บทที่ 250 อยากใช้เวลาอยู่ร่วมกับภรรยา

บทที่ 250 อยากใช้เวลาอยู่ร่วมกับภรรยา
โดย

บทที่ 250 อยากใช้เวลาอยู่ร่วมกับภรรยา

วันต่อมา​ หลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋ก็ได้ขี่จักรยานคนละคันเข้าไปในอำเภอ

เธอคืนจักรยานให้โจวเสี่ยวเหมยด้วยวิธีนี้​ จากนั้นก็พาโจวชิงไป๋ไประบายขายของที่ซื้อมาจากไห่หนาน

ตลอดการขาย โจวชิงไป๋ทำได้แค่มองดูภรรยา​ เห็นชัดว่าภรรยาของเขาเป็นระดับมืออาชีพ​ จนเขารู้สึกไร้พลังและอัศจรรย์​ใจไปพร้อม ๆ​ กัน

นาฬิกาสามเรือนถูกขายไปในตลาดมืด​ และหลินชิงเหอก็ได้เงินมา​ 600 หยวน

เดิมทีเธอวางแผนว่าจะขายนาฬิกาเรือนหนึ่งในราคา​ 220-230 หยวน แต่หลังจากคิดดูแล้ว​ เธอก็ลดราคาลง​ เพราะรู้สึกว่าสะดวกที่จะขายด้วยราคา​ 200​ หยวนมากกว่า

หลินชิงเหออารมณ์ดีอย่างมากขณะเอ่ยกับโจวชิงไป๋ “ตอนที่ฉันเดินเล่นในเมืองไห่หนานในช่วงว่าง ๆ​ มันราคาแค่ 130 หยวนเองค่ะ​ กำไรเกือบ​ 70​ หยวนเลยทีเดียว”

โจวชิงไป๋ส่งเสียง​ ‘อืม’​ ตอบรับ​ เขารู้ว่าสิ่งที่ภรรยากำลังทำอยู่คือสิ่งที่โลกอนาคตเรียกว่า​ ‘การขายเก็งกำไร’​

จุดนี้คือเรื่องใหญ่ที่สุด​ มันไม่ใช่แค่การสร้างความวุ่นวายธรรมดา​ แต่เทียบกับคนอื่น ๆ​ แล้ว​ กล่องที่ภรรยานำมาด้วยจากอนาคตถือว่าปลอดภัยกว่าอย่างเห็นได้ชัด

ถึงอย่างนั้นโจวชิงไป๋ก็ยังไม่เต็มใจให้ภรรยาออกมาทำอะไรแบบนี้อยู่ดี

“อย่าเอาบรรทัดฐานทั้งหมดของผู้ชายมาตัดสินฉันนะคะ​ ฉันมีความสุขมากที่เป็นอยู่แบบนี้” หลินชิงเหอเอ่ยขณะกวาดสายตาเหลือบมองเขา

“ผมไม่ได้คิดแบบนั้นนะ” โจวชิงไป๋ปฏิเสธ

เป็นครั้งนี้เองที่หลินชิงเหอยอมให้เขาตามมา​ เดิมทีเธอไม่ได้ให้เขาตามมาในตอนที่เอาของไปขายต่อ​ แต่เขายืนกรานว่าอยากตามมาด้วย​ เธอจึงยอมให้เขามา​ แต่ก็ไม่อนุญาตให้เขาขัด

จากนั้นหลินชิงเหอก็ขายต่อนาฬิกาที่เหลืออยู่ในมือ​ ตามมาด้วยพัดลมไฟฟ้าและวิทยุ​ แล้วพวกเขาก็หาคนที่จะเป็นตัวแทนซื้อของไปขายต่อ

พวกเขาเจอเสิ่นอวี้และขายส่งสินค้าในมือให้หล่อน

จากนั้นก็ให้เสิ่นอวี้นำของไปขายต่อ

เสิ่นอวี้มีความกล้าที่จะทำ โดยเฉพาะหลังจากที่หล่อนมีลูกสองคนแล้ว​ แม้ครอบครัวของหล่อนจะมีรายได้สองทาง​ แต่ใครล่ะจะไม่อยากได้เงินมากกว่าเดิม?

หล่อนรับของเหล่านี้มาจากหลินชิง​เหอ​ หลังจากนั้นก็แค่บอกแหล่งที่มาของสินค้าว่ามาจากไหนในตอนที่จะขาย​ เรื่องนี้ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด

โดยเฉพาะในตอนนี้ที่ของขาดตลาด มันค่อนข้างไว

แน่นอนว่าหล่อนต้องระวังตัว​ จะทำตัวให้เป็นที่ผิดสังเกตไม่ได้

ทั้งหมดทั้งมวลแล้ว​ สินค้าของหลินชิงเหอก็ถูกขายออกหมดเกลี้ยง​ และได้ผลตอบแทนจำนวนมหาศาล

ขณะอยู่ที่นั่น​เธอก็ซื้อของขวัญปีใหม่กลับมาที่บ้านด้วย​ เธอไม่ได้มาอีกครั้งเว้นแต่ว่าจะเป็นวันที่ครอบครัวของเธอออกไปเที่ยวนอกบ้านในวันขึ้นปีใหม่

“ที่ไห่หนานพัฒนาเป็นยังไงบ้าง?” โจวชิงไป๋ถาม

“ที่นั่นพัฒนาไปเร็วมากค่ะ​ คุณไม่รู้หรอกว่าของบางอย่างที่นั่นไม่ต้องใช้คูปองซื้อแล้ว​ ตราบใดที่มีเงินก็ซื้อพวกมันได้ค่ะ” หลินชิงเหอตอบ

ตอนนี้เข้าสู่สิ้นปี​ 1978 แล้ว​ จะเห็นได้ว่าโลกภายนอกกำลังพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว​ แต่ละท้องถิ่นเริ่มเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมแล้ว

“ผมจะหาเวลาว่างออกไปดูสักหน่อยนะ” โจวชิงไป๋เอ่ย

“คุณไม่ต้องรีบร้อนหรอกค่ะ​ ถ้าคุณมีเวลาแค่มาหาฉันที่เมืองหลวงก็พอ” หลินชิงเหอบอก

“คุณอยากให้ผมไปเยี่ยมเหรอ?” โจวชิงไป่ถามพลางยกยิ้มเล็กน้อย

หลินชิงเหอเอ่ย​ “จริง ๆ ​แล้วฉันก็อยากนะคะ​ คุณไม่รู้หรอกว่าฉันคิดถึงคุณมากขนาดไหน​ บางคืนฉันก็ฝันถึงคุณ​ แต่ก็รู้ว่าคุณยุ่งมาก​ ยิ่งกว่านั้นการเดินทางไปกลับยังใช้เวลานาน​ เสียเวลาไปไม่ใช่น้อย”

“พรุ่งนี้ผมจะหาเวลาไปนะ” โจวชิงไป๋บอก

“ก็ได้ค่ะ”​หลินชิงเหอตอบ

ริมฝีปากของโจวชิงไป๋แสดงถึงความปิติยินดี​ จนสหายของเขาต้องเอ่ยเตือนในตอนที่เขามานั่งอยู่กับสหายในกรม

ภายในปีนี้เท่านั้น​ มันก็เกิดเหตุการณ์หลายอย่างที่บัณฑิตหนุ่มสาวหลายคนละทิ้งครอบครัวเพื่อเข้ามหาวิทยาลัย

แม้พื้นเพของสะใภ้จะอยู่ในหมู่บ้าน​ แต่เขาก็ยังต้องใส่ใจกับเรื่องนี้​ เพราะเหล่านักศึกษามหาวิทยาลัยก็มีอุบายของตัวเองซ่อนอยู่เหมือนกัน

แต่โจวชิงไป๋เชื่อใจภรรยาของเขามาโดยตลอด

อย่างเช่นว่า​ ตอนนี้เธอไม่ได้ดูถูกเขาเพราะเขาเป็นชายชนบทที่อาจสร้างความเสื่อมเสียให้เธอหากต้องไปหาเธอที่มหาวิทยาลัยเลยสักนิด

กลับกัน​ เธออยากให้เขามาหาอย่างเห็นได้ชัด

เรื่องนี้จะไม่ทำให้โจวชิงไป๋อารมณ์ดีได้อย่างไรล่ะ?

หลินชิงเหอบอกเรื่องราวบางอย่างในเมืองหลวงกับโจวชิงไป๋ แม้เธอจะอาศัยอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย​ แต่เธอก็รู้ว่าในเมืองหลวงเกิดอะไรขึ้น​ เพราะเธออ่านหนังสือพิมพ์อยู่ตลอด

โจวชิงไป๋รับฟัง​ เส้นทางถนนไม่ถือว่าสั้นเลย​ แต่พวกเขารู้สึกว่าถนนไม่ยาวอีกต่อไปหากพวกเขาได้อยู่ด้วยกัน

“คุณครูหลินกับโจวชิงไป๋นี่รักกันดีนะ” หญิงชาวบ้านคนหนึ่งเอ่ย

“คุณครูหลินน่ะเป็นคนที่สุดยอดไปเลย” ผู้หญิงอีกคนหนึ่งเอ่ยบ้าง

“ใครจะปฏิเสธเรื่องนี้ได้ล่ะ? เธอไม่ได้ยินเหรอว่าในนักศึกษาสามคนในชุมชนเราสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ในปีนี้​ แล้วแต่ละคนก็ไม่ได้กลับมาอีกเลยในปีนี้​ ทิ้งคู่ชีวิตกับลูก ๆ​ ไปเลย” คนที่สามให้ความเห็นเช่นเดียวกัน

“ฉันได้ยินมาเหมือนกัน​ คิดว่าแต่ละที่ต่างมีคนหย่าเหมือนกันหมด”

“โอ้​ เวรกรรม”

“…”

บรรดาชาวบ้านไม่มีเรื่องแย่ ๆ​ อะไรต้องเอ่ยเกี่ยวกับหลินชิง​เหอ​ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเหล่าบัณฑิตคนอื่น ๆ​ ที่หันหลังจากไปและลืมการมีอยู่ของอีกฝ่ายโดยสิ้นเชิง

แม้พวกเขาจะมีความเป็นอยู่อย่างยากลำบากในชนบท​ แต่พวกเขาก็ควรมีความรับผิดชอบต่อครอบครัวนับตั้งแต่ที่ได้แต่งงานกันแล้วสิ?

การได้รับคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลั​ยไม่ต่างจากการติดปีก​ เมื่อใดที่ได้บินแล้วก็ไม่คิดจะหวนกลับมาอีก​ พฤติกรรม​เช่นนี้มันคืออะไรกันน่ะ?

ดูคุณครูหลินสิ​ เธอกลับบ้านในช่วงปิดภาคการศึกษา​ฤดูร้อนแล้วยังพาลูกชายกลับมาด้วยในวันหยุดช่วงฤดูหนาว​อีก​ เธอไปแต่ตัวก็จริงแต่ยังมีใจคิดที่จะกลับมาบ้าน

ได้แต่งงานกับภรรยาแบบนี้​ หมายความว่าโจวชิงไป๋ในชาติที่แล้วจะต้องสั่งสมบุญบารมีไว้มากเป็นแน่แท้

โจวชิงไป๋ผู้สั่งสมบุญบารมีไว้มากในชาติที่แล้วกำลังนับเงินอยู่ในห้องของเขาครู่หนึ่ง​ หลินชิงเหอให้เขานับเงินและพับเก็บไว้​ เพราะในตอนอยู่ที่อำเภอเธอแค่เหลือบนับคร่าวๆ​ โดยที่ยังไม่ได้นับให้ละเอียดเท่านั้น

ส่วนหลินชิงเหอในตอนนี้กำลังทำกับข้าว

อาหารวันนี้เป็นหมั่นโถวนึ่ง​ มีหูหมูตุ๋นหนึ่งจาน​ หมูตุ๋นวุ้นเส้น​ และแกงกระดูกหมูหัวไชเท้า​ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

ในครอบครัวมีคนจำนวนมาก​ แต่ปริมาณอาหารในแต่ละจานก็มีเพียงพอให้ทุกคนได้กิน

โจวชิงไป๋นับเงินเสร็จแล้ว​ ครั้งนี้พวกเขาได้เงินมาทั้งหมด​ 2,300 หยวนหรือราว ๆ​ นั้น

ภรรยาของเขาบอกว่าต้นทุนของทั้งหมดเท่ากับ​ 1,000​ ​ห​ยวน​ ดังนั้นเท่ากับว่าได้กำไรมาเกินครึ่งเลยทีเดียว

หากพึ่งพาสิ่งเล็ก ๆ​ น้อย ๆ​ ในดินที่ชนบท​ อย่างมากก็ได้แค่ 10 กว่าหยวนเมื่อถึงสิ้นปี​ ดังนั้นจึงพอจะนึกออกได้เลยว่าเงิน​ 1,000 ​หยวนถือเป็นจำนวนมหาศาลขนาดไหน

โจวชิงไป๋รู้ว่าภรรยาของเขายังมีเงินอีกมาก

หลินชิงเหอเห็นเขาหยิบเงินออกมาให้ก็รับไว้​ ก่อนเก็บเข้ามิติและถามเขาว่า​ “คุณใช้เงินที่ฉันให้ไปคราวที่แล้วเท่าไหร่คะ?”

“ผมไม่ได้ใช้เงินก้อนนั้นที่ไหนเลย” โจวชิงไป๋ตอบขณะล้างมือตามคำสั่งของเธอ

เขาไม่มีที่ใช้เงินจริง ๆ​ เว้นแต่ค่าเล่าเรียนของเด็ก ๆ​ เครื่องเขียน​ นม​ และของอื่น ๆ​ นอกนั้นก็ไม่ได้จ่ายอะไรเลย

“ฉันไม่อยู่บ้านทีนี่ คุณก็ไม่คิดจะซื้ออาหารดี ๆ​ เลยนะคะ” หลินชิงเหอค่อนขอด

โจวชิงไป๋ไม่พูดอะไร

หลินชิงเหอเอนกายมากระซิบ​ “มาที่เมืองหลวงกับฉันสิคะ​ ฉันจะขอยืมโรงอาหารของมหาวิทยาลั​ยทำอหารดี ๆ​ ให้คุณกิน”

“ตกลงครับ” โจวชิงไป๋ตอบด้วยรอยยิ้มในดวงตา

หลินชิงเหอพอใจกับคำตอบและทำงานที่เหลือต่อ​ โจวชิงไป๋ก็อยู่ตรงนั้นคอย​ช่วยเหลือ​ ความจริงแล้วเขาช่วยอะไรได้ไม่มากนัก

เขาแค่ไม่อยากไปไหน​ แค่อยากใช้ชีวิตอยู่กับภรรยาเท่านั้น

………………………………………………

สารจากผู้แปล

ตอนนี้คือตอนหวานๆ​ ของพ่อกับแม่ใช่ไหมคะ​ รู้สึกว่ามดมาจากไหนไม่รู้​ 555

พ่อหาทางไปปักกิ่งให้ได้นะคะ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset