกเขาเป็นชู้กันนะ

โจวชิงไป๋ลูบหลังเธอเบา ๆ โดยไม่เอ่ยตอบ

“แล้วมีคนมาจับพวกเขาไหมคะ?” หลินชิงเหอถาม

ในยุคนี้พวกเขาค่อนข้างเคร่งครัดกับเรื่องแบบนี้มาก หากใครก็ตามมีความสัมพันธ์ที่ไม่เหมาะสมในเชิงชู้สาว พวกเขาก็จะถูกลากตัวออกมาประจาน

“ตระกูลหม่าจัดการเรื่องนี้ไปแล้วน่ะ” โจวชิงไป๋ตอบ

“พวกเขาจัดการเรื่องนี้กันยังไงเหรอคะ?” หลินชิงเหอย่นคิ้ว

โจวชิงไป๋รู้ว่าเธออยากรู้ เขาก็เลยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในตระกูลหม่าให้ฟัง

ตระกูลหม่าได้จัดการปัญหาของพวกเขาเองแล้ว พวกเขายังประกาศบอกด้วยว่าหม่าสามมีไข้ไม่สบายหลังจากที่ลูกสาวคนที่สี่เกิด จึงทำให้เขาไม่สามารถทำลูกได้

แต่ตระกูลสายนี้ไม่อาจอยู่ต่อไปได้โดยไม่มีลูกชาย ดังนั้นท่านพ่อหม่ากับท่านแม่หม่าก็เลยเป็นคนต้นคิดให้หวังหลิงขอยืมน้ำเชื้อจากหม่าสี่ที่ยังไม่แต่งงาน

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้จึงไม่เรียกว่าเป็นการแย่งคน เพราะทั้งท่านพ่อกับท่านแม่หม่ารู้เรื่องนี้ แต่เป็นการขอยืมกันเท่านั้น

หลินชิงเหอได้ฟังแล้วก็รู้สึกรังเกียจ

สองสามีภรรยาชราตระกูลหม่าทำเรื่องแบบนี้น่ะเหรอ? ฟังดูปลอมมาก!

“เรื่องแบบนี้ถือว่าไม่ใช่เรื่องแปลกในสังคมชนบทนะ” โจวชิงไป๋อธิบาย

เพราะพวกเขาให้กำเนิดลูกชายไม่ได้ ฝ่ายหญิงเลยต้องไปขอน้ำเชื้อจากชายอื่นเพื่อให้มีลูกชาย

ยิ่งกว่านั้นจากการที่สังคมชนบทรักใคร่และให้ความสำคัญกับลูกชายมาก สิ่งที่หวังหลิงกับหม่าสี่ทำนั้นจึงไม่นับว่าเป็นการเล่นชู้

…………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

แปลตอนนี้แล้วผู้แปลก็ได้แต่หน้าเหวอตามแม่…อย่างนี้ก็ได้เหรอ?

ให้ความสำคัญกับลูกชายมากจนการที่ภรรยามีอะไรกับชายอื่นไม่ถือว่าเป็นการนอกใจสามี…มันทำได้จริงดิ?

แต่คิดอีกแง่หนึ่ง หวังหลิงก็รอดพ้นจากการโดนประจานไปหวุดหวิดล่ะนะ

แล้วผู้อ่านล่ะคะคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset