บทที่ 247 หมาที่กัดมักไม่เห่า

บทที่ 247 หมาที่กัดมักไม่เห่า
โดย

บทที่ 247 หมาที่กัดมักไม่เห่า

ครั้งนี้หลินชิงเหอนำของกลับมาหลายอย่าง

แต่เธอไม่คิดที่จะขายของพวกนี้ในเมืองหลวงหรอก อย่างแรกก็คือเธอไม่คุ้นเคยกับที่นี่นัก อย่างที่สองคือคนที่นี่ฉลาดเกินไป

ขณะที่อยู่ในเมืองเกิด ทุกคนต่างชื่นชอบของที่มาจากเมืองใหญ่ ๆ ข้างนอก

เนื่องจากแต่ละเมืองอยู่ห่างไกลกันมาก โดยที่เมืองใหญ่ ๆ อย่างเมืองหลวงกับเมืองไห่หนานเป็นสถานที่ที่คนต่างหมายตา โดยเฉพาะคนในรุ่นหลัง ๆ

ดังนั้นเมื่อนำสินค้ามาขายและบอกว่าของพวกนี้มาจากไหน มันก็กลายเป็นที่นิยมได้ไม่ยาก ต่อให้สินค้าจากเมืองใหญ่ ๆ เหล่านี้จะดูเหมือนกันในสายตาของหลินชิงเหอก็ตาม

การซื้อของในเมืองไห่หนานครั้งนี้นับว่าประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง หลังทำเรื่องนี้สำเร็จแล้ว หลินชิงเหอก็กลับเข้าสู่โหมดการเรียนอีกครั้ง

แต่ในสิ้นเดือนพฤศจิกายนนี้เอง เรื่องบางอย่างก็เกิดขึ้นภายในหอพัก

เฉินเสวี่ยแท้งลูก

หล่อนลื่นล้มแล้วก็หล่นกระแทกลง

ช่วงเวลานี้อากาศเย็นมากแล้ว และยังมีหิมะตกไม่น้อยด้วย เฉินเสวี่ยที่ไม่ได้ระวังตัวจึงร่วงกระแทกบันไดแบบนี้

เดิมทีทุกคนไม่รู้ว่าจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น แต่มารู้เพราะเพื่อนสนิทคนหนึ่งของเฉินเสวี่ยบอก

คน ๆ นั้นแต่งงานแล้วเหมือนกัน หล่อนจึงมีประสบการณ์ในเรื่องนี้ และในครั้งนี้เฉินเสวี่ยก็สูญเสียบุตรไปในทันที

หลินชิงเหอไม่รู้สึกประหลาดใจเลยเมื่อได้ยินเรื่องนี้ ครั้งหนึ่งเธอเคยเห็นเฉินเสวี่ยอยู่กับเพื่อนชายอีกคนหนึ่ง ซึ่งมองผ่านครู่เดียวก็สามารถบอกได้เลยว่าทั้งคู่มีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา

โดยทั่วไปแล้วผู้ชายกับผู้หญิงจะไม่มีความใกล้ชิดสนิทสนมกันขนาดนั้น เว้นแต่ว่าพวกเขาจะหลับนอนด้วยกันแล้ว

มันเป็นเรื่องของคนอื่น หลินชิงเหอจึงไม่สนใจจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว

แต่หวังลี่กับเพื่อนร่วมหอพักคนอื่น ๆ ต่างตกใจเมื่อได้รับรู้เรื่องนี้

โดยเฉพาะหวังลี่ที่มาพูดกับหลินชิงเหอเป็นการส่วนตัว “สวรรค์เถอะ ฉันไม่เชื่อเลยว่าหล่อนจะทำเรื่องแบบนั้น ต่อให้หล่อนไม่ต้องการสามีกับลูกแล้วก็ยังกล้าทำเรื่องแบบนี้กับผู้ชายคนอื่นโดยที่คนอื่นไม่รู้ไม่เห็นงั้นเหรอ?”

“อย่าใส่ใจเรื่องนี้เลยน่า” หลินชิงเหอทำเพียงตอบไปแบบนี้

“ฉันก็ไม่อยากหรอกนะ แต่ฉันแค่รู้สึกสะอิดสะเอียนเวลาต้องอยู่กับคนแบบนี้น่ะ!” หวังลี่เอ่ยอย่างรำคาญใจ

ในอดีตที่ผ่านมาหวังลี่รู้สึกว่าเฉินเสวี่ยนิสัยไม่ดีและยังก้าวร้าวนิด ๆ แต่หล่อนรู้สึกว่าเรื่องนี้คือขีดต่ำสุดเลยทีเดียว

แค่ปีเดียวนับตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยเท่านั้น หวังลี่ก็ไม่อาจรับอะไรแบบนี้ได้

หลินชิงเหอเองก็รู้สึกรังเกียจกับเรื่องแบบนี้ที่เกิดขึ้นภายในหอพักไม่น้อย “แต่กฎระเบียบหอพักตอนนี้เข้มงวดมาก เปลี่ยนหอพักไม่ได้หรอก”

หวังลี่เองก็รู้ว่าไม่สามารถเปลี่ยนหอพักได้ เพราะไม่มีเตียงว่างเหลืออยู่เลย หล่อนถึงกับขบเคี้ยวฟัน “น่าไม่อายจริง ๆ!”

หวังลี่บ่นเรื่องนี้กับหลินชิงเหอเป็นการส่วนตัว ขณะที่เพื่อนร่วมหอพักคนอื่น ๆ กำลังพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น

“ทุกวันนี้ก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่ในหอพักของเราจะต้องมีการทะเลาะกันบ้าง แต่ถ้าต้องมาอยู่กับคนแบบนี้แล้ว ฉันก็คิดว่าฉันไม่อาจอยู่ในหอพักกับคนแบบนี้ได้หรอก!” คำพูดนี้มีความหมายชัดเจนว่าต้องการไล่เฉินเสวี่ยออกไป

“ฉันเองก็อยู่กับหล่อนไม่ได้เหมือนกัน ไร้ยางอายเกินไปแล้ว ต่อให้หล่อนยังไม่แต่งงาน แต่การทำแบบนี้มันก็ทำให้ผู้หญิงอย่างเรา ๆ ขายขี้หน้า” เพื่อนร่วมหอพักหญิงอีกคนหนึ่งที่ไม่ค่อยพูดมากนักเอ่ยแสดงความเห็นสนับสนุน

“ยังไม่แต่งงานอะไรกัน? เธอไม่รู้เหรอ? ตอนนี้ข้างนอกลือกันให้แซด ว่าตอนที่หล่อนอยู่ในชนบท หล่อนแต่งงานกับมีลูกชายลูกสาวอย่างละคนแล้ว!” ผู้พูดคนแรกเอ่ย

“นี่ยิ่งขายหน้าหนักกว่าเดิมอีกนะเนี่ย!” ฝ่ายหลังเริ่มแค่นเสียงตำหนิ “ถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นในอดีตมันถือว่าเป็นการเล่นชู้เลยนะ หล่อนทำตัวไร้ยางอายแบบนี้ได้โดนประณามจนตาย!”

นับตั้งแต่ที่แก๊งค์สี่คนหมดอำนาจ การประณามและการต่อสู้ก็จบลง เพราะคนเบื้องสูงไม่นิยมเรื่องแบบนี้

อย่างเช่นกรณีของหมู่บ้านโจวเจี่ย หวังหลิงกับชายที่ชื่อโจวเหอผู้ถูกประณามอย่างต่อเนื่องก็ได้ถูกปล่อยตัว แต่พวกเขายังคงมีชีวิตอยู่อย่างอนาถา

“พวกเธอกล้าพูดอีกสิ!” เฉินเสวี่ยที่กำลังนอนอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าซีดเซียวตวาดด้วยความรำคาญบทสนทนาของเพื่อนร่วมหอสองคนนี้

หวังลี่ผสมโรงกับคนทั้งคู่ในทันที หล่อนรู้สึกละเหี่ยใจกับเฉินเสวี่ยแล้ว “อะไร? เธอกล้าทำเรื่องแบบนี้แต่ยังกลัวว่าจะถูกพูดถึงงั้นเหรอ? เธอไม่รักและเคารพตัวเอง แล้วจะไปโทษใครเขาได้!”

“ใช่แล้ว ทุกคนอยู่ในหอพักกันอยู่ดี ๆ ก็ไม่คิดเลยว่าจะมีอึหนูมาปนอยู่ด้วย!”

“คนแบบนี้น่ะสมควรถูกไล่ออกไปแล้ว ไม่รู้ว่าผ่านการคัดกรองกับกฎระเบียบหอพักมาได้ยังไง?”

ในตอนนี้ ต่อให้คน ๆ หนึ่งได้รับคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว พวกเขาก็ยังต้องทำตามกฎระเบียบและผ่านการคัดกรอง ต่อให้ผ่านมาแล้ว แต่ถ้ากระทำความผิดเข้า พวกเขาก็ต้องยอมรับชะตากรรมของตัวเองและลงไปทำงานเก็บอุจจาระเป็นการชดใช้

ภายในหอพักมีแต่เสียงดังเซ็งแซ่ แต่หลินชิงเหอไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาเลยตั้งแต่ต้นจนจบ

แต่เธอแสดงจุดยืนของตัวเองอย่างชัดเจนว่าเธอกับเฉินเสวี่ยไม่สามารถเข้ากันได้ โดยเฉพาะเรื่องนี้ที่เป็นเรื่องน่ารังเกียจอย่างยิ่ง

แม้คนอื่น ๆ จะมีการทะเลาะกันบ้าง แต่โดยทั่วไปแล้วก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร ทุกคนต่างทำหน้าที่รักษาสุขลักษณะภายในหอพักอย่างเหมาะสม

แต่พอถึงตาเฉินเสวี่ยต้องทำบ้าง หล่อนก็จะต้องมีคนคอยบังคับถึงจะยอมทำอยู่ตลอด

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง หวังเหม่ยที่เป็นเพื่อนสนิทของเฉินเสวี่ยก็กลับมาพอดี

กับคนอื่น ๆ เฉินเสวี่ยทำเพียงยิ้มแสยะกับส่งสายตาเยาะเย้ยในตอนทะเลาะกัน แต่พอเป็นหวังเหม่ย หล่อนแทบจะกินเลือดกินเนื้ออีกฝ่ายเลยทีเดียว

หวังเหม่ยรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาหน่อย ๆ เมื่อเห็นแววเกลียดชังฉายจากดวงตาของเฉินเสวี่ย แล้วหล่อนก็เอ่ยขึ้นมา “เฉินเสวี่ย ทำไม…ทำไมถึงมองฉันด้วยสายตาแบบนี้ล่ะจ๊ะ?”

“หมาที่กัดมักไม่เห่า ในที่สุดวันนี้ฉันก็ได้เห็นกับตาแล้ว เธอมันนังแพศยา!” เฉินเสวี่ยขบฟันกรอด

มีแค่หวังเหม่ยเท่านั้นที่รู้เรื่องราวของหล่อน ดังนั้นหวังเหม่ยนั่นเองที่เป็นหมาลอบกัดหล่อน!

“ฉันไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเธอเลยนะ ใครบางคนมาเห็นเข้าตอนที่ฉันช่วยเอาของบางอย่างของเธอไปทิ้ง แล้วพวกเขาก็บีบให้ฉันต้องตอบ ฉันก็เลยต้องบอกความจริงไปน่ะ”

“อีเลว!” เฉินเสวี่ยสบถก่อนคว้าแก้วเคลือบข้างหัวเตียงแล้วเขวี้ยงใส่หล่อน

แล้วทั้งหอพักก็ตกอยู่ในความชุลมุนวุ่นวายไปพักใหญ่

ผลกระทบที่ตามมาจากเหตุการณ์นี้นับว่าเลวร้ายอย่างยิ่ง มันอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่เลยหากเกิดในยุคหลัง แต่ต้องทราบก่อนว่าตอนนี้ยังเป็นปี 1978 เท่านั้น อันเป็นปีที่สภาพสังคมกำลังเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง

เฉินเสวี่ยกับคนรักของหล่อนได้รับการลงโทษอย่างหนัก แต่ที่เหนือจากความคาดหมายของทุกคนก็คือทั้งสองต่างไม่สะทกสะท้านใด ๆ และยังคงไม่เลิกรากัน

ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังบอกด้วยความรำคาญว่าไม่ต้องการเด็กคนนั้น

หลินชิงเหอมาได้ยินเรื่องนี้ทีหลัง มันน่าขนลุกเกินไปแล้ว

แต่เธอก็ไม่มีเวลาจะมาใส่ใจมากนัก

เพราะหลังจากเข้าสู่เดือนธันวาคมแล้ว อากาศก็จะหนาวจัดอย่างแท้จริง

อากาศทั้งแห้งและเย็น เมื่อโจวข่ายนำน้ำแกงมาให้ หลินชิงเหอก็ถามขึ้น “ตอนกลางคืนลูกหนาวไหม? ผ้านวมอุ่นพอหรือเปล่า?”

“อุ่นพออยู่ครับ แล้วแม่ละครับเป็นยังไงบ้าง?” โจวข่ายถาม

ผ้านวมของเขาเป็นแบบหนัก 6 ชั่งและในฟูกยังยัดไส้ไว้แน่น แถมเขายังเป็นเด็กหนุ่มแข็งแรงคนหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงไม่รู้สึกหนาว

ขณะที่เพื่อนร่วมหอพักของเขาหนาวแทบจะแข็งตาย มาจากครอบครัวที่ยากจนแสนเข็ญและผ้านวมที่ใช้ยังเก่าและบาง แต่ถึงกระนั้นโจวข่ายก็ไม่ต้องการจะนอนร่วมห้องกับเขาเพราะเพื่อนคนนี้ประหยัดสุดโต่งเกินไปในการอาบน้ำอย่างสม่ำเสมอ

โจวข่ายไม่ชอบอาบน้ำบ่อยมากนักในฤดูหนาว อาจเป็นเพราะถูกหลินชิงเหอสอนมา เขาจึงเคยชินไปกับการรักษาความสะอาดแล้ว ทุกสัปดาห์เขาจะต้องไปที่โรงอาบน้ำ 2 ครั้ง

แล้วเขาจะทนกับเรื่องนี้ได้หรือ?

…………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

แปลตอนนี้แล้วรู้สึกหลายอารมณ์มากค่ะ แต่ก็…ชีวิตใครชีวิตมันล่ะนะคะ ในเมื่อทำตัวเองแล้วก็ต้องรับผลจากการกระทำของตัวเองไป

ไหหม่า (海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset