บทที่ 217 ที่หนึ่งในอำเภอ

บทที่ 217 ที่หนึ่งในอำเภอ
โดย

บทที่ 217 ที่หนึ่งในอำเภอ

เธอรู้จักผู้ชายของเธอดี​ ต่อให้เขากลับบ้านดึก​ เขาก็จะไม่ทำอะไรที่ผิดต่อเธอ

“ไม่มีอะไรหรอก” โจวชิงไป๋เปลี่ยนกางเกงก่อนจะมานอนกอดภรรยา

หลินชิงเหอรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา​ หลังได้นอนไปบ้างแล้วเธอก็มีพลังฟื้นคืนมามากขึ้น​ และอยากทำเรื่องซุกซนกับเขาขึ้นมา

โจวชิงไป๋หัวเราะหึ ๆ​ และจัดให้ตามความประสงค์​ไปหนึ่งรอบ​ หลินชิงเหอรู้สึกพอใจและกอดชายของเธอจนหลับไป

วันต่อมาเธอก็ได้ยินถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้

เมื่อคืนมีคนใจกล้าบ้าบิ่นถึงขนาดเข้าไปขโมยอาหารจากลานตากธัญพืชของหมู่บ้าน

ทุกวันจะมีคนเฝ้าลานตากธัญพืชอยู่เสมอ แต่ไม่คาดคิดเลยว่าเมื่อคืนนี้จะได้พบเห็นใครบางคนขโมยอาหาร

โจวชิงไป๋ที่กำลังว่ายน้ำอยู่ได้ข่าวในเรื่องนี้ก็เข้าไปช่วยจับขโมย ยิ่งกว่านั้นขโมยคนนี้ยังเป็นคนรู้จักเก่าแก่ด้วย

เขาไม่ใช่ใครอื่นเลย แต่เป็นโจวเหอที่ถูกตอนเรียบร้อยเพราะคดีชู้สาว

จุดยืนของชีวิตเขาถูกคนอื่นทำลายจนย่อยยับแล้ว ชายคนนี้จึงปล่อยตัวปล่อยใจ ปฏิเสธที่จะทำงานทุกอย่างและกระทำความชั่วในทุกทาง

ซึ่งนี่ไม่ใช่ครั้งแรก

จากการให้การของยามที่เฝ้าลานตากธัญพืช เขาบอกว่าเหมือนจะเห็นความเคลื่อนไหวในตอนกลางดึกมาตั้งแต่เริ่มการเก็บเกี่ยวประจำฤดูร้อน แต่เป็นเพราะเขางีบหลับไปขณะเฝ้ายามก็เลยคิดว่ามันเป็นภาพลวงตา

อาจเป็นเพราะเหตุนี้เองที่ทำให้โจวเหอได้ใจ ยิ่งรู้ว่าทางสะดวกเขาก็ยิ่งอยากได้มากกว่านี้ ในครั้งนี้เขาจึงเคลื่อนไหวอุกอาจมากขึ้น แต่ก็มีใครคนหนึ่งออกมาปลดทุกข์ในตอนกลางดึกและเจอเขาพอดี

โจวเหอรีบเผ่นหนีอย่างว่องไว เขาโชคร้ายไม่น้อยที่ได้มาเจอกับลูกชายของหัวหน้าหมู่บ้านกับลูกชายคนรองของตระกูลไฉ่ที่กำลังจะมาผลัดเปลี่ยนเวรยาม

เขาจึงถูกจับได้

เหตุการณ์นี้เกิดไกลจากบ้านเรือนทั้งหลาย จึงไม่มีใครได้ยินเสียง

โจวชิงไป๋เองก็เห็นการเคลื่อนไหวบางอย่างจากริมตลิ่งเลยเข้าไปดู และในเมื่อเขาเป็นคนรู้เห็นแล้ว เขาจึงทำการสอบปากคำโจวเหอให้รับสารภาพต่อการขโมยอาหาร

นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขากลับบ้านดึก

โจวเหอถูกควบคุมตัวไปตั้งแต่เช้าตรู่ของวันนี้

เขาจะไม่ถูกคุมตัวไปได้ยังไงกันล่ะ? ในยุคนี้ข้อห้ามที่หนักที่สุดก็คือการกระทำเช่นนี้ ซึ่งโจวเหอได้เคยกระทำความผิดมาแล้ว และตอนนี้เขาได้ทลายไหที่แตกอยู่แล้วเพื่อขโมยอาหาร ยิ่งกว่านั้นเขายังขโมยไปหลายร้อยชั่งด้วย

หากเขาไม่ถูกลงโทษอย่างหนัก เขาก็จะเริ่มกระทำซ้ำ ๆ อยู่แบบนี้ แล้วในภายภาคหน้าจะเป็นเรื่องเลวร้ายขนาดไหนล่ะ?

โจวเหอจึงเผชิญกับชะตากรรมอันน่าสลด ครั้งนี้เขาถูกส่งตัวไปปรับทัศนคติ ชีวิตของเขาไม่อาจดีขึ้นมากกว่านี้แล้ว

ด้วยเรื่องนี้เอง ชาวบ้านจึงได้วิพากษ์วิจารณ์ครอบครัวของโจวเหอ ทำให้ทั้งครอบครัวอับอายขายหน้า

หลังหลินชิงเหอได้ยินเรื่องนี้แล้วเธอก็ไม่สนใจ เธอมาส่งอาหารให้ครอบครัวในตอนบ่าย

อาหารกลางวันไม่ใช่เหลียงผี เพราะเธอจะทำในตอนเย็น ดังนั้นในตอนกลางวันจึงเป็นหมั่นโถว ถั่วงอกจานหนึ่ง และหมูผัดพริกหยวกเขียว แถมด้วยไข่ต้มคนละฟอง ทั้งยังมีซี่โครงอบกล่องหนึ่งและแกงจืดสาหร่าย

ที่เหลือเป็นต้มถั่วเขียวหม้อหนึ่งที่กรอกใส่กระติกน้ำทหาร ทำให้พวกเขาเทออกมาใส่ชามดื่มได้ตามต้องการ

แม้การเก็บเกี่ยวประจำฤดูร้อนจะไม่เหน็ดเหนื่อยเท่าการเก็บเกี่ยวประจำฤดูใบไม้ร่วง แต่ก็ไม่อาจประมาทได้เหมือนกัน โดยเฉพาะแสงแดดที่แผดเผารุนแรงในฤดูนี้

ต้องบอกว่ายิ่งแดดแรงเท่าไร ทุกคนก็ยิ่งมีความสุข นั่นเป็นเพราะธัญพืชที่ตากไว้จะแห้งเร็วขึ้นหลังเก็บเกี่ยวมาแล้วและจะได้ถูกกรอกใส่กระสอบเพื่อส่งเป็นส่วนแบ่งสาธารณะ

หลังส่งส่วนแบ่งสาธารณะไปแล้ว ทุกคนก็สงบใจลง ในยุคนี้เป็นเรื่องน่าอายที่ไม่สามารถส่งส่วนแบ่งสาธารณะได้จนต้องกินอาหารบรรเทาทุกข์ ไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ใดก็ไม่มีหน้าจะสู้คนอื่น

ในฤดูร้อนนี้ โจวชิงไป๋ก็ได้เฝ้ารอที่จะจับกระต่าย แต่โชคไม่ดีที่ไม่มีกระต่ายให้จับ เพราะเขาไม่เห็นกระต่ายเลยสักตัว ส่วนคนอื่น ๆ เห็นกระต่ายแต่ก็จับไม่ทัน

เรื่องนี้ทำให้เด็ก ๆ รู้สึกผิดหวัง พวกเขาเคยชินกับการได้กินกระต่ายไปแล้ว ในช่วงเก็บเกี่ยวฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วงทุกครั้งพวกเขาจะได้กินกระต่าย แต่ในการเก็บเกี่ยวฤดูร้อนครั้งนี้กลับไม่ได้กิน

ส่วนบรรดาผู้ใหญ่ไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขากำลังตั้งความหวังไว้กับการรวบรวมธัญพืชให้ไวที่สุด เพราะดูจากสภาพอากาศตอนนี้เหมือนจะมีฝนอีกแล้ว

การเก็บเกี่ยวประจำฤดูร้อนเสร็จสิ้นอย่างรวดเร็วภายในครึ่งเดือน ซึ่งผลผลิตของปีนี้นับว่าต่ำกว่าปีที่แล้วนิดหน่อย แต่ก็ไม่ถือว่าต่ำเกินไปนัก อย่างน้อยก็ไม่ทำให้ผู้คนอดอยาก และยังมีกินจนถึงการเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วง

ตอนนั้นมันคงจะมีธัญพืชสุกแก่มากกว่านี้ ถึงตอนนั้นพวกเขาคงจะได้รับส่วนแบ่งมากขึ้น

ไม่กี่วันหลังเก็บเกี่ยวธัญพืชเสร็จ ทุกคนก็รีบหว่านเมล็ดชุดใหม่ในทันที ซึ่งการปลูกในครั้งนี้เกี่ยวข้องกับการเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วง

ฝนกำลังตั้งเค้า ไม่นานนักหลังหว่านเมล็ดพืชเสร็จ ฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก

เรื่องนี้ทำให้ผู้คนไม่ต้องรดน้ำต้นกล้าในนา พวกเขาสามารถพักผ่อนได้แล้วเช่นกัน

ขณะเดียวกัน ผลการสอบเข้าโรงเรียนมัธยมปลายของเจ้าใหญ่ก็ออกมาแล้ว เดิมทีหลินชิงเหอคาดคะเนว่าเขาคงได้คะแนนไม่น่าเกลียดนัก

แต่เธอไม่คิดเลยว่าเขาจะสอบได้ที่หนึ่งของอำเภอ

หลังได้ยินข่าว โจวชิงไป๋กับหลินชิงเหอที่เป็นพ่อแม่ก็ยังคงมีท่าทีสงบนิ่ง ในขณะที่ท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวที่เป็นปู่ย่าดีใจจนตัวลอยไปแล้ว

ที่หนึ่งของอำเภอ หลานชายของพวกเขาได้ที่หนึ่งของอำเภอในการสอบเข้าโรงเรียนมัธยมปลาย ซึ่งทั้งอำเภอก็มีเด็กมัธยมต้นจำนวนมากมาย แต่กลับเป็นหลานชายของพวกเขาที่ได้อันดับหนึ่ง

เรื่องนี้จะไม่ทำให้พวกเขายินดีปรีดาได้อย่างไรล่ะ?

แม้แต่หัวหน้าหมู่บ้านยังมาแสดงความยินดีกับเขาด้วยตัวเอง และพูดว่าตระกูลโจวกำลังจะผลิตนักศึกษามหาวิทยาลัยออกมา

ถ้าอันดับหนึ่งของอำเภอยังสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ แล้วคนที่เข้ามหาวิทยาลัยได้จะมีความสามารถระดับไหนกัน?

และด้วยผลการเรียนอันยอดเยี่ยมของเจ้าใหญ่ โรงเรียนประจำอำเภอจึงไม่เก็บค่าเล่าเรียนหากเขาเข้าโรงเรียนประจำอำเภอแล้ว

ยุคนี้ยังไม่มีทุนการศึกษา มีแต่การยกเว้นค่าเล่าเรียน

ถึงอย่างนั้นก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย

เทียบกับท่านพ่อโจวและท่านแม่โจวทีปฏิบัติกับเจ้าใหญ่ราวแก้วตาดวงใจแล้ว หลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋ผู้เป็นพ่อแม่กลับวางท่าทีสงบนิ่งมากกว่าเดิม

“อย่าเพิ่งทะนงตัวนัก ขยันเรียนให้หนักต่อไปเถอะ” หลินชิงเหอพูด

ในครั้งนี้โจวชิงไป๋เองก็พอใจในตัวลูกชายคนโตเหมือนกัน โอกาสที่เขาจะได้เข้ามหาวิทยาลัยเดียวกับแม่ในอนาคตดูสูงขึ้นแล้ว

เจ้าใหญ่รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย แต่เมื่อหายตื่นเต้นแล้วเขาก็กลับไปเป็นเหมือนเดิม

เขารู้เหตุผลว่าทำไมเขาถึงได้เปรียบในครั้งนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะแม่ของเขา แม้โจทย์เหล่านั้นที่แม่ของเขาตั้งจะไม่เหมือนกับในข้อสอบเสียทีเดียว แต่มันก็คล้ายกันอยู่

โดยเฉพาะโจทย์หลักข้อสุดท้ายในวิชาคณิตศาสตร์ที่ไม่ได้ง่ายเลย แต่เขายังสามารถแก้มันได้ เขารู้สึกว่าเหตุที่เขาโดดเด่นขึ้นมาได้ในครั้งนี้ก็เป็นเพราะทำโจทย์ข้อนั้นได้

ชาวบ้านเองก็คิดแบบนี้อย่างเห็นได้ชัด

อย่างเช่นคุณป้าไฉ่ที่มาเยี่ยมในวันนั้นก็ได้นำถั่วเหลืองมาตะกร้าหนึ่ง ขณะที่หลินชิงเหอกำลังเคี่ยวซุปงา ซึ่งซุปงานี้ถือเป็นของโปรดของคนทั้งครอบครัว

“ปีนี้เจ้าใหญ่อายุ 11 ขวบแล้วสินะ” คุณป้าไฉ่เอ่ยขึ้น

ตอนแรกหลินชิงเหอไม่ได้คิดอะไรมาก เธอไม่ได้หยิ่งจนเชื่อว่าผู้คนมาเพื่อหมายตาลูกชายของเธอ เลยตอบไปว่า “ใช่ค่ะ ตอนนี้เขากินจุกว่าพ่อของเขาแล้ว เมื่อไหร่ที่เจ้าสองคนหลังจากเขาโตขึ้น ฉันก็กังวลว่าจะไม่สามารถเลี้ยงดูพวกเขาได้”

“เด็กหนุ่มพวกนี้กินจุเสียจนทำให้พ่อยากจนได้เลยจริง ๆ คำนี้คงเหมาะกับสถานการณ์ตอนนี้แล้วล่ะ” คุณป้าไฉ่ยิ้มหลังได้ยินดังนี้

หลินชิงเหอหัวเราะ

จากนั้นคุณป้าไฉ่ก็เอ่ยต่อ “หลานสาวคนที่สามของฉันน่ะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเจ้าใหญ่เลยนะ หล่อนทั้งขยันและซื่อสัตย์ กตัญญูต่อผู้หลักผู้ใหญ่มากเลยล่ะ”

หลินชิงเหอเริ่มตระหนักขึ้นได้หลังได้ยินดังนี้ “คนที่ชื่อว่าเสี่ยวฉาใช่ไหมคะ?”

“ใช่แล้วล่ะ” คุณป้าไฉ่แย้มยิ้ม “แม่เจ้าใหญ่ เธอคิดว่าเสี่ยวฉาเป็นอย่างไรเหรอ?”

………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ตอนนี้เฉลยแล้วนะคะว่าทำไมพ่อกลับดึก ผู้อ่านทุกท่านไม่ต้องร้อนใจกันแล้วนะคะ

เจ้าใหญ่สุดยอดค่ะ ที่หนึ่งในอำเภอแล้ว ต่อไปขอให้ได้เข้ามหาวิทยาลัยเดียวกับแม่นะคะ

อ้าว…ป้าไฉ่ เสนอขายตรงหลานสาวตัวเองให้เป็นสะใภ้แม่เสียแล้ว แม่จะว่าอย่างไรล่ะคะเนี่ย

ไหหม่า (海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset