บทที่ 181 คุณคือหลินชิงเหอหรือเปล่า?

บทที่ 181 คุณคือหลินชิงเหอหรือเปล่า?
โดย

บทที่ 181 คุณคือหลินชิงเหอหรือเปล่า?

ช่างน่าเสียดายที่ผู้หญิงแบบนี้กลับยังคงอาศัยอยู่ในชนบทอันแร้นแค้นกันดารแห่งนี้

โดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น​ เขาเคยสังเกตมาก่อนหน้านี้ว่าเธอมีความสัมพันธ์แบบงั้น ๆ​ กับโจวชิงไป๋ ต่อให้มีลูกสามคนแล้ว​ พวกเขาก็ไม่ได้มีความรู้สึกอะไรต่อกันมากนัก

แต่หลังจากที่โจวชิงไป๋เกษียณ​ เขามักจะมาป้วนเปี้ยนกับเธอเป็นบางครั้งบางคราว​ เธอเองก็เดินอยู่กับเขาประจำ แม้จะไม่มีการกระทำอะไรที่ดูเป็นพิเศษ​ แต่ใครที่มาเห็นก็ยังเดาได้ว่าเธอกับโจวชิงไป๋เป็นคู่แต่งงานที่มีความสัมพันธ์กลมเกลียวต่อกัน​

ดูเหมือนว่าเธอเริ่มเปลี่ยนตัวเองเมื่อโจวชิงไป๋กลับมา

เธอได้รับการหล่อเลี้ยงจากโจวชิงไป๋​ ก็เลยทำให้เธอเปลี่ยนไปอย่างนั้นเหรอ?

เฉินซานรู้สึกงุนงง​ เขาไม่เข้าใจเลย​ต่อให้เค้นสมองคิดเพียงใด​ และไม่รู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของหลินชิงเหอเปลี่ยนไปแล้ว

การเรียนการสอนดำเนินไปจนกระทั่งถึงเดือนธันวาคม​ และเนื่องจากหิมะตกหนักนี่เอง​ วันหยุดก็ได้เริ่มต้น

แม้ว่าระหว่างวันหยุดจะไม่มีแต้มค่าแรงและเงินเดือนให้ แต่ทางโรงเรียนก็ยังให้คูปองฝ้าย 2 ชั่งเป็นการชดเชยในวันก่อนจะถึงวันหยุด

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ครูใหญ่สู้ให้กับคุณครูทุกคนในโรงเรียนในตอนที่เขามุ่งหน้าเข้าไปในอำเภอ

“ฉันได้ยินมาว่าครูในโรงเรียนมัธยมปลายประจำอำเภอยังได้ค่าแรงกันระหว่างหยุดสอนอยู่เลยนะ” คุณครูสวีเอ่ยขึ้น

“โรงเรียนในชนบทอย่างเราเทียบพวกเขาไม่ได้หรอก” หลินชิงเหอตอบ

“คุณมีฝ้ายพอหรือเปล่าคะ?” คุณครูสวีถาม

หลินชิงเหอเป็นคนที่เดาใจคนเก่ง​ แค่สบตาอีกฝ่ายก็รู้ว่าคิดอะไร​ เธอจึงเอ่ยกระซิบ​ “คุณครูสวีอยากจะแลกกับฉันเหรอคะ?”

“เราไม่ขาดของสิ่งนี้ที่บ้านหรอกค่ะ” คุณครูสวียิ้ม

ยิ่งกว่านั้นถ้าเธอนำคูปองฝ้ายสองชั่งกลับไปที่บ้าน เธอก็จะได้ใช้มันเป็นกองทุนสาธารณะ และอาจจะได้ขายมันอย่างลับ ๆ ด้วย

“คุณครูสวีอยากแลกกับอะไรเหรอคะ?” หลินชิงเหอถาม

“ฉันอยากแลกกับคูปองอุตสาหกรรมสองใบน่ะค่ะ คุณพอจะมีบ้างไหมคะ?” คุณครูสวีถามกลับ

คนส่วนมากอาจไม่จำเป็นต้องมีคูปองอุตสาหกรรม แต่คุณครูสวีเชื่อว่าหลินชิงเหออาจเก็บมันไว้บ้าง เนื่องจากโจวชิงไป๋เคยอยู่ในกองทัพมาก่อน ดังนั้นเขาจึงมีคูปองทุกชนิด ยิ่งกว่านั้นยังเป็นแบบคูปองทั่วประเทศที่ไม่มีวันหมดอายุด้วย

“คุณครูสวีถามถูกคนแล้วค่ะ” หลินชิงเหอยิ้มกริ่ม เธอหยิบคูปองอุตสาหกรรมสองใบออกจากกระเป๋ากางเกงโดยที่จริง ๆ แล้วมันมาจากในมิติของเธอ

“คุณเอามันติดตัวไปด้วยทุกที่เลยเหรอคะ?” คุณครูสวีถามอย่างประหลาดใจ

“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ พอดีฉันมีของบางอย่างที่ต้องซื้อ แต่ในเมื่อคุณครูสวีต้องการก็รับไปเถอะค่ะ ฉันให้” หลินชิงเหอตอบ

คุณครูสวีพยักหน้า และทั้งสองคนก็แลกคูปองกัน

หลินชิงเหอได้คูปองฝ้ายไปทั้งหมด 4 ชั่ง ต้องบอกว่าจำนวนเท่านี้นับว่ามากทีเดียว

ที่บ้านไม่ขาดแคลนฝ้าย เมื่อปีที่แล้วก็เพิ่งใช้ทำเสื้อกันหนาวและเสื้อผ้าอื่น ๆ ไปทั้งหมด และพวกมันก็ยังมีสภาพดีทุกตัว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องใช้คูปองฝ้ายพวกนี้เลย

นี่จึงเป็นเหตุผลที่หลินชิงเหอนำคูปองฝ้ายไปให้น้องชายสามตระกูลหลิน

คูปองฝ้าย 4 ชั่งนับว่าพอให้น้องชายสามตระกูลหลินซื้อฝ้ายกลับมาบุเสื้อกันหนาวและผ้านวม

“ถ้านายอยากใช้จักรยานก็มายืมที่บ้านพี่ได้นะ ตอนนี้พี่ไม่ต้องไปทำงานก็เลยไม่ต้องใช้น่ะ” หลินชิงเหอบอกน้องชาย

“ถ้างั้นพรุ่งนี้ผมมาหาได้ไหมครับ?” น้องชายสามตระกูลหลินถาม

“ได้สิ” หลินชิงเหอพยักหน้า

วันต่อมาน้องชายสามตระกูลหลินจึงได้มายืมจักรยาน มีคูปองฝ้ายแล้วเขาก็สามารถไปซื้อฝ้ายที่ร้านค้าสหกรณ์ในตำบลได้ แต่เขากลับเลือกเดินทางตรงไปยังตัวอำเภอ

เขานำผ้าพับหนึ่งและฝ้ายจำนวนหนึ่งกลับมา

ระหว่างทางเขาก็ซื้อลูกอมนมกลับมาให้เจ้าใหญ่และน้อง ๆ ซึ่งหลินชิงเหอก็ไม่ปฏิเสธ ทำเพียงเตือนให้เขาระวังตัวขณะกลับบ้าน

ตอนนี้หลินชิงเหอรู้สึกสบายใจเพราะว่าเธอไม่ต้องไปทำงาน

เธอมักจะนอนขลุกอยู่บนเตียงเตากับโจวชิงไป๋ ซึ่งแน่นอนว่าเธอไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นนอกจากศึกษาตำราภาษาอังกฤษ

ตอนแรกเธอไม่คิดจะให้โจวชิงไป๋รู้เรื่องนี้ แต่ด้วยเหตุผลใดไม่อาจทราบได้ เธอกลับเชื่อใจเขา มันคงเป็นความเชื่อใจเขาแบบสุดใจจึงทำให้เธอหยิบมันออกมา

เมื่อโจวชิงไป๋เห็นเธออ่านหนังสือเล่มนี้ สายตาของเขาก็ดูแปลกไป

แต่เขายังปรับตัวให้เป็นปกติและไม่ถามอะไรกับเธอ เขาไม่ถามเธอด้วยซ้ำว่าอ่านมันรู้เรื่องหรือเปล่า

เป็นหลินชิงเหอเองที่ทนไม่ได้ในคืนนั้น

“ชิงไป๋ ทำไมคุณไม่ถามล่ะคะว่าฉันอ่านหนังสือภาษาต่างประเทศออกได้ยังไง?” เธอถามเขา

เธอคิดดูดีแล้ว และรู้สึกว่ามันคงดีกว่าหากบอกเรื่องของเธอให้เขารู้

เพราะว่าพวกเขานอนบนเตียงเดียวกัน เธอจึงไม่อยากจะซ่อนมันจากเขา โดยเฉพาะในตอนที่เขาตัวติดกับเธอเป็นตังเมและไม่ถอยห่างจากเธอนัก

เธออ่านภาษาอังกฤษออกได้อย่างไร? และเธอคว้าโอกาสการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มคนทรงอิทธิพลในตอนที่สถานการณ์คลายความตึงเครียดได้อย่างไรน่ะเหรอ?

การพูดอังกฤษได้ไม่ใช่เรื่องเยี่ยมยอดอะไรในอนาคตเลย​ แต่ถ้าคน ๆ​ นั้นคว้าโอกาสนี้ไว้ได้ในช่วงต้นของมาตรการผ่อนคลาย​ มันก็จะเป็นเรื่องที่วิเศษนัก

เธออยากใช้ภาษาอังกฤษมาเป็นจุดแข็งของตัวเองจริง ๆ​ จึงต้องเริ่มเรียนรู้ด้วยตัวเองนับจากนี้ไป​ เธอคืนความรู้ภาษาอังกฤษสมัยเรียนในมหาวิทยาลัยไปเกือบหมดแล้ว​ ดังนั้นจึงต้องทบทวนให้ดี ๆ

มันไม่ใช่วิชาภาษาจีนกับคณิตศาสตร์​ ดังนั้นแล้วเธอจะปิดบังเรื่องนี้กับเขาได้อย่างไรล่ะ?

“คุณไม่พูดอะไรเหรอ”

โจวชิงไป๋จ้องมองเธอ

ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากถามหรอก แต่เรื่องนี้ให้เธอพูดความจริงออกมาเองจะดีกว่า?

หลินชิงเหอหัวเราะในลำคอ ชายปากหนักคนนี้นี่นะ เกรงว่าช่วงนี้เขาจะต้องร้อนใจไม่น้อย

เธอไม่รู้เลยเพราะว่าเธอหลับสนิทมาก

“ถ้าคุณมีอะไรอยากถามก็ถามมาเถอะค่ะ” หลินชิงเหอคล้องแขนกับลำคอของเขาพลางยิ้มกริ่ม

โจวชิงไป๋อ้ำอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยออกมา “คุณคือหลินชิงเหอหรือเปล่า?”

ในไม่กี่คืนที่ผ่านมาเขานอนไม่หลับเลย ความจริงก็คือเขามีความรู้สึกคันยุบยิบในใจมาก่อนแล้วแต่ไม่รู้สึกว่ามันจะเป็นเรื่องจริงและลึกซึ้งขนาดนี้ตั้งแต่ที่เห็นเธออ่านตำราภาษาอังกฤษได้

อย่าบอกเขาเลยว่าเธออ่านไม่ออกและทำแค่พลิกดูผ่าน ๆ เท่านั้น เขารู้ว่าเธออ่านมันออก

อีกเหตุผลหนึ่งที่พอจะหามาหักล้างได้ก็คือเธอใช้วิธีเรียนด้วยตัวเองอย่างลับ ๆ เนื่องจากภรรยาของเขาฉลาดออกขนาดนี้ เขาจึงสามารถหลอกตัวเองได้ ตราบใดที่เธอไม่ได้ทำอะไรที่เป็นอันตรายต่อประเทศชาติ เขาก็เลือกที่จะปิดตาข้างหนึ่ง

แต่ภาษาอังกฤษเป็นสิ่งที่เรียนรู้ด้วยตัวเองโดยไม่มีครูสอนได้งั้นเหรอ?

เป็นไปไม่ได้

นับตั้งแต่ที่เธอหยิบหนังสือภาษาอังกฤษออกมาอ่านต่อหน้าเขา ในใจของเขาไม่เคยสงบลงเลย

แต่ในเมื่อเธอเต็มใจจะสารภาพกับเขา เขาก็ตัดสินใจถามออกไป และยังเตรียมใจรับสิ่งย่ำแย่ที่จะตามมาไว้ด้วย

หลินชิงเหอกอดคอเขาไว้และหัวเราะในลำคอเบา ๆ “คุณสงสัยว่าฉันไม่ใช่ตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอคะ?”

“หลินชิงเหอไม่เคยตัดสัมพันธ์กับตระกูลหลิน และยังไม่ใส่ใจครอบครัวตัวเองมากขนาดนี้” โจวชิงไป๋รู้สึกว่าหัวใจของเขาแทบจะกระดอนออกมาถึงคอหอยขณะมองเธอ

“ฉันคือหลินชิงเหอค่ะ” หลินชิงเหอจูบเขาตรงคางและยืนยันด้วยอาการสงบ “อย่ากลัวไปเลยนะคะ”

โจวชิงไปเห็นแววอ่อนโยนในดวงตาของหญิงสาว และรู้ว่าเธอเองก็ชอบเขาเหมือนกัน ดังนั้นเขาจึงไม่เอ่ยอะไร ทำเพียงมองเธอและรอให้เธอพูดต่อ

“จริง ๆ แล้วต่อให้คุณอยากให้ฉันอธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นฉันก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงเหมือนกันนะคะ ในตอนแรกฉันฝันถึงครอบครัวของคุณน่ะค่ะ” หลินชิงเหอบอก

เธอบอกเขาเกี่ยวกับความฝันสามวันติดและการที่มิติส่วนตัวปรากฏขึ้นหลังวันที่สาม

ด้วยเหตุนี้เองเธอจึงเชื่อว่าสิ่งประหลาดบางอย่างกำลังเกิดขึ้นกับตัวเอง

หลินชิงเหอเล่าเรื่องที่เธอทะลุมิติมาให้เขาฟัง แต่ปิดความจริงที่ว่าโลกที่อยู่ในตอนนี้เป็นหนังสือเล่มหนึ่ง เรื่องแบบนี้นับว่าน่าเหลือเชื่อมากพอแล้วตั้งแต่ต้น

…………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

แม่บอกความจริงพ่อเกี่ยวกับเรื่องที่ทะลุมิติมาแล้วค่ะ พ่อจะว่าอย่างไรล่ะเนี่ย

ไหหม่า (海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset