บทที่ 245 ว่าที่แม่ยายในอนาคต

บทที่ 245 ว่าที่แม่ยายในอนาคต
โดย

บทที่ 245 ว่าที่แม่ยายในอนาคต

คนที่อยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้ล้วนมีจมูกไวมาก ในตลาดมืดมีทองคำขาย แต่ราคาค่อนข้างสูงลิ่วเลยทีเดียว

เดิมทีหลินชิงเหออยากจะซื้อทอง แต่เมื่อเห็นว่าราคาของมันไม่ใช่น้อย ๆ เลย เธอจึงไม่ได้ซื้อ

เธอซื้อชิ้นหยกจำนวนหนึ่งไปแทน และเป็นหยกคุณภาพค่อนข้างดีด้วย

“คุณไม่อยากซื้อทองเหรอครับ?” ชายคนขายถาม

“ไม่ค่ะ มันแพงเกินไป คุณเก็บเอาไว้ขายเองเถอะค่ะ” หลินชิงเหอเอ่ยอย่างไม่ลังเล

“ถ้าเป็นพวกงานเขียนพู่กันกับภาพวาดล่ะครับ? ของพวกนี้เป็นของจากยุคโบราณที่เหลืออยู่ เป็นของเก่าทั้งหมดเลย ในอนาคตจะต้องมีมูลค่าสูงมากแน่ ๆ ครับ” ชายคนขายคะยั้นคะยอ

“คิก ๆ มันมีมูลค่ามากจริงค่ะ ตอนที่ครอบครัวของฉันไม่มีถ่านใช้ในตอนหน้าหนาว ฉันก็ใช้ของสิ่งนี้เผาให้ความอบอุ่นอยู่น่ะค่ะ” หลินชิงเหอตอบด้วยท่าทางเฉยเมย

คน ๆ นั้นคงเห็นว่ามันคงไร้ประโยชน์ที่จะเก็บของเหล่านี้ไว้ ทองคำสามารถบอกได้ว่าเป็นของมีค่า แต่ในตอนนี้บรรดางานเขียนพู่กันกับภาพวาดเป็นของไร้ค่าอย่างแท้จริง

“ถ้าคุณต้องการ ผมก็มีทองอยู่บ้างนะครับ คุณรับไปทั้งหมดได้ในราคา 200 หยวนเลย” ชายคนนี้เห็นว่าหลินชิงเหอไม่ต้องการจึงเอ่ยขึ้นมา

“ฉันขอ 100 หยวนค่ะ” หลินชิงเหอต่อรองราคา

สุดท้ายแล้วหลินชิงเหอก็ต่อราคาจนได้ 150 หยวน และได้กำไลทอง 1 วง แหวน 1 วง และงานเขียนพู่กันกับภาพวาด 2 แผ่น เธอไม่รู้ว่าหน้าตามันเป็นอย่างไร แต่ดูเป็นของเก่าโบราณอยู่

เมื่อไม่มีใครอยู่แล้ว เธอก็นำของทั้งหมดเก็บเข้าช่องมิติ

จากนั้นเธอจึงเดินออกจากตลาดมืด ส่วนของอื่น ๆ เธอไม่ได้ถามหา เพราะพวกมันต่างมีราคาแพงเกินไป ไม่มีสักอันที่สามารถล่อใจให้ซื้อได้เหมือนกับของในอำเภอ

ตอนนี้หลินชิงเหอไม่มีรายได้เข้ามา มีเพียงเงินเก็บที่อยู่ในมิติเท่านั้น แต่ถึงอย่างไรหญิงสาวก็ไม่รู้สึกกังวลเลย

ถึงปี 1980 เมื่อไหร่ มันก็จะเป็นเวลาหาเงินของเธอ

เธอแค่ต้องเก็บต้นทุนเอาไว้บ้าง ซึ่งตอนนี้เธอยังมีเงินอยู่ในกระเป๋าสตางค์เป็นจำนวนมาก การขายธัญพืชและเนื้อหมูในหลายปีที่ผ่านมาไม่ได้สูญเปล่าจริง ๆ

เมื่อหลินชิงเหอกลับมา โจวข่ายก็ได้ตามหาเธอพร้อมกับนำกล่องอาหารมาให้

ในกล่องนั้นเป็นแกงนกพิราบที่เขานำมาจากบ้านของเพื่อน และขอให้แม่ของเพื่อนตุ๋นให้กิน

เขาเหลือไว้ให้ตัวเองครึ่งหนึ่ง และนำอีกครึ่งหนึ่งมาให้แม่ของเขา

หลินชิงเหอเห็นแล้วก็รู้สึกตื้นตันใจ “งั้นแม่ไม่เกรงใจแล้วนะ”

จากนั้นเธอก็ดื่มน้ำแกงนกพิราบ ส่วนเนื้อนกพิราบนั้นเหลือไว้ให้ลูกชายคนโตกิน เพราะเธอไม่ค่อยชอบกินมากนัก

“แม่ผอมเกินไปแล้วนะครับ แม่ต้องกินอีกเยอะ ๆ นับแต่นี้ไปผมจะเอาน้ำแกงมาให้ทุกอาทิตย์แล้วกันครับ” โจวข่ายบอก

“แล้วลูกไปเอาเงินมาจากไหนน่ะ?” หลินชิงเหอถาม

เพราะเงินที่เธอให้เขาไปก็มีมากขนาดนั้นแล้ว

“เพื่อนผมกับผมไปช่วยสอนวาดภาพน่ะครับ แล้วก็ได้เงินค่าจ้างมา” โจวข่ายบอก

“ถ้าทำแล้วเสียการเรียนแม่ไม่อนุญาตให้ทำนะ” หลินชิงเหอกล่าว

“ไม่หรอกครับ เราไปสอนหลังจากที่ทบทวนบทเรียนเสร็จแล้วต่างหาก แม่ไม่ต้องกังวลหรอก” โจวข่ายเอ่ย

หลินชิงเหอพยักหน้า ก่อนจะให้เงินเขาไว้ใช้จำนวน 1 หยวนและกลับมาที่หอพัก

ลูกชายของเธอต้องกตัญญูต่อเธอ แต่เธอก็ไม่ควรจะตึงเกินไป ควรปล่อยให้เขาได้มีเงินถุงเป็นของตัวเองบ้าง

โจวข่ายวางแผนจะนำน้ำแกงมาให้แม่ของเขาจริง ๆ ซึ่งนับจากวันนั้นหลินชิงเหอก็ได้ดื่มบำรุงร่างกายอยู่ตลอด

ไม่ว่าจะเป็นน้ำแกงไก่หรือน้ำแกงปลา เขามักจะนำมาให้เธอไม่ขาด

หวังลี่เห็นแล้วก็รู้สึกอิจฉามาก “ลูกชายของเธอกตัญญูเกินไปแล้ว”

“เธอก็เห็นแค่ด้านกตัญญูของเขาน่ะสิ ตอนที่เขายังเด็กและซนมาก ฉันถึงกับปวดใจบ่อย ๆ เลยล่ะ” หลินชิงเหอเอ่ยบ่น แต่บนใบหน้ากลับปรากฏรอยยิ้ม จากนั้นก็ตำหนิอย่างขำ ๆ “เด็กชายตัวเหม็นคนนี้ในที่สุดก็เห็นความดีของฉันแล้วสินะ”

หวังลี่ได้ยินก็หัวเราะเช่นกัน

ไม่ใช่แค่หวังลี่คนเดียวที่รู้สึกอิจฉา

แม่ของเพื่อนที่เมืองหลวงของโจวข่ายก็รู้สึกอิจฉาเป็นพิเศษเช่นกัน

พวกเขาเป็นคนตระกูลเวิงที่มีแซ่เวิง

ซึ่งท่านแม่เวิงก็ได้เอ่ยเรื่องนี้กับท่านพ่อเวิง “เด็กคนนี้ไม่รู้จะชมอย่างไรถึงจะพอนะคะ เขาเอาของมาที่นี่สัปดาห์ละครั้งแล้วบอกให้ฉันช่วยตุ๋นเป็นน้ำแกงบำรุงให้แม่ของเขา ฉันมีลูกชายสองคนกับลูกสาวสองคน แต่ไม่มีใครเป็นห่วงเป็นใยขนาดนี้เลย”

ยิ่งกว่านั้นเด็กหนุ่มคนนี้ยังมีเหตุผลมาก หากเขานำมาส่วนหนึ่ง เขาก็จะเหลือไว้ให้ครึ่งหนึ่ง หากเขานำมาครึ่งหนึ่ง เขาก็จะนำแค่น้ำแกงกลับไป

บางครั้งนางก็เก็บไว้ แต่ครั้งอื่น ๆ นางบอกให้เขานำกลับไป

“เขาเข้ามหาวิทยาลัยได้ด้วยอายุเท่านี้ แม่ของเขาคงจะฝึกฝนเขาอย่างหนักนะ” ท่านพ่อเวิงเอ่ย

ท่านพ่อเวิงรู้จักกับโจวข่าย เพื่อนของลูกชายคนนี้จะมาหาที่บ้านอยู่เสมอ และเป็นเด็กดีเยี่ยมคนหนึ่ง

“เฒ่าเวิง คุณไม่มีความคิดอะไรอยู่ในใจเลยเหรอ?” ท่านแม่เวิงกระซิบ

“ความคิดอะไร?” ท่านพ่อเวิงไม่คิดอะไรเลยจริง ๆ แค่เพื่อนของลูกชายคนหนึ่ง ไม่มีปัญหาอะไรหรอก

แม้เขาจะไม่ได้แย่ ลูกชายทั้งสองของเขาก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน

ตอนนี้ลูกชายคนโตเป็นทหาร มีตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการหมู่ หากทำงานต่อไปในภายภาคหน้าเขาก็จะได้เลื่อนยศเป็นผู้บัญชาการหมวด

ส่วนลูกชายคนเล็กตอนนี้เป็นนักศึกษาปีที่หนึ่งแห่งมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ทำให้ครอบครัวนี้ได้หน้าเป็นพิเศษ ท่านพ่อเวิงจึงไม่รู้ว่ามีอะไรต้องอิจฉาอีก

“คุณนี่หัวทึบจริง ๆ เสี่ยวข่ายดีแบบนี้ คุณไม่คิดที่จะให้เขาเป็นเขยของเราเหรอ?” ท่านแม่เวิงเอ่ยกับตัวเองเมื่อเห็นว่าสามีตามไม่ทันเรื่องนี้เอาเสียเลย

“คุณนี่ก็คิดไกลเกินไปแล้ว” ท่านพ่อเวิงมองค้อนภรรยาเมื่อได้ยินดังนี้

เด็ก ๆ เพิ่งจะอายุ 14 ปี ต่อให้อายุ 18 ปีจะเป็นวัยที่แต่งงานได้ถูกต้องตามกฎหมาย ก็ยังมีเวลาอยู่อีกนานกว่าจะถึงวัยนั้น ซึ่งไม่รู้ว่าพวกเขาจะเปลี่ยนไปมากหรือเปล่า

“คิดไกลอะไรกันคะ? ตอนที่เราแต่งงานกันก็แต่งกันตอนเด็ก ไม่ใช่ว่าตัวคุณตอนอายุ 13 ก็รู้จักเอาของกินทั้งหลายมาให้ฉันแล้วเหรอ?” ท่านแม่เวิงตอบ

ท่านพ่อเวิงกระแอมไอแห้งและเอ่ยตอบ “เป็นความคิดของยัยเด็กเหมยเจียคนนั้นต่างหาก อย่ากังวลไปเลย ถ้าพวกเขามีใจต่อกันจริง เขาก็จะมาที่บ้านเราบ่อยขึ้นและมีแผนของพวกเขาเอง ผู้ใหญ่อย่างเรา ๆ เข้าไปยุ่งก็อาจจะทำเสียเรื่องเสียเปล่า ๆ”

“คุณไม่ค้านเลยเหรอคะ?” ท่านแม่เวิงนำเรื่องนี้มาพูดกับสามีในวันนี้ไม่ใช่ว่านางต้องการให้บุตรสาวคนเล็กได้แต่งงานกับเพื่อนของลูกชาย แต่นางแค่ขอคำแนะนำเพิ่มเติมเท่านั้น

“พวกเขาก็เหมาะสมกันดีนะ แต่ไม่รู้ว่าครอบครัวฝั่งเขาเป็นอย่างไรนี่สิ” ท่านพ่อเวิงตอบ

หากดูโจวข่ายเป็นหลัก เขาย่อมไม่มีข้อเสียใด ๆ ยิ่งกว่านั้นเด็กหนุ่มยังอายุแค่ 14 ปี และกำลังจะตัวสูงเท่าเขา นับว่าเป็นเด็กรูปร่างแข็งแรงบึกบึนโดยแท้

ดูจากท่าทางแล้ว เขาน่าจะได้รับการศึกษาอย่างดีตั้งแต่ยังเด็กเช่นกัน ดังนั้นถ้าดูจากโจวข่ายคนเดียว ท่านพ่อเวิงก็ไม่คัดค้าน

แต่การแต่งงานไม่ใช่เรื่องของคนหนุ่มสาวสองคน ยังมีครอบครัวของทั้งสองฝ่ายมาเกี่ยวข้องด้วย

“ฉันได้ยินเจียต้งบอกว่าแม่ของเขาเป็นคนตรงไปตรงมา และหล่อนก็เชี่ยวชาญภาษาอังกฤษด้วย หล่อนเป็นที่หนึ่งในภาควิชาภาษาอังกฤษเลยล่ะค่ะ” ท่านแม่เวิงเอ่ย

จากนั้นนางก็มีอาการประหม่าเล็กน้อย หากเด็กสองคนมีใจต่อกันจริง ๆ ฐานะว่าที่แม่ยายในอนาคตก็คงจะเป็นอะไรที่น่าอัศจรรย์ใจมาก

แม้นางจะมีทะเบียนบ้านอยู่ในเมืองหลวง แต่นางก็ไม่อาจรู้สึกภูมิใจได้ เพราะดูจากฐานะของอีกฝ่ายที่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยแล้ว มันไม่ใช่เรื่องยากเลยในการขอย้ายทะเบียนบ้าน

“เรื่องนี้ก็ไว้แค่นี้ก่อนแล้วกัน อย่าเพิ่งคิดมากเลย หากคุณอยากจะสืบดูก็หาเวลาส่งอะไรบางอย่างไปให้เจียต้งและหยุดดูก็แล้วกัน” ท่านพ่อเวิงเอ่ย

เขารู้สึกว่าภรรยากำลังกังวลใจอย่างไม่เป็นเรื่อง แต่ก็ไม่กล้าพูดแบบนั้น ไม่อย่างนั้นแล้วคืนนี้เขาคงนอนไม่ได้

……………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เจ้าใหญ่จะได้เป็นเขยของบ้านนี้หรือไม่ ติดตามกันต่อไปนะคะ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset