บทที่ 193 อึหนู

บทที่ 193 อึหนู
โดย

บทที่ 193 อึหนู

“กินน้ำแกงอีกหน่อยนะคะ” หลินชิงเหอตักน้ำแกงที่เหลือในหม้อเทใส่ชามของโจวชิงไป๋พลางเอ่ยคะยั้นคะยอ

“แม่ แล้วผมล่ะ?” เจ้าใหญ่ถาม

“ลูกกินไปสองชามแล้ว ลูกคงไม่หิวแล้วล่ะ” หลินชิงเหอเมินเขาเสีย

เจ้ารองกับเจ้าสามเห็นแล้วก็แสดงสีหน้า ผมชินแล้ว ออกมา

ใช่แล้ว แม้แต่เจ้าสามในตอนนี้ก็คุ้นชินไปแล้ว เขาชินแล้วกับการที่แม่รักพ่อมากกว่าพวกเขาสามคน

แม้โจวชิงไป๋จะไม่แสดงสีหน้าใด ๆ แต่เขาก็กินน้ำแกงที่เหลือพร้อมกับหัวคิ้วที่คลายลง

“คุณไปพักเถอะค่ะ…เจ้ารอง…วันนี้ถึงตาลูกต้องล้างจานแล้วนะ” หลินชิงเหอสั่งลูกชาย

เจ้ารองได้ยินก็ลุกขึ้นเก็บถ้วยชามไปล้าง

เขาเริ่มแบ่งกันล้างถ้วยชามกับพี่ชายคนโตตั้งแต่ปีที่แล้ว ส่วนเจ้าสามจะมาร่วมทัพล้างถ้วยชามด้วยในปีหน้า

หลินชิงเหอปล่อยงานที่เหลือให้เป็นหน้าที่ของเด็กชายทั้งสาม ขณะที่เธอเข้าไปพักผ่อนในห้องกับโจวชิงไป๋

ฝนตกครั้งนี้ใช้เวลาเจ็ดหรือแปดวันกว่าจะหยุด ถนนด้านนอกบ้านจึงมีสภาพเละเทะเดินทางไม่สะดวกนัก ซึ่งหลินชิงเหอได้เริ่มการเรียนการสอนอย่างเป็นทางการหลังจากนั้น

ในวันนั้นที่เธอกลับมาจากโรงเรียน หลินชิงเหอก็เจอกับสะใภ้สามระหว่างทาง เธอก็เลยรับหล่อนไปส่งที่บ้าน

ทันทีที่สองสะใภ้เข้าสู่ตัวหมู่บ้าน พวกเธอก็รู้สึกได้ว่าบรรยากาศในหมู่บ้านดูตึงเครียดเล็กน้อย

“เกิดอะไรขึ้นน่ะ?” สะใภ้สามที่เพิ่งกลับมาจากข้างนอกกระซิบถามอย่างงุนงง

“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ แต่มันคงไม่เกี่ยวอะไรกับครอบครัวเราหรอก” หลินชิงเหอไม่สนใจ

เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลโจวจริง ๆ แต่ว่าเป็นเรื่องของตระกูลหม่าต่างหาก

คราวที่แล้วเป็นเรื่องของหม่าสี่ ตระกูลหม่าก็สามารถไกล่เกลี่ยคนสองฝ่ายได้เพราะมันเป็นเรื่องที่เกิดในครอบครัว

พวกเขาใส่ตะกร้าล้างน้ำหวังหลิงจนสะอาด เนื่องจากความต้องการลูกชายที่แข็งแกร่งของสังคมชนบท เลยทำให้ผู้คนได้แค่นินทาหวังหลิง แต่ไม่ทำอะไรเกินเลยมากกว่านั้น

แต่ในครั้งนี้หวังหลิงกลับเข้าไปพัวพันกับอันธพาลประจำหมู่บ้านที่ชื่อโจวเหอและถูกใครบางคนจับได้

ซึ่งเรื่องมันก็เกิดขึ้นในกระท่อมร้างเล็ก ๆ บนเนินเขาหลังบ้านของฝ่ายผลิต

กล่าวกันว่าคนที่ไปเห็นเข้าได้เจอทั้งสองคนในสภาพกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มกันเลยทีเดียว

ยิ่งกว่านั้นผู้หญิงที่ไปเจอยังเป็นไม้เบื่อไม้เมากับหวังหลิงด้วย

เรื่องราวจึงได้โป๊ะแตกในครั้งนี้ หล่อนรีบเรียกหัวหน้าหมู่บ้านให้มาดูและจับกุมตัวคนทั้งสองไว้ในทันที

คราวที่แล้วหวังหลิงรอดไปได้ แต่ครั้งนี้หล่อนเลี่ยงไม่ได้แล้ว แถมตระกูลหม่าก็ไม่คิดที่จะปกป้องหวังหลิงแล้วด้วย

จากนั้นทหารแดงจากในอำเภอก็มาที่หมู่บ้าน

การปรากฏตัวของทหารแดงไม่ต่างอะไรกับข้าศึกต่างชาติในครั้งอดีต ไม่มีใครอยากจะพบเจอกับพวกเขานักหรอก

ดังนั้นมันจะต้องเป็นเรื่องคอขาดบาดตายจริง ๆ พวกเขาถึงจะมาหา

หวังหลิงกับโจวเหอถูกมัดตัวในทันที จากนั้นก็ถูกโกนศีรษะเป็นสัญลักษณ์หยิน-หยางและถูกแห่ประจานไปตามถนนพร้อมป้ายที่เขียนว่า เล่นชู้กัน แขวนไว้ที่คอ

เรื่องนี้สะใภ้สามเป็นคนบอกหลินชิงเหอหลังจากมีการไต่สวนกันแล้ว

“หล่อนไม่เปลี่ยนแปลงตัวเองเลย ทำอย่างกับว่าไม่มีใครทำอะไรหล่อนได้งั้นล่ะ” หลินชิงเหอเอ่ยเป็นเชิงดูถูก

“คราวที่แล้วหล่อนรอดจากเหตุการณ์นี้มาได้แต่ก็ยังไม่เข็ด โชคดีที่พี่สะใภ้รองตัดขาดไมตรีกับหล่อนเมื่อนานมาแล้ว” สะใภ้สามเอ่ย

“อันธพาลนั่นเคยสู้กับหม่าสามมาก่อนใช่ไหมคะ?” หลินชิงเหอเอ่ย

“ใช่แล้วล่ะ ครั้งนั้นทั้งสองตระกูลเกือบจะตะลุมบอนกันเลย” สะใภ้สามตอบ

หลินชิงเหอส่ายหน้า ต่อไปในอนาคตหวังหลิงต้องอยู่หมู่บ้านนี้ไม่ได้แน่ ๆ หม่าสามไม่ใช่คนที่มีความอดทนสูง เขายอมความต่อเหตุการณ์คราวที่แล้วก็เพราะพ่อแม่ของเขา แต่ครั้งนี้เขาคงไม่ทนต่อไปแล้ว

หวังหลิงกับโจวเหอถูกปล่อยตัวอีกสามวันต่อมา เมื่อพวกเขากลับมาถึง ทุกคนก็แทบจะจำหน้าคนทั้งคู่ไม่ได้

ทั้งร่างของพวกเขาเหม็นหึ่งเพราะถูกอุจจาระขว้างใส่ ใบหน้าล้วนเต็มไปด้วยรอยแดงอย่างที่ดูแล้วคงเป็นเพราะมีคนบางคนถอดรองเท้าออกมาตบหน้า

แต่มันจะจบแค่นี้เหรอ?

อย่าได้ประมาทในความรุนแรงโหดร้ายของสังคมยุคนี้ต่อผู้ที่กระทำความผิดเลย

ไม่เกินห้าวันหลังจากที่พวกเขาถูกปล่อยตัว คนทั้งคู่ก็ถูกลากออกมาแห่ประจานอีกครั้ง

มันจะเป็นแบบนี้นับจากตอนนี้จนกระทั่งสองสามปีต่อมา กล่าวกันว่าโจวเหอถูกทุบตีอย่างไร้มนุษยธรรมเลยทีเดียว

โดยไม่แปลกใจ หม่าสามหย่าขาดจากหวังหลิงในทันที

หลังมีลูกสาวที่ทำตัวแบบนี้แล้ว ทางตระกูลหวังก็ไม่มีใครมารับหวังหลิงกลับบ้านเลย ทำให้นิสัยของหวังหลิงบิดเบี้ยว หล่อนจึงอาศัยอยู่ในหมู่บ้านโดยไม่ไปไหน และทำเพียงอยู่ในกระท่อมร้างเล็ก ๆ หลังเนินเขา

สภาพของมันเก่าโทรมอย่างมาก แต่มันก็ยังบังลมบังฝนได้อยู่

หลินชิงเหอได้ยินเสียงซุบซิบนินทามาว่าดูเหมือนหวังหลิงจะยังเปิดประตูทำธุรกิจส่วนตัวอยู่ที่นั่นอย่างลับ ๆ หล่อนจะเปิดรับทุกคนไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ตราบใดที่พวกเขานำอาหารมาให้

“จริง ๆ แล้วในหมู่บ้านเรามีคนไร้ยางอายอยู่เยอะมากนะ พวกเขามักจะย่องออกมาข้างนอกหลังเที่ยงคืนไปแล้ว” สะใภ้ใหญ่เอ่ยเสริม

“วันนี้ตระกูลเหอก็เพิ่งจะทะเลาะกัน เหมือนเหอสองจะแอบยักยอกเงินส่วนหนึ่งเพื่อเอาไปให้หวังหลิงน่ะ” สะใภ้สามเอ่ยด้วยท่าทีรังเกียจ

“ไร้ยางอาย ไร้ยางอายจริง ๆ!” สะใภ้รองถึงกับผิดหวังแทบตายหลังได้ยินดังนี้

ก่อนหน้านี้หล่อนคบคนแบบนี้ไปได้ยังไงนะ? ตอนนี้คนบางคนที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับหล่อนก็คอยแต่จะแซะเวลาหล่อนออกไปไหนมาไหนด้วยคำถามที่ว่า ทำไมวันนี้หล่อนไม่ไปซักผ้ากับหวังหลิงล่ะ?

ช่างขายหน้าจริง ๆ

บอกได้ว่าหวังหลิงกลายเป็นหมาหัวเน่าไปแล้ว ทั้งหมู่บ้านพากันขับไล่หล่อนและต้องการให้หล่อนออกไป แต่หล่อนก็ไม่ยอมออก

หล่อนไม่ได้เข้ามาทำงานในแปลงนาอีก อาศัยการอยู่รอดด้วยการเกาะผู้ชายบางคนที่มาหาในตอนกลางคืน แล้วหล่อนยังจำเป็นจะต้องเข้ามาทำงานในทุ่งนาไหมล่ะ?

มีแต่ในทุก ๆ สามสี่วันที่หล่อนจะถูกลากตัวออกมาประจาน เมื่อนึกถึงมันขึ้นมาทีไรหล่อนก็มีอาการหวาดกลัว คนพวกนั้นไม่ใช่มนุษย์ พวกเขาจะเตะกระทืบคนทั้งคู่เข้าที่ท้องอย่างไม่ปรานีแต่อย่างใด

หวังหลิงผู้หญิงคนนี้มีชื่อเสียเน่าเฟะแล้ว นี่คือความคิดเป็นเอกฉันท์ของคนทั้งหมู่บ้าน

แต่ก็เหมือนมีชายที่แต่งงานแล้วบางคนชอบที่หวังหลิงเป็นแบบนี้และยังขโมยอาหารเงินทองมาให้หล่อนอยู่ตลอด นี่ไม่ใช่เรื่องน่าชังหรืออย่างไร?

ผู้หญิงดี ๆ จำนวนหนึ่งในหมู่บ้านต่างพากันตำหนิติเตียนในเรื่องนี้

หลินชิงเหอเองก็เคยเจอหวังหลิงครั้งหนึ่งตอนที่เธอเลิกสอนแล้ว ซึ่งหล่อนดูต่างจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง

ไม่เพียงหล่อนจะมีเสื้อผ้าใหม่สวมใส่ แต่อาหารการกินเหมือนจะดีขึ้นกว่าแต่ก่อนด้วย

หวังหลิงเหมือนจะไม่มีความคิดดี ๆ ต่อหลินชิงเหอแม้แต่น้อย แต่นั่นก็ไม่นับว่าเป็นความเกลียดชัง พูดถึงความเกลียดชังแล้ว หล่อนเกลียดสะใภ้ตระกูลเหอที่มาเจอความสัมพันธ์ลับ ๆ ของหล่อนมากที่สุด

ตอนนี้หล่อนถูกวิพากษ์วิจารณ์อีกครั้ง มันก็เป็นเพราะสะใภ้รองตระกูลเหอ

นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมหวังหลิงถึงตกเหอรอง หล่อนจงใจจะตกเหอใหญ่กับเหอสามด้วย แต่ชายสองคนนั้นไม่เล่นด้วย ทำให้หล่อนอ่อยพวกเขาไม่ติด

แต่ถึงอย่างนั้นหล่อนก็ตกเหอรองได้ เขาให้เงินกับสิ่งของกับหล่อนเป็นจำนวนไม่น้อย ซึ่งมันก็เหมือนกับการแก้แค้นสะใภ้รองตระกูลเหออยู่กลาย ๆ

ทั้งหมู่บ้านมีแค่หวังหลิงคนเดียวที่เป็นตัวประหลาด และคนประหลาดพรรค์นี้ก็ทำให้ชื่อเสียงของหมู่บ้านโจวเจี่ยฉาวโฉ่

ยามที่ใครก็ตามพูดถึงมัน พวกเขาก็จะบอกว่าหมู่บ้านโจวเจี่ยมีคนแบบนี้อยู่

ทุกคนต่างพูดกันว่าเรื่องนี้ไม่ต่างจากอึหนูตกลงในหม้อโจ๊ก (ปลาเน่าตัวเดียวเหม็นทั้งข้อง) เลย​ แต่จะทำอะไรได้ล่ะ​นอกจากทำเป็นไม่เห็นไม่รับรู้ใดๆ

หลินชิงเหอไม่สนใจกับเรื่องพวกนี้มากนัก​

ช่วงนี้มีฝนตกปรอยๆ​ เธอเลยไปเก็บรวบรวมเห็ดจากเด็กรุ่นๆ​ ในหมู่บ้าน​

หลังฝนหยุดตกแล้ว​ ทุกคนก็สามารถออกไปเก็บเห็ดกับเห็ดหูหนูได้​ ซึ่งเห็ดที่เก็บมาได้จะถูกตากแห้งเก็บไว้กินช้าๆ

ภายในเวลาเพียง 2 วัน​ หลินชิงเหอก็เก็บเห็ดได้เจ็ดถึงแปดชั่ง​ จากนั้นเธอจึงงดเก็บเข้ามาในบ้าน​ เห็ดดอกดีๆ​ ที่เก็บมาได้จะถูกผึ่งไว้บนตะแกรง​ ส่วนเห็ดที่เสียหายจะนำมาผัดกับเนื้อหรือไม่ก็ต้มเป็นซุปเห็ด​ ซึ่งอร่อยทั้งคู่

……………………………………………….

สารจากผู้แปล

หวังหลิงไปสุดมากค่ะ​ แล้วไงใครแคร์ที่แท้จริง​ แต่ว่าไปก็สงสารนางเหมือนกันนะคะ​ บทลงโทษสมัยนั้นหนักมากจนไม่เห็นความเป็นมนุษย์เลย​ แต่นางก็ทำตัวเองล่ะค่ะ​ เทพเซียนที่ไหนก็ช่วยไม่ได้…เฮ้อออ

เมนูเห็ดมาอีกแล้ว​ ผู้แปลต้องลองทำบ้างใช่ไหมคะเนี่ย

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset