บทที่ 236 เข้ามหาวิทยาลัย

บทที่ 236 เข้ามหาวิทยาลัย
โดย

บทที่ 236 เข้ามหาวิทยาลัย

ไม่ใช่เพราะหลินชิงเหอไม่อยากให้คนอื่นได้ลืมตาอ้าปาก แต่คนอื่น ๆ ไม่ได้มีเงื่อนไขชีวิตเหมือนกับโจวเสี่ยวเม่ย

ตอนนี้โจวเสี่ยวเม่ยมีเงินเดือน 30 หยวน ซูต้าหลินมีเงินเดือนเกือบ 50 หยวน เขาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นรองผู้อำนวยการแล้ว

เงินเดือนของทั้งคู่นับว่าสูงมาก

ดังนั้นหากทั้งคู่เก็บเงินได้มากขนาดนี้ แล้วคนอื่น ๆ จะว่าอย่างไรล่ะ? ต่อให้เธอพูดอะไรไปก็ไร้ประโยชน์

“ฉันจะฟังพี่สะใภ้สี่ค่ะ” โจวเสี่ยวเม่ยเอ่ยในทันที

แน่นอนว่าหล่อนต้องการฟังพี่สะใภ้สี่

ก่อนหน้านี้ที่หล่อนสามารถทำงานในโรงงานปัจจุบันได้ ไม่ใช่เพราะหล่อนเชื่อฟังพี่สะใภ้สี่ให้จ่ายกระป๋องดีบุกใต้โต๊ะผู้อำนวยการหรอกเหรอ

เมื่อถึงเวลาแต่งงาน ไม่ใช่ว่าเธอเขี่ยชายคนแรกกระเด็นและเลือกซูต้าหลินแทนงั้นหรือ?

ชายคนแรกนับว่าเป็นตัวเลือกที่แย่ เพื่อนร่วมงานของหล่อนได้แต่งงานกับเขาและมีชีวิตที่ย่ำแย่ พวกเขาทะเลาะกันตลอด ช่างย่ำแย่จริง ๆ

จนถึงตอนนี้พวกเขาก็ยังอยู่ด้วยกันอย่างแออัด

โจวเสี่ยวเม่ยไม่อยากนึกเลยว่าถ้าหล่อนเลือกแต่งงานกับชายคนแรก ในตอนนี้หล่อนจะมีชีวิตเป็นอย่างไร

โชคดีที่หล่อนเชื่อฟังพี่สะใภ้สี่และแต่งงานกับซูต้าหลิน เขาอาจจะติดอ่างไปบ้าง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร

โจวเสี่ยวเม่ยรู้สึกว่าชีวิตของหล่อนช่างโชคดีเหลือเกิน

ทุกอย่างนี้เป็นเพราะหล่อนเชื่อฟังพี่สะใภ้สี่ ดังนั้นเมื่อพี่สะใภ้สี่บอกให้หล่อนเก็บเงิน หล่อนก็จะเก็บเงิน

ในหนึ่งเดือนหล่อนเก็บเงินได้ 50 หยวน ครอบครัวของหล่อนอยู่ดีกินดีด้วยการใช้จ่ายเพียง 30 หยวนต่อเดือนเท่านั้น

เงิน 50 หยวนต่อเดือน 600 หยวนต่อปี นับว่าไม่ใช่เงินน้อย ๆ

หลินชิงเหอพยักหน้าและไม่เอ่ยอะไรมาก เพราะยังไม่มีบ้านจัดสรรจนกว่าจะถึงปี 1990 ยังมีเวลาอีกนาน

ส่วนบ้านเดี่ยวนั้นโจวเสี่ยวเม่ยซื้อไม่ไหวแน่ ต่อให้ทั้งคู่มีเงินเดือนสูงขนาดนั้น ราคาบ้านเดี่ยวในปี 1980 ก็เป็นหมื่น ๆ หยวนแล้ว

พวกเขาจะซื้อได้อย่างไรหากไม่มีรายได้เสริมจากทางอื่น? แต่ถ้าพวกเขาเก็บเงินเพื่อซื้อบ้านจัดสรรสักหลังในปี 1990 มันก็ยังเป็นไปได้

โจวเสี่ยวเม่ยนำคำแนะนำของหลินชิงเหอไปบอกซูต้าหลิน

ซึ่งซูต้าหลินก็เห็นด้วย

เขาเชื่อในตัวหลินชิงเหอพี่สะใภ้สี่คนนี้ ในตอนนี้ไม่ต้องพูดถึงราศีแห่งนักศึกษามหาวิทยาลัยมากนัก จัดว่าเป็นป้ายทองคำเลยทีเดียว

โดยเฉพาะหลินชิงเหอที่ร่ำเรียนด้วยตัวเอง ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าเธอจะฉลาดขนาดไหน

ลูกชายที่เป็นนักเรียนมัธยมปลายใหม่คนล่าสุดยังสู้เธอไม่ได้? แล้วเธอจะพูดผิดได้อย่างไร?

“ครอบครัวของเรา…คิดจะ…ต่อไฟฟ้า…เข้ากับ…ทีวี…”

ก่อนที่ซูต้าหลินจะพูดจบ โจวเสี่ยวเม่ยก็รู้ว่าเขาจะพูดอะไร หล่อนตอบทันควัน “ไม่ซื้อค่ะ ให้ลูกเราหยิบหวานเย็นไปดูทีวีที่บ้านข้าง ๆ เราสิคะ”

โจวเสี่ยวเม่ยบอกได้ว่าในอนาคตพี่สะใภ้สี่อยากอยู่ในเมืองหลวง เมื่อคิดถึงเรื่องนี้หล่อนก็รู้สึกตื่นเต้น

หล่อนเองก็อยากไปอยู่ปักกิ่งเหมือนกัน

แต่การได้ไปช่างไม่ใช่เรื่องง่ายเลย โดยเฉพาะเวลาที่มันต้องใช้เงิน พวกเขาจึงต้องเก็บเงินอย่างต่อเนื่องกันก่อน

ส่วนทีวีนั้น หล่อนไม่คิดที่จะซื้อมันหรอก

หลินชิงเหอมองรายได้ของครอบครัวแล้ว เมื่อนับทุนการศึกษาที่ได้ในครั้งนี้และเงินที่เก็บสะสมมาได้ในหลายปี เธอก็ยังมีเงินจำนวน 5,500 หยวนอยู่ในกระเป๋า

เธอทิ้งเงิน 500 หยวนไว้ให้ครอบครัว ส่วนเงินอีก 500 หยวนนั้นให้ไว้กับโจวชิงไป๋

“คุณเอาไปใช้นะคะ ไม่ต้องเก็บไป คุณก็รู้ว่าบ้านเรามีเงินเยอะขนาดไหน เข้าใจไหมคะ?” หลินชิงเหอให้เงินกับโจวชิงไป๋ และเธอยังให้คูปองบางส่วนกับเขาขณะออกคำสั่งอีกด้วย

โจวชิงไป๋มองหน้าเธอ “ผมจะไปส่งคุณที่นั่นนะ”

“ตกลงค่ะ” หลินชิงเหอตอบ

หลังจากนั้นโจวชิงไป๋ก็หยิบเงินเก็บใส่กระเป๋า

หลินชิงเหอกับเจ้าใหญ่ต้องไปลงทะเบียนเรียนในวันที่แปดมีนาคมพอดี พวกเขาต้องนำเอกสารทั้งหลายไปด้วย ซึ่งหลินชิงเหอก็รวบรวมไว้หมดแล้วก่อนจะออกเดินทาง พอถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ เธอกับโจวชิงไป๋ก็พาเจ้าใหญ่นั่งรถไฟไปเมืองหลวง

ท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวไปส่งพวกเขาที่ทางเข้าหมู่บ้าน พวกเขาลังเลที่จะจากกัน ท่านแม่โจวยังให้เงินกับหลินชิงเหอไว้ 100 หยวน นางยืนกรานให้เธอเก็บไว้พร้อมกับดวงตาแดงก่ำ

คนบางคนที่มีความสัมพันธ์อันดีกับเธอก็มาอำลาพวกเขาเช่นกัน

คนบางคนไม่ได้มาเพราะพวกเขาปากเสียกับหลินชิงเหอในเรื่องที่เธอไม่คิดจะสอนบัณฑิตคนอื่น ๆ

ตระกูลโจวไม่สนใจเรื่องนี้เลย

หลังนั่งรถไฟเป็นเวลาหลายวัน พวกเขาก็เดินทางถึงเมืองหลวง

หลังมาถึงแล้ว โจวชิงไป๋ก็ส่งสองแม่ลูกที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง โจวชิงไป๋ไม่รีบร้อนกลับไปนัก หลินชิงเหอเองก็ไม่อยากให้เขากลับเร็วเหมือนกันเพราะยังไม่เริ่มการเรียนการสอน

เมื่อเขาไปแล้ว เธอต้องรอถึงภาคการศึกษาหนึ่งกว่าจะได้เห็นหน้าเขาอีกครั้ง

พวกเขาลงทะเบียนเข้าเป็นอันดับแรกและขนกระเป๋าสัมภาระไปไว้ในหอพัก จากนั้นพ่อแม่ลูกก็เริ่มจัดข้าวของ

ปีนี้เป็นปี 1978 เจ้าใหญ่มีอายุได้ 14 ปีแล้ว ปีนี้เขาสูงถึง 180 เซนติเมตร

แต่เขาก็ยังเตี้ยกว่าโจวชิงไป๋ เพราะโจวชิงไป๋สูงประมาณ 185 เซนติเมตร แต่ในวันข้างหน้าเขาอาจจะสูงกว่าพ่อของเขาก็เป็นได้

ครั้งนี้เจ้าใหญ่ขนผ้านวมมาด้วย หลินชิงเหอเองก็เหมือนกัน ทั้งสองผืนมีน้ำหนักราว 6 ชั่ง และยังมีฟูกยัดฝ้ายผืนหนึ่งด้วย

ต่อให้อากาศหนาวเย็นลงอีก พวกเขาก็ไม่แข็งตาย

ที่เหลือก็เป็นเสื้อกันหนาวบุฝ้าย เสื้อไหมพรม ถุงมือ อื่น ๆ ส่วนเสื้อผ้าฤดูร้อนก็ถูกนำมาหมดทุกชุด

แถมยังมีของใช้อื่น ๆ อย่างยาสีฟัน แปรงสีฟัน อ่างล้างหน้า และกระติกน้ำร้อน

ทั้งสามคนจัดเรียงของพวกนี้ จากนั้นเจ้าใหญ่ก็ถูกไล่ไป เพื่อให้หลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋ได้มีพื้นที่ส่วนตัว

หลินชิงเหอดึงโจวชิงไป๋เข้ามาและเปิดห้อง

หลังแสดงใบทะเบียนสมรสและใบทะเบียนบ้านแล้ว ทั้งคู่ก็สามารถเข้าไปในหอพักและทำกิจกรรมคู่รักได้

ช่วยไม่ได้ ทันทีที่โจวชิงไป๋กลับไปแล้ว ใครจะรู้ว่าพวกเขาต้องรอนานเท่าไหร่ จึงเป็นเรื่องดีที่จะคั้นเขาจนแห้งในครั้งนี้

เมื่อครั้งหน้ามาถึง เขาก็คงจะมีพลังงานเต็มเปี่ยมอีกครั้ง

โจวชิงไป๋คิดถึงเธอเหมือนกัน เขาจึงดื่มด่ำไปกับเรื่องนี้ครู่หนึ่ง เมื่อเขากลับไปแล้ว เขาก็แสดงท่าทางห่อเหี่ยวไร้เรี่ยวแรง

ทุกคนในหมู่บ้านต่างลงความเห็นโดยอัตโนมัติว่า เป็นเพราะภรรยาของเขาเข้ามหาวิทยาลัย สำหรับเรื่องนี้

หลังจากนั้นในหมู่บ้านก็เหลือแค่เขากับลูกชาย 2 คน ลูกชายคนโตกับภรรยาต่างเข้ามหาวิทยาลัยกันแล้ว เขาจะคุ้นเคยกับเรื่องนี้ได้อย่างไร?

จึงเป็นธรรมดาที่เขาจะมีท่าทางห่อเหี่ยวแบบนั้น

สิ่งที่พวกเขาไม่เคยคิดเลยก็คือ โจวชิงไป๋ชายผู้จริงจังมีอาการป้อแป้ถึงขนาดนี้เป็นเพราะเขาดื่มด่ำกับความสุขมากเกินไปจนไม่เป็นอันกินบนรถไฟ

ขณะเดียวกัน เงื่อนไขการสอบเข้ามหาวิทยาลับครั้งที่สองก็ถูกประกาศ

หมู่บ้านโจวเจี่ยถึงกับวุ่นวายไปทั้งหมู่บ้าน

“หรือเป็นเพราะคุณครูหลินได้ยินข่าวนี้มานานมากแล้ว หล่อนก็เลยไม่อยากจะสอนกัน?” บางครอบครัวที่มีบัณฑิตหนุ่มสาวเป็นเขยหรือสะใภ้ที่ยืนกรานว่าจะขอหย่าก็นึกถึงเรื่องก่อนหน้านี้ที่เกิดกับหลินชิงเหอได้

คนอื่น ๆ ต่างได้สติทีละคน จากนั้นพวกเขาก็เริ่มออกปากสรรเสริญคุณครูหลินที่เห็นแก่คนในหมู่บ้าน

ตระกูลโจวไม่ได้ให้ความเห็นอะไรกับเรื่องนี้ พวกเขามีแนวคิดเป็นกลาง

……………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

แปลตอนนี้ไปก็หน้าร้อนนิดหน่อย เอ่อ กลางหอพักมหาวิทยาลัยก็จัดเหรอคะคุณแม่

ผลดีที่แม่ไม่สอนคนพวกนั้นออกมาแล้วค่ะ ไม่งั้นตระกูลโจวโดนด่าแน่

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset