บทที่ 196 อยากมีลูกอีกหนึ่งคน

บทที่ 196 อยากมีลูกอีกหนึ่งคน
โดย

บทที่ 196 อยากมีลูกอีกหนึ่งคน

หลินชิงเหอรู้สึกว่าเป็นเรื่องดีที่ได้เป็นคุณครู​ แม้ต้องจัดสมดุลระหว่างชีวิตการงานกับชีวิตครอบครัวก็ตาม

เธอได้เงินเดือน​ 13​ หยวน​ แถมยังมีคูปองผ้ากับคูปองอาหารอีกนิดหน่อยเมื่อถึงสิ้นปี​ ต่อให้เธอจะไม่ได้ใช้​ แต่ก็คงมีคนจำนวนมากพร้อมใจแห่มาขอแลกไป​ ซึ่งนี่ก็ถือเป็นผลพลอยได้อีกอย่างหนึ่ง

ระหว่างปิดเทอมฤดูร้อนนี้หลินชิงเหอก็ว่างงาน​ ในขณะที่โจวชิงไป๋ยังคงทำงานอยู่ เขาต้องทำงานในทุ่งนาที่ควรทำให้เสร็จ​ เนื่องเพราะเมล็ดพันธุ์​ในฤดูนี้จะส่งผลต่อผลผลิตในช่วงการเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วง​ ซึ่งเรื่องนี้ไม่อาจปล่อยปละละเลย​ได้

“แม่​ ผมจะไปว่ายน้ำกับพี่ใหญ่และคนอื่น ๆ​ นะครับ” เจ้าสามบอก

“อย่าลืมผูกแท่งโฟมนี้กับแขนด้วยนะ” หลินชิงเหอบอกขณะเดินไปหยิบแท่งโฟมมาให้

นี่คือโฟมที่ได้จากกล่องโฟมที่เคยใช้ใส่ซาลาเปา​ หลังกินซาลาเปาหมดแล้วมันก็เหลือกล่องอยู่​ หลักถอดแยกชิ้นส่วนออกแล้วเธอก็มัดรวมกัน​ สามารถใช้เป็นทุ่นลอยตัวได้

เจ้าสามหยิบแท่งโฟมและเดินออกไป

หลินชิงเหอออกไปดูด้วย​ เมื่อเห็นว่าเขาผูกท่อนโฟมกับแขนของตัวเองแล้วเธอก็ไม่ว่าอะไร

เด็กในชนบทต้องเรียนรู้ที่จะว่ายน้ำให้เป็น​ ซึ่งเจ้าใหญ่ว่ายน้ำเป็นแล้ว​ เจ้ารองก็เช่นกัน​ ส่วนเจ้าสามยังว่ายไม่เป็นและยังหัดว่ายอยู่

เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องสนุกในฤดูร้อนของเด็ก ๆ​ อีกอย่างการว่ายน้ำก็เป็นการออกกำลังกายที่ดีเยี่ยมด้วย

“คอยดูน้องไว้ด้วยนะ” หลินชิงเหอกำชับเจ้าใหญ่กับเจ้ารอง

“คุณครูหลินไม่ต้องเป็นห่วงครับ​ ผมจะดูแลพวกเขาทั้งสามคนเลย” เด็กหนุ่มอายุราว 13-14 ปีคนหนึ่งเอ่ย

“จ้ะ​ ขอบคุณมากนะจ๊ะ” หลินชิงเหอยิ้มให้เขา

คราวที่แล้วที่ไปเก็บเห็ด​ เด็กหนุ่มคนนี้ก็เก็บได้เยอะมาก​ ตอนที่เธอรวบรวมปลาไหล​ เขาก็จับมาได้มากเหมือนกัน​ หลินชิงเหอทำการค้าขายอย่างยุติธรรมเสมอ​ เธอไม่เคยให้พวกเขาขาดแม้แต่เหมาเดียว​ จึงเป็นเหตุว่าทำไมเด็กหนุ่มคนนี้ถึงมีความประทับใจต่อคุณครูหลินอย่างหาใดเปรียบ

และเด็ก ๆ​ ทั้งหลายก็มีความชื่นชมต่อคุณครูหลินโดยธรรมชาติ

ซูเฉิงน้อยเองก็อยู่ตรงนั้น​ แต่เขาไม่ได้ลงไปในน้ำ​ กลับขุดหาปลาหนีชิวกับเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันตรงบริเวณหนึ่ง​ ซึ่งหลินชิงเหอก็ปล่อยให้เขาทำแบบนั้น

มันเป็นเวลาเกือบเย็นย่ำแล้วในตอนที่เหล่าพี่น้องกลุ่มนี้กลับมาพร้อมกัน

“คุณป้าสะใภ้สี่ครับ​ เย็นนี้เราจะกินอะไรกันเหรอครับ?” ซูเฉิงน้อยถามในทันทีที่กลับมา

แม้ซูต้าหลินจะพูดติดอ่าง​ แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้ถูกถ่ายทอดมาให้ลูกชาย​ โดยเฉพาะตั้งแต่ตอนที่ซูเฉิงน้อยโตขึ้นมาในบ้านตระกูลโจวและได้พบปะเด็กคนอื่นมากหน้าหลายตา​ ซึ่งเขาเองก็พูดปร๋อมากเลยทีเดียว

“วันนี้เราจะกินซูเฉิงน้อยตุ๋นกันจ้ะ” หลินชิงเหอตอบ

ซูเฉิงน้อยนิ่งค้าง​ ขณะที่เจ้าสามหัวเราะพลางพูดล้อ​ว่า​ ซูเฉิงน้อยตุ๋น​

ซูเฉิงน้อยยิ้มกริ่มเช่นกัน​ อย่าตัดสินความฉลาดจากอายุของเขาเชียว​ เขาเองก็รู้ว่ามันเป็นเรื่องล้อเล่น

วันนี้พวกเขากินผัดมะเขือเทศใส่ไข่​ หมูผัดแตงกวา​ ซุปปลาหนีชิวกับเต้าหู้​ และซุปกุ้งแห้ง​

ในช่วงต้นปีนี้เจ้าใหญ่ยังเป็นตะคริวอยู่​ แต่ตอนนี้มันไม่เกิดขึ้​นแล้ว​ ส่วนสูงของเขาเพิ่มขึ้นอย่างมาก ก่อนหน้านี้หลินชิงเหอคิดว่าเขาคงจะสูงอย่างมาก 155 เซนติเมตรในปีนี้​ แต่ในครึ่งปีแรกเขาก็สูงถึง​ 155​ เซนติเมตรแล้ว​ สิ้นปีนี้น่ากลัวว่าเขาจะสูงถึง​ 160​ เซนติเมตร

หลินชิงเหอเก็บนม 2 ขวดต่อวันไว้ให้เขาดื่ม​ ส่วนน้องชายอีกสองคนยังไม่ถึงเวลานั้น​ จึงไม่จำเป็นต้องสั่งซื้อมามากนัก

แต่เมื่อไหร่ที่ปีนี้เธอได้คูปองผ้ามา​ มันก็จำเป็นที่จะตัดชุดใหม่ให้เจ้าใหญ่​ แม้เธอจะตัดชุดแบบเผื่อโตไว้บ้างแล้ว​ แต่มันก็ใหญ่ไม่พอสำหรับตัวเจ้าใหญ่ปีนี้​ ดังนั้นเธอคงต้องส่งต่อมันให้เจ้ารอง

ถึงอย่างนั้นหลินชิงเหอก็ยังรู้สึกภาคภูมิใจ​ยามมองเด็กคนนี้ เขาช่างเหมือนพ่อไม่น้อย​ เธอรู้สึกพอใจมาก

ในกลางเดือนสิงหาคม​ ซูต้าหลินกับโจวเสี่ยวเม่ยก็มาที่ชนบทเพื่อพักผ่อนในวันหยุด

ซูเฉิงน้อยโตมาอย่างดี​ ส่วนซูสวิ่นน้อยคลานได้รวดเร็วแล้ว​ ซึ่งท่านแม่โจวเป็นคนดูแลเขาเป็นส่วนใหญ่

หลินชิงเหอไม่ว่างเลย​ เพราะต้องสอนหนังสือในชั้นเรียน

แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี

เมื่อคนทั้งคู่มาถึง​ ซูต้าหลินก็มาหาลูกชายที่รักทั้งสอง​ ขณะที่โจวเสี่ยวเม่ยคุยกับหลินชิงเหอตามประสาผู้หญิงคุยกัน

เรื่องหลัก ๆ​ ก็คือซูต้าหลินอยากได้ลูกสาวสักคน

หลินชิงเหอไร้คำพูดไป​ ทำไมถึงมาคุยเรื่องนี้กับเธอล่ะ?

“เรื่องนี้เธอต้องคุยกันเองกับน้องเขยนะ” หลินชิงเหอตอบ

“ฉันไม่อยากคลอดลูกแล้วน่ะค่ะ​ แต่เขาก็อยากได้ลูก” โจวเสี่ยวเม่ยถอนหายใจ

หลินชิงเหอครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนมองหล่อนและเอ่ยออกมา​ “เธออยากฟังความจริงจากปากฉันไหม?”

“พี่สะใภ้สี่โปรดบอกฉันเถอะค่ะ” โจวเสี่ยวเม่ยพยักหน้า

คนที่จะคุยเรื่องนี้กับหล่อนได้ก็มีเพียงพี่สะใภ้สี่เท่านั้น​ คนอื่น ๆ​ คงจะบอกให้หล่อนมีลูกในทันทีที่ได้ยินหล่อนพูด​ ทำไมหล่อนถึงจะไม่มีลูกล่ะ? ​ หล่อนมีลูกแค่สองคนเองนะ

เป็นเรื่องหายากที่จะมีลูกแค่สองคนในอายุเพียงเท่านี้

“ความจริงแล้ว​ ให้พี่พูดแบบไม่ตามใจนะ​ ถ้าเธอตั้งใจแบบนั้นเธอก็จงพยายามหนักขึ้นเพื่อให้มีเพิ่มคนเดียวก็พอ” หลินชิงเหอเอ่ยตามตรง

ในเมื่อโจวเสี่ยวเม่ยมาขอคำปรึกษาจากเธอ​ เธอก็จะให้

สำหรับผู้หญิงแล้ว​ การคลอดลูกช่างเจ็บปวดทรมานนัก​ แต่สิ่งที่ยากที่สุดไม่ใช่การคลอดลูก​ สิ่งที่ยากลำบากที่สุดก็คือการเลี้ยงดูเด็กหลังจากนั้น

โชคดีที่ยังมีท่านแม่โจวคอยช่วยดูแลเด็ก ๆ​ อยู่​ พูดตามตรงก็คือเรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่นัก

ซูต้าหลินมีการงานมั่นคงและยังมีบ้านเป็นของ​ตัวเอง​ ส่วนรายได้ของโจวเสี่ยวเม่ยก็นับว่าพอกินพอใช้​ มีรายได้สองทางแบบนี้​ จึงไม่ต้องกลัวว่าคนทั้งคู่จะไม่สามารถเลี้ยงลูกได้เลย

ตอนนี้ถือว่ายังยากลำบากอยู่บ้าง​ แต่ชีวิตหนึ่งก็มีแค่ไม่กี่ทศวรรษเท่านั้น​ ตอนนี้พวกเขายังเป็นแค่แครอทหัวน้อย ๆ​ แต่ในอีก 20​ ปีข้างหน้าพวกเขาก็จะกลายเป็นคนหนุ่มคนสาว​ หลังสอนสั่งพวกเขามาดีแล้วมันจะไม่ใช่เรื่องที่อยากจะเห็นสักหน่อยเหรอ?

อย่ากลัวว่าชีวิตจะเผชิญกับความยากลำบากในตอนเริ่มต้นเลย​ สิ่งที่ควรกลัวก็คือชีวิตที่ตอนแรกหวานชื่นกลับขมขื่นตอนท้าย​ ซึ่งเรื่องนั้นนับว่ายากที่จะทนได้

หลินชิงเหอไม่ปิดบังเรื่องนี้และไม่กล้าพูด​ออกมา​ เธอพูดเพียงว่ามันเป็นไปได้ที่จะมีลูก​ ซึ่งแน่นอนว่ามันขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของโจวเสี่ยวเม่ยเอง

เธอก็แค่พูดไปเท่านั้น​ เพราะเรื่องนี้คนที่ไม่ได้มาเจอกับตัวจริง ๆ​ คงไม่รู้หรอก

แต่ความจริงก็คือ​ หากเป็นหลินชิงเหอเอง​ เธอคงเต็มใจที่จะมีลูกเพิ่มหนึ่งหรือสองคนถ้ามีคนช่วยเลี้ยงดู​ ต่อให้เธอรู้ว่าตอนคลอดลูกมันเจ็บมากก็ตาม

โจวชิงไป๋เองก็อยากได้ลูกสาวมานาน​ หากเธอให้กำเนิดลูกได้เธอก็อยากจะคลอดให้เขาสักคน

โชคร้ายที่เจ้าของร่างเดิมไม่ปรานีใด ๆ​ เธอทำหมันให้ตัวเอง​ แล้วจะมีลูกได้อย่างไรล่ะ

โจวเสี่ยวเม่ยได้ฟังก็เข้าใจ

“ฉันไม่รู้เลยค่ะว่าคุณแม่จะเลี้ยงได้หรือเปล่า?” โจวเสี่ยวเม่ยมีท่าทีลังเล

“เธอลองไปถามคุณแม่ดูสิ” หลินชิงเหอบอก​ เธอไม่ใช่คนที่จะเลี้ยงเด็กจึงไม่สามารถตัดสินใจแทนท่านแม่โจวได้

“งั้นฉันจะมีลูกคนนี้ให้เขาเป็นคนสุดท้ายนะคะ​ หลังคลอดคนนี้เสร็จก็จะไล่เขาไปทำหมันแล้วค่ะ!” โจวเสี่ยวเม่ยขบฟัน

หลินชิงเหอยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไร​ การมีลูกสามคนไม่ใช่เรื่องเล็กเลย​ ครอบครัวเธอเองก็มีลูกชายสามคนไม่ใช่เหรอ?

จากนั้นโจวเสี่ยวเม่ยก็ไปหาท่านแม่โจว

“แกก็มีลูกอีกคนแล้วกัน​ ต่อให้เลี้ยงหนึ่งคนหรือสองคนมันก็คือเลี้ยงเด็กเหมือนกันนั่นแหละ​ แกกับต้าหลินก็แค่เอาอาหารกับไข่มาให้​ เฉิงเฉิงกับสวิ่นสวิ่นกินจุมาก เด็กสองคนนี้กินอาหารเยอะมากเลย” ท่านแม่โจวตอบ

“เรื่องนี้หนูไม่ต้องให้แม่เตือนหรอกค่ะ” โจวเสี่ยวเม่ยอมยิ้ม

ลูกชายคนโตกับลูกชายคนรองต่างอ้วนจ้ำม่ำกันทั้งคู่​ หล่อนรู้ได้โดยไม่ต้องถามเลยว่าพี่สะใภ้สี่ต้องให้พวกเขากินอาหารอร่อย ๆ​ เยอะมากแน่ ๆ

หล่อนกับซูต้าหลินเองก็ไม่ขี้เหนียว​ ครั้งนี้พวกเขามาพร้อมกับแป้งสาลีขาว​ 10 ชั่งและไข่ตะกร้าหนึ่ง​ ทุกอย่างล้วนถูกเก็บไว้ที่บ้านสะใภ้สี่

ส่วนครอบครัวสาขาอีกสามครอบครัวจะได้ลูกอมกำมือหนึ่ง​แทนการแสดงน้ำใจ

……………………………………………..

สารจาผู้แปล

ขอให้คราวนี้เสี่ยวเม่ยได้ลูกสาวอย่างที่หวังไว้นะคะ​

ส่วนแม่นั้น…คงได้แต่รอปาฏิหาริย์หมันหลุดต่อไปค่ะ

ปล. คนสมัยก่อนเลี้ยงลูกเก่งมากนะคะ​ บางบ้านลูกเป็นสิบคนแต่เลี้ยงจนได้ดีทุกคนเลยค่ะ​ นับถือเลย

ไหหม่า (海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset