บทที่ 207 ไม่หนาว

บทที่ 207 ไม่หนาว
โดย

บทที่ 207 ไม่หนาว

โจวชิงไป๋มีความสุขมาก วันเวลาในตอนนี้ช่างทำให้ชายที่ภาคภูมิใจในตัวเองรู้สึกมีความปิติยินดีเสียจริง พ่อแม่อยู่สุขสบายดี สายสัมพันธ์พี่น้องกลมเกลียว ภรรยาผู้อ่อนโยน ลูก ๆ ที่มีเหตุผลและแข็งแรง

สำหรับชายคนหนึ่งแล้วยังจะมีอะไรที่เติมเต็มเขาได้มากกว่านี้อีก?

ภรรยาให้ทุกอย่างที่เขามีในตอนนี้แล้ว เขารู้สึกขอบคุณเธอและอยากจะกอดเธอไว้

เป็นเรื่องยากที่หลินชิงเหอจะเห็นชายคนนี้ทำท่าเรียกร้องความสนใจตรง ๆ แบบนี้ เธอจึงคล้องคอเขาพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “มีอะไรเหรอคะ? คุณติดนิสัยนี้มาจากเจ้าสามเหรอ?”

โจวชิงไป๋จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของภรรยา ภายในดวงตาของเธอมีแต่ความรักใคร่ต่อเขา มุมปากของเขาจึงโค้งขึ้นเล็กน้อย

ชายคนนี้มักเป็นคนแข็งทื่ออยู่เสมอ แต่มันก็เป็นท่าทีเพียงเปลือกนอกเท่านั้น เขาชอบความอบอุ่นภายในครอบครัวยามกลับมาถึงบ้านแล้ว

หลินชิงเหอไม่เคยใจแคบกับเรื่องพวกนี้เลย

ไม่ว่าภายนอกเขาจะเหน็ดเหนื่อยเพียงใด เธอก็สามารถทำให้เขารู้สึกถึงความอบอุ่นภายในบ้านได้เสมอ

เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องถามหาความดีความชอบกับใคร เพื่อครอบครัวแล้วเขายอมยุ่งอยู่กับการทำงานนอกบ้าน ส่วนเธอก็มีหน้าที่ให้การดูแลบ้านเป็นอย่างดี เขาจึงไม่จำเป็นต้องกังวลอะไร

บ้านนี้สร้างจากมือเขาและเธอ ไม่มีเหตุผลที่เขาต้องแบกรับทุกอย่างไว้ด้วยตัวของเขาเอง

หลินชิงเหอถูกเขาอุ้มขึ้นไปไว้บนเตียงเตา จากนั้นการกอดก็กลายเป็นการจูบที่ดำเนินไปราว 3 นาที

“กลิ่นเหมือนเหล้าเลยนะคะ”

ทันทีที่จูบกันเสร็จ หลินชิงเหอก็ทุบเขาเบา ๆ อย่างมีจริตพลางทำปากยื่นใส่

“ภรรยาครับ” โจวชิงไป๋เอ่ยเรียกเธอด้วยเสียงทุ้มพร่า

คำว่า ภรรยาครับ คำนี้แสดงถึงความรักลึกซึ้งของเขาที่มีต่อเธอ มันทำให้หลินชิงเหอถึงกับอ่อนระทวยไปทั้งกาย

จากนั้นทั้งคู่ก็แสดงความรักกันอย่างอ่อนโยน

ในตอนกลางดึก อุณหภูมิอากาศได้ลดต่ำลงอีกครั้ง

ฤดูหนาวปีนี้ช่างหนาวเหน็บอย่างมากแม้จะเป็นช่วงปีใหม่ก็ตาม โจวชิงไป๋ต้องไปตรวจดูลูกชายทั้งสามคน เมื่อเห็นว่าเตียงเตายังอุ่นอยู่เขาก็รู้สึกวางใจขึ้นมา

เขาสวมกางเกงเก่า ๆ ตัวหนึ่งให้กับเฟยอิงที่อยู่นอกบ้าน มันกระดิกหางเป็นการตอบรับ จากนั้นโจวชิงไป๋ก็กลับเข้ามาในบ้านและนอนต่อ

“วันนี้หนาวจริง ๆ นะคะ” หลินชิงเหอตื่นนอนเช่นกันและเอ่ยขึ้น

“ตอนที่ผมเป็นเด็กมันก็เคยหนาวขนาดนี้ครั้งหนึ่งล่ะ” โจวชิงไป๋ตอบพลางกอดเธอไว้

“ฉันบอกได้เลยค่ะว่าคุณพ่อกับคุณแม่รักคุณมากที่สุด พวกเขาถึงไม่ปล่อยให้คุณหนาว” หลินชิงเหอยิ้มบาง

“พวกเขารักผมมากที่สุดล่ะ แต่สภาพบ้านตอนนั้นยังไม่ดีนักหรอก เราทุกคนต้องนอนกอดกันกลมเลยทีเดียว” โจวชิงไป๋บอก

ในยุคนั้นไม่มีผ้านวมฝ้ายผืนใหญ่ขนาดนี้ ทุกอย่างล้วนทำจากฟางข้าว แล้วฟางข้าวมันจะไปอุ่นได้อย่างไรล่ะ? แต่โชคดีที่มีท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวเป็นคนจัดการเรื่องภายในบ้าน พวกเขาจะกินอาหารให้อิ่มราวร้อยละ 50 ถึง 60 ดังนั้นต่อให้ปีนั้นอากาศจะหนาวแบบทารุณ พวกเขาก็ไม่แข็งตาย

ครอบครัวของพวกเขาอยู่รอดปลอดภัยดี แต่ครอบครัวอื่นบางครอบครัวไม่ได้โชคดีนัก

กล่าวโดยทั่วไปก็คือ ในฐานะพ่อแม่แล้ว ท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวถือว่าเป็นพ่อแม่ที่ดีเยี่ยม นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมพี่น้องทั้งชายหญิงถึงกตัญญูต่อพวกเขานัก

ยกอย่างเช่นโจวเสี่ยวเม่ยผู้เป็นลูกสาวคนเล็ก ด้วยเหตุที่ครอบครัวของพี่สาวใหญ่กับพี่สาวรองมีฐานะไม่มั่นคง ตอนนั้นที่ซูต้าหลินมาหาเพื่อพาซูเฉิงน้อยกับซูสวิ่นน้อยกลับไป เขาก็ได้นำแป้งสาลีขาวมาให้ท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวเป็นจำนวน 10 ชั่ง นอกจากนั้นยังมีเงินอั่งเปาอีก 10 หยวนด้วย

พวกเขาทุกคนล้วนกตัญญูอย่างมาก

“คุณนำผ้านวมผืนใหญ่สองผืนนี้กับฟูกมาให้ครอบครัวของเราเหรอ?” โจวชิงไป๋ถามอีกครั้ง

“อืม” หลินชิงเหอยิ้มตอบ

เธอเดาว่าชายคนนี้ต้องสงสัยเธอตั้งแต่ก่อนที่เธอจะสารภาพความจริงแน่ เพียงแต่ว่าเขาไม่ได้พูดออกมา

แน่นอนว่าโจวชิงไป๋เกิดความสงสัย แต่จินตนาการของเขาไม่ได้ล้ำลึกขนาดนั้น

ผ้านวมผืนใหญ่สองผืนนี้ล้วนเป็นของหายากโดยแท้ มันจะทำขึ้นมาง่ายขนาดนี้ได้อย่างไร?

และฟูกผืนนี้ก็นุ่มและอุ่นเป็นพิเศษด้วย

โจวเสี่ยวเม่ยเองก็ถามเรื่องนี้กับหลินชิงเหอเมื่อปีที่แล้ว

ลืมเรื่องผ้านวมไปได้เลย ครอบครัวของเขาขาดฟูกที่นอนอยู่ และเธอก็พบว่าฟูกขนสัตว์ผืนนี้มีคุณภาพยอดเยี่ยมไม่น้อย

แต่หลินชิงเหอก็ทำให้ความคิดนี้กระเจิงไป เธอบอกว่าเธอซื้อมันมาจากตลาดมืดและไม่รู้ว่าของชิ้นนี้มีที่มาจากที่ไหน

“ตอนนั้นฉันมีเงินไม่มากนัก ไม่อย่างนั้นฉันก็จะเก็บรังนกกับกระเพาะปลาไว้ด้วย” หลินชิงเหอรู้สึกเสียดายขณะที่เอ่ยถึงมัน

ในตอนนั้นเธอเป็นกังวลว่าเงินจะถูกใช้ไปจนหมดและทำให้กระเป๋าของเธอแบน ใครจะรู้ล่ะว่าเธอจะทะลุมิติมาเลยในตอนที่นอนหลับไป

แล้วก็ยังไม่ได้รับซาลาเปาที่สั่งไว้มาด้วย…

คิดถึงเรื่องนี้แล้วก็รู้สึกปวดใจเหลือเกิน

โจวชิงไป๋ยิ้ม

“นอนเสียเถอะค่ะ หลายวันมานี้เป็นเรื่องดีที่จะอยู่ใต้ผ้านวมไว้นะคะ” หลินชิงเหอโน้มน้าว

โจวชิงไป๋นอนลงพร้อมกับเธอ

หิมะด้านนอกตกหนักมากจริง ๆ เมื่อพวกเขาตื่นขึ้นในวันถัดไป ในลานบ้านก็มีแต่หิมะปกคลุมเป็นชั้นหนา

โจวชิงไป๋มองดูเด็ก ๆ เจ้าใหญ่กับน้อง ๆ ยังคงหลับอยู่ จากนั้นเขาก็ไปที่บ้านตระกูลโจว

ท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวยังคงสบายดี เขาจึงกลับมาต้มโจ๊กด้วยหัวใจที่สงบลง

แต่หลินชิงเหอไม่ต้องการเขา เธอตื่นขึ้นมาหุงโจ๊กข้าวฟ่างและโจ๊กซี่โครงหมูเม็ดบัวด้วยตัวเองแล้ว หากโจวชิงไป๋กลับมาทำในภายหลัง มันคงจะมีรสเค็มเกินไปหรือไม่ก็จืดเกินไปอย่างแน่นอน

เมื่อไม่มีอะไรต้องทำแล้ว โจวชิงไป๋ก็ออกไปวิ่ง

ปีนี้อากาศเย็นเกินไปจนพวกเขากังวลว่าลูกหมูจะอยู่ไม่รอดหากนำกลับมาเลี้ยงที่บ้าน ดังนั้นพวกเขาจึงวางแผนว่าจะรอให้อากาศอุ่นกว่านี้ก่อนพาพวกมันมาเลี้ยง

แม้แต่แม่ไก่ยังถูกย้ายไปที่โรงเก็บฟืนแทน ไม่อย่างนั้นพวกมันต้องแข็งตายแน่หากยังอยู่ในเล้าไก่

เนื่องจากอากาศหนาวเกินไป โจวชิงไป๋จึงไม่ได้พาเจ้าใหญ่ออกมาวิ่งเหมือนกับทุกครั้ง

หลังหลินชิงเหอต้มโจ๊กเสร็จแล้ว เจ้าใหญ่ก็ตื่นพอดี ส่วนเจ้ารองกับเจ้าสามยังคงนอนหลับอุตุบนเตียงเตาราวกับลูกหมู

“ไปแปรงฟันล้างหน้าแล้วค่อยเอาโจ๊กนี้ไปให้คุณปู่คุณย่านะ” หลินชิงเหอสั่ง

“ผมจะไปส่งมันก่อนครับ” เจ้าใหญ่บอก

หลินชิงเหอเทโจ๊กใส่กล่องอาหาร จากนั้นก็ให้เจ้าใหญ่ไปส่งมันให้กับคุณปู่คุณย่า

ท่านพ่อโจวยังไมตื่น แต่ท่านแม่โจวตื่นแล้ว

“คุณย่า คุณปู่เป็นยังไงบ้างครับ? เมื่อวานนี้หิมะตกหนักมากเลย” เจ้าใหญ่ถาม

“เขาไม่เป็นไรหรอก ผ้านวมที่แม่ของหนูให้มาอุ่นมาก ปู่กับย่าไม่หนาวเลย” ท่านแม่โจวยิ้ม

“งั้นก็ดีแล้วครับ” เจ้าใหญ่พยักหน้าพลางส่งกล่องข้าวให้นาง และกำชับว่าให้นางกินขณะที่ยังร้อน ๆ ก่อนจะเดินกลับบ้าน

ท่านแม่โจวรับไว้และเรียกให้สามีลุกขึ้น ท่านพ่อโจวตื่นแล้วก็ไม่ได้อยู่บนเตียงต่อ เขาลุกไปแปรงฟันล้างหน้าในทันทีที่แต่งตัวสวมเสื้ออุ่น ๆ ก่อนจะมากินอาหารเช้า

ของอย่างเม็ดบัวยังคงเป็นของมีค่า ที่นี่ไม่มีบึงสำหรับปลูกบัวเลย พวกมันล้วนนำเข้ามาจากภายนอกทั้งนั้น

แต่ของแบบนี้กลับไม่แพงเลยในสายตาของหลินชิงเหอ

เธอซื้อมาเป็นจำนวนมากและเก็บเอาไว้ เมื่อไหร่ที่เธออยากกินก็แค่เด็ดดีบัวออกอย่างระมัดระวัง ในเมื่อคนทั้งครอบครัวของเธอชอบกินแล้วทำไมถึงจะไม่ซื้อมาเก็บไว้ล่ะ?

โจวเซี่ยถึงกับน้ำลายสอเมื่อเห็นโจ๊กซี่โครงหมูเม็ดบัวชามนี้ ไม่ว่าเขาจะรู้สึกอยากกินขนาดไหน เขาก็รู้ว่าคุณปู่กำลังไม่สบายและไม่อาจขอเขากินได้

“คุณย่าครับ โจ๊กเม็ดบัวนี้อร่อยไหมครับ?” โจวเซี่ยหันไปถามคุณย่าของเขา

ท่านแม่โจวไม่ขี้เหนียวแต่อย่างใด นางตักให้เขาชิมช้อนหนึ่ง ในนั้นมีเม็ดบัวอยู่เล็กน้อย และมันก็หอมมาก

โจวเซี่ยไม่ได้ขอมากกว่านี้หลังได้กินโจ๊กช้อนนี้แล้ว เขาอิจฉาเจ้าสามและพี่ชายของเขามาโดยตลอด ของกินอร่อย ๆ ทุกอย่างล้วนเป็นฝีมือของอาสะใภ้สี่ทั้งนั้น

“วันนี้อากาศหนาวนะ ทำไมหนูไม่ใส่เสื้อหนากว่านี้ล่ะ?” ท่านแม่โจวถามเขา

“มันไม่มีเสื้อผ้าเหลือแล้วครับ แต่ผมทนหนาวได้” โจวเซี่ยตอบ

ท่านแม่โจวย่นคิ้วและลองจับเนื้อผ้าของเด็กชายดู ซึ่งก็พบว่ามันไม่หนาเลย นางจึงสั่งเขาว่า “กลับไปอยู่ในห้องแล้วอย่าออกมาข้างนอกนะ ถ้าหนูเป็นหวัดหลังเจออากาศหนาวจนแข็งแบบนี้ หนูจะต้องโดนฉีดยา”

คำว่าโดนฉีดยามีผลต่อโจวเซี่ยมากเสียจนเขายอมกลับเข้าไปอยู่ในห้องแต่โดยดี

…………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

อากาศหนาวแค่ไหนก็ไม่ทำให้พ่อลดความอยากกินแม่ลงเลยจริง ๆ ค่ะ ๕๕๕

ใช่ค่ะแม่ ผู้แปลเองก็รู้สึกเจ็บปวดกับซาลาเปาห้าร้อยลูกที่แม่ไม่ได้ไปเอาเหมือนกัน

สงสารโจวเซี่ยเลยค่ะ อาหารอร่อยๆ ก็ไม่ได้กิน เสื้อผ้าอุ่น ๆ ก็ไม่มีใส่

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset