บทที่ 199 ไปโรงเรียนไม่เห็นสนุกเลย

บทที่ 199 ไปโรงเรียนไม่เห็นสนุกเลย
โดย

บทที่ 199 ไปโรงเรียนไม่เห็นสนุกเลย

หลินชิงเหอสอนวิชาคณิตศาสตร์ชั้นปีแรกราว 2-3 ห้องเรียน

นับจากภาคการศึกษาแรกของปีที่แล้วจนถึงภาคการศึกษาที่สองของปีนี้ หลินชิงเหอได้สอนนักเรียนเป็นกลุ่มแรก เธอไม่ค่อยสันทัดวิชาภาษาจีนนัก แต่เมื่อเป็นวิชาคณิตศาสตร์ เธอก็ทำให้นักเรียนจากชั้นที่เธอสอนมีอัตราสอบผ่านสูงมาก

ในกลุ่มพวกเขา มีนักเรียนเกือบสิบคนที่ได้เข้าร่วมการแข่งขันคณิตศาสตร์ และสองคนในนั้นได้อันดับสาม

แม้ของรางวัลที่พวกเขาได้จะเป็นแก้วเคลือบคนละใบ แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาก็นับว่าดีไม่น้อย

ทั่วทั้งโรงเรียนมัธยมต้นประจำอำเภอนับจนถึงตอนนี้ มีเพียงนักเรียนที่หลินชิงเหอสอนเท่านั้นที่ชนะรางวัลจากการแข่งขันครั้งนี้

ต่อให้จะได้แค่ที่สามก็ตาม

ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครตั้งคำถามเกี่ยวกับคุณภาพการสอนของหลินชิงเหอในโรงเรียน

แม้แต่บัณฑิตรุ่นเยาว์ที่ถูกเธอสยบได้ในครั้งก่อนก็ไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ พวกเขายังคงจับตามองทักษะการสอนของเธออยู่

เห็นชัดว่าหลินชิงเหอไม่ให้โอกาสพวกเขาแม้แต่น้อยตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงจุดจบ

เจ้าใหญ่เองก็อยู่ในชั้นเรียนนี้ด้วย นี่จึงเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นแม่ของตัวเองในฐานะคุณครู ทำให้เขาไม่อาจละสายตาไปได้

แม่ของเขาช่างดูโดดเด่นเป็นสง่าเหลือเกิน ใครที่มองถึงกับละสายตาจากเธอไม่ได้เลย

จนถึงตอนเลิกชั้นเรียน เจ้าใหญ่ก็ยังไม่ออกจากภวังค์ในเรื่องนี้

แม่ของเขาในด้านนี้ช่างต่างจากแม่ของเขาที่บ้านเหลือเกิน

เป็นเรื่องปกติที่จะมีคนบางคนในห้องเรียนรู้ว่าคุณครูหลินเป็นแม่ของโจวข่าย

เจ้าใหญ่มีชื่อจริงว่าโจวข่าย ชื่อเล่นอย่างเจ้าใหญ่เป็นชื่อที่เรียกกันที่บ้าน แต่เมื่ออยู่นอกบ้านแล้วทุกคนจะเรียกเขาว่าโจวข่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่โรงเรียน

“โจวข่าย คุณครูหลินเป็นแม่ของนายเหรอจ๊ะ?” เพื่อนร่วมชั้นผู้หญิงคนหนึ่งถาม

“อืม” เจ้าใหญ่ส่งเสียงตอบ ไม่มีเหตุผลที่เขาจะไม่ยอมรับมัน โรงเรียนมัธยมต้นนี้ไม่ไกลจากบ้านนัก มันคงจะดูเสแสร้งเกินไปหากจะจงใจปฏิเสธ

แน่นอนว่าเหล่านักเรียนรอบ ๆ ต่างไม่ประหลาดใจ แค่รู้สึกอิจฉาเล็กน้อย

มองแม่ของโจวข่ายแล้วก็ชวนให้อัศจรรย์ใจ แน่นอนว่าแม่ของพวกเขาเองก็ไม่ได้แย่ แต่แค่…แค่ไม่ดีเท่าคุณครูหลินเท่านั้นเอง

โจวข่ายหรือเจ้าใหญ่ไม่เอ่ยอะไร หลังพักการเรียนการสอน 10 นาที คุณครูอีกคนก็เข้ามาในห้องเรียน

โรงเรียนมัธยมต้นต่างจากโรงเรียนประถมอยู่ ตรงที่โรงเรียนมัธยมต้นในตอนนี้มีการเรียนการสอนหลายวิชา ไม่ได้มีแค่วิชาภาษากับคณิตศาสตร์เท่านั้น

โจวข่ายปรับตัวได้อย่างดีเยี่ยม เขาผูกมิตรในชั้นเรียนได้อย่างรวดเร็วและปรับตัวเข้ากับชีวิตในปีการศึกษาใหม่ได้เป็นอย่างดี

เขากลับมาที่บ้านพร้อมกับหลินชิงเหอหลังเลิกเรียน

“แม้ชั้นมัธยมต้นจะมีเวลาศึกษาเพียงแค่ 2 ปี แต่ 2 ปีนี้ก็เป็นช่วงสำคัญต่อการวางรากฐานเหมือนกัน หลังจากนั้นจะเป็นการศึกษาชั้นมัธยมปลายปีที่ 1 กับปีที่ 2 ” หลินชิงเหอบอกเขา

ชั้นมัธยมปลายในยุคนี้ก็เป็นเหมือนกับชั้นมัธยมต้นตรงที่ไม่มีชั้นปีที่สามเหมือนกัน

ตอนนี้เจ้าใหญ่เรียนอยู่ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่หนึ่ง ด้วยจังหวะนี้แล้วเขาจะเข้าชั้นปีที่ 2 ของโรงเรียนมัธยมปลายในปี 1977 อันเป็นปีที่มีการฟื้นฟูการสอบเข้ามหาวิทยาลัย

เขาจะทันเข้าร่วมการสอบเข้ามหาวิทยาลัยปีที่ 2 แต่ถ้าเขาไม่สามารถสอบทันการสอบเข้ามหาวิทยาลัยในปีแรก ในภายภาคหน้าการแข่งขันก็จะสูงมากกว่านี้

เนื่องจากจู่ ๆ ก็มีการสอบเข้ามหาวิทยาลัยในปีแรกซึ่งสร้างความประหลาดใจให้กับทุกคน มันเลยไม่มีเวลาเตรียมตัวมากนัก มันง่ายนักหรือที่เหล่าบัณฑิตทั้งหลายจะทบทวนความรู้ที่ได้หลงลืมไปนานมากแล้ว?

แต่ในปีที่ 2 ช่างแตกต่างออกไป

ในปีที่ 2 จะมีคนเข้าร่วมจำนวนมาก พวกเขาต่างกระหายและใคร่อยากจะกลับเข้าไปในเมืองเหลือเกิน ดังนั้นเจ้าใหญ่ต้องตีตั๋วรถสอบเข้าในครั้งแรกกับเธอให้ได้

เนื่องเพราะเมื่อมีการฟื้นฟูการสอบเข้ามหาวิทยาลัยในปีที่ 2 มันก็จะมีวิชาภาษาอังกฤษเป็นวิชาบังคับสอบ ซึ่งหลินชิงเหอไม่มีเวลาสอนเขาตอนอยู่ที่บ้านแม้แต่น้อย

“แม่เหมือนจะรีบหรือเปล่าครับ?” เจ้าใหญ่ถาม

หลินชิงเหอยิ้ม “แม่รีบนิดหน่อยน่ะ ดังนั้นนับจากวันนี้ วิชาเรียนของลูกก็จะก้าวหน้าขึ้นอีกขั้น บางทีเมื่อเทอมนี้สิ้นสุด แม่ก็จะให้ลูกเลื่อนชั้นไปเรียนเทอมปลายของชั้นปีที่ 2 เลย”

เจ้าใหญ่อึ้งไป “แม่มีแผนแบบนี้เหรอครับ?”

“ลูกทำได้ไหมล่ะ?” หลินชิงเหอถาม

“ผมไม่รู้ครับ แต่ผมจะทำให้ดีที่สุด” เจ้าใหญ่ลังเลก่อนเอ่ยตอบ

หลินชิงเหอพยักหน้า “ลูกต้องทำให้ดีที่สุด ถ้าลูกทำไม่ได้จริง ๆ แม่ก็ไม่โทษลูกหรอก”

สองแม่ลูกคุยกันจนกระทั่งถึงบ้าน หัวข้อสนทนาจึงได้สิ้นสุด

หลินชิงเหอเข้าครัวไปทำอาหาร ขณะที่เจ้าใหญ่ทบทวนบทเรียน เขาไม่มีเวลาบอกครอบครัวเลยว่าแม่ของเขาช่างน่าประทับใจแค่ไหนตอนอยู่ที่โรงเรียน

เห็นเขาขยันเช่นนี้ ท่านแม่โจวก็รู้สึกพอใจมาก

เขาช่างเหมือนกับแม่ของเขาจริง ๆ โจวเซี่ยกับโจวหยางเองก็ไปโรงเรียนเหมือนกัน แต่พวกเขาต่างออกไป หลังกลับมาถึงบ้านก็เที่ยวเล่นแล้ว เมื่อย้อนมาดูบรรดาหลานชายพวกนี้ของนาง เขาช่างขยันเสียจริง ๆ ทันทีที่กลับมาถึงบ้านเขาก็ลงมือทบทวนบทเรียนแล้ว

“พี่ใหญ่ ตอนอยู่ที่โรงเรียน พี่เห็นแม่ของเราสอนหรือเปล่า?” ไม่นานนักเจ้ารองกับเจ้าสามก็กลับถึงบ้าน เจ้ารองถึงกับอดไม่ได้ถามขึ้นมา

เขาเองก็อยากเข้าเรียนชั้นปีแรกของโรงเรียนมัธยมต้นเหมือนกัน แต่น่าเศร้าที่ตอนนี้เขายังอยู่ระดับประถมปีที่ 4 ยังห่างไกลจากปีแรกในโรงเรียนมัธยมต้นอยู่นัก

“ตอนที่สอนหนังสืออยู่ แม่ดูต่างจากแม่ตอนที่อยู่ที่บ้านมากเลยล่ะ” ได้ยินดังนี้ เจ้าใหญ่ก็ยิ้มกริ่ม

“ต่างเหรอ? ตอนสอนแม่เข้มงวดมากหรือเปล่า?” เจ้ารองถาม

“แม่ต้องเข้มงวดมาก ๆ แน่เลย คุณครูของเราน่ะดุมากจนเพื่อนโต๊ะข้าง ๆ ผมกลัวถึงกับต้องร้องไห้ หนวกหูชะมัด” เจ้าสามย่นคิ้ว

ในภาคการศึกษานี้เขาอยู่ชั้นประถมปีแรก และพบว่าการเรียนหนังสือไม่ได้สนุกขนาดนั้น

พวกเขาอยู่ในโรงเรียนครึ่งวัน แม้เขาจะเดินไปที่ห้องพักครูเพื่อขอน้ำดื่มดับกระหายได้ แต่มันก็ยังน่าเบื่ออยู่ดี

“แม่เราไม่ได้เข้มงวดหรอก ตอนที่แม่สอนหนังสือ ไม่มีเสียงกระซิบกระซาบแม้แต่แอะเดียว ยิ่งกว่านั้นแม่ยังสอนดีมาก ทุกคนในห้องถึงกับเข้าใจกระจ่างหลังได้ฟัง แล้วก็มีคำถามเก่ามากมายที่จะถามด้วย” เจ้าใหญ่ตอบ

“แล้วมีใครโดนตีหรือเปล่า?” เจ้ารองถาม

“ไม่มีเลย พวกเขาเชื่อฟังกันดีมากทุกคน” เจ้าใหญ่ตอบ “ฉันเองก็ได้ยินว่ามีเด็กปี 2 ที่แม่เคยสอนมาหาแม่แล้วก็ถามข้อสงสัยด้วย”

“แม่เข้าใจเนื้อหาของชั้นมัธยมปีที่ 2 ด้วยเหรอ?” เจ้ารองถามอย่างประหลาดใจ

“แม่รู้สิ” เจ้าใหญ่พยักหน้าอย่างมั่นใจ

เจ้ารองมีสายตาชื่นชมในทันที แม่ของเขาเหมือนจะเข้าใจทุกอย่างจากการเรียนรู้ด้วยตัวเองจริง ๆ!

เจ้าสามไม่สนใจเรื่องเหล่านี้และหยุดคุยกับพี่ชายทั้งสอง

เมื่อเขาเดินออกมา ซูเฉิงน้อยก็เพิ่งกลับมาจากการเล่นนอกบ้าน เมื่อเห็นพี่ชายเดินมา เขาก็ตรงเข้ามาเกาะอีกฝ่าย “พี่สาม พี่ไปโรงเรียนมาเหรอครับ?”

“ใช่แล้วล่ะ แต่ที่โรงเรียนไม่เห็นสนุกเลย” เจ้าสามเอ่ยอย่างเศร้าสร้อย

“มันไม่สนุกแล้วทำไมทั้งพี่ใหญ่กับพี่รองถึงไปโรงเรียนล่ะ?” ซูเฉิงน้อยถามพลางกระพริบตา

“พวกเขาไปเพื่อเรียนรู้ ไม่ได้ไปเล่นน่ะ” เจ้าสามตอบ เขาไม่ได้ไปเพื่อเรียนหนังสือหรอก แต่ไปเพื่อหาความแปลกใหม่ ทว่ากลับต้องผิดหวัง

มีทั้งเด็กที่ร้องไห้โยเย เด็กที่น้ำมูกไหลอยู่ตลอด เด็กผู้ชายที่รังแกเด็กผู้หญิง แล้วก็เด็กงี่เง่าอยู่ในชั้นเรียน

เจ้าสามสู้กับคนบางคนในวันนี้ โดยที่อีกฝ่ายเป็นฝ่ายแพ้ แม้เขาจะนำเรื่องนี้ไปฟ้องคุณครู แต่คุณครูก็ไม่ได้ลงโทษเขาเนื่องจากอีกฝ่ายไปรังแกเด็กผู้หญิงจนเขาต้องออกโรงปกป้อง แถมคุณครูยังถามเขาด้วยว่าอยากเป็นหัวหน้าห้องหรือเปล่า

แม้มันจะฟังดูน่าตื่นตาตื่นใจ แต่มันก็คือการจัดการกับกลุ่มเด็กเล็ก ๆ ซึ่งเป็นงานที่น่าเบื่อไม่น้อย

“ถ้าผมโตขึ้น ผมจะไปกับพี่สาม แล้วก็จะมีกระเป๋านักเรียนด้วย” ซูเฉิงน้อยพูด

เขาอิจฉาเหลือเกินที่พี่ชายสามมีกระเป๋านักเรียน

เจ้าสามหัวเราะในลำคอและคิดว่า เด็กหนอเด็ก เขายื่นกระเป๋านักเรียนของเขาให้ “พี่ให้นายยืม นายเอาไปสะพายให้หนำใจไปเลย”

เรื่องนี้ทำให้ซูเฉิงน้อยดีใจจนตัวลอย

…………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เจ้าใหญ่สู้ ๆ หนูพยายามสอบเข้ามหาวิทยาลัยรอบแรกให้ได้นะ เป็นกำลังใจให้จ้า

ไปโรงเรียนตอนแรก ๆ ก็ไม่สนุกแหละเจ้าสาม แต่พอเรียนไปได้สักพักอาจจะไม่อยากกลับบ้านก็ได้นะ

ไหหม่า (海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset