บทที่ 252 เรียนรู้ทักษะงานฝีมือ

บทที่ 252 เรียนรู้ทักษะงานฝีมือ
โดย

บทที่ 252 เรียนรู้ทักษะงานฝีมือ

เมื่อหลินชิงเหอมารับเนื้อไปอีก เหมยเจี่ยก็ออกอาการเขิน “วันนี้พี่พันผ้าพันคอผืนนี้ไปทำงาน ไม่คิดว่าเพื่อนร่วมงานของพี่จะเห็นแล้วอยากได้บ้าง พวกหล่อนถึงกับให้พี่มาบอกว่าถ้าเธอมีโอกาสได้ไปที่นั่นอีกช่วยซื้อมาให้หน่อยจะได้ไหมน่ะ”

“ถ้าฉันได้ไปที่นั่นฉันจะซื้อมาให้นะคะ แต่ฉันซื้อเยอะมากไม่ไหวหรอกค่ะ” หลินชิงเหอบอก

เหมยเจี่ยเข้าใจเรื่องนี้ ว่าหากซื้อมามากเกินไปมันก็จะขาดตลาด ซึ่งเรื่องนี้อันตรายมาก

หล่อนให้เนื้อทั้งหมดที่หลินชิงเหอต้องการ คิดเป็นเนื้อเกือบ 10 ชั่ง หลังจ่ายเงินแล้วหลินชิงเหอก็นำกลับมาที่บ้าน

จากนั้นเธอก็เตรียมทำไก่ตุ๋นในกระเพาะหมู

เธอทำก็เพื่อบำรุงร่างกายให้โจวชิงไป๋

ท่านแม่โจวมาเยี่ยมและเห็นว่าเธอกับโจวชิงไป๋กำลังยุ่งอยู่กับการทำงาน นางก็รู้สึกพอใจในตัวสะใภ้สี่มาก

หลินชิงเหอทำตัวดีมาก เธอดูแลสามีได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง และยังให้การเลี้ยงดูหลานชายทั้งสามอย่างดีเยี่ยม

ทำไมนางรู้สึกว่าหล่อนไม่ได้ทำตัวดีถึงขนาดนี้มา่อนล่ะ? ตอนนี้นางช่างดูน่าเจริญหูเจริญตานักไม่ว่าจะมองในแง่มุมไไหน

เทียบกับเธอแล้ว สะใภ้คนอื่น ๆ ที่อยู่กันอย่างสงบสุขดูด้อยกว่าเธอไปเลย

การอยู่อย่างสงบสุขไม่ใช่เรื่องผิดอะไร แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ความตั้งใจของสะใภ้สี่ เธอวางแผนทุกอย่างไว้แล้วว่าต้องการให้พวกเขาได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย จึงทำการฝึกพวกเขาทั้งหมด

ตอนนี้มีการฟื้นฟูการสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว พวกเขาคงสามารถสอบเข้าได้ทันเวลาพอดี

ดูผลสอบของเจ้ารองกับเจ้าสามสิ ในอนาคตพวกเขาทั้งหมดคงจะถูกคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยหากไม่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น

เหมือนกับที่สะใภ้สี่เคยบอกไว้ว่าหากลูกชายของเธอจะได้เข้ามหาวิทยาลัยในอนาคต พวกเขาจะมีงานทำ แล้วยังต้องกังวลอะไรเกี่ยวกับงานแต่งงานของพวกเขา?

ดูจากสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่ใช่ว่าเธอรักษาสัญญาหรือ?

“เธอทำอะไรอยู่น่ะ?” ท่านแม่โจวเอ่ยด้วยรอยยิ้มอย่างอารมณ์ดีมาก

“ไก่ตุ๋นในกระเพาะหมูค่ะ อาหารจานนี้ช่วยบำรุงกระเพาะ ทั้งครอบครัวเราต้องการการบำรุงกันบ้าง” หลินชิงเหอตอบ

แม้เป้าหมายหลักคือการบำรุงสามีของเธอ แต่คนอื่น ๆ ก็ได้รับการบำรุงร่างกายไปด้วยเหมือนกัน

“มีแค่ตอนที่เธออยู่บ้านนี่แหละถึงได้มีอาหารอร่อย ๆ เยอะแยะกิน” ท่านแม่โจวมองแล้วเอ่ยขึ้น

นับตั้งแต่ที่สะใภ้สี่กลับมา ที่บ้านก็ไม่เคยขาดของอร่อยเลยในหลายวันมานี้ มื้อหนึ่งมีหมูตุ๋น อีกมื้อหนึ่งก็มีลูกชิ้นทอด หรือไม่ก็หมูตุ๋น

การจัดสรรเนื้อสำเร็จแล้วภายใน 3 วัน แต่ในตอนนี้นางเห็นว่าในครัวยังมีเนื้อเหลืออยู่มาก ก็ทราบโดยไม่ต้องถามว่าเธอต้องใช้เส้นสายของเธอไปซื้อมาแน่

ท่านแม่โจวไม่อยากพูดอะไรอีกต่อไปเพราะสะใภ้สี่ไม่ต้องการให้ใครมาเป็นกังวลกับเธอ

“ในเมื่อฉันว่างแล้ว ฉันก็ต้องบำรุงพวกเขาให้ดีน่ะค่ะ ชิงไป๋กับคุณพ่อเหนื่อยล้ามาทั้งปีแล้ว ช่วงหน้าใบไม้ร่วงกับหน้าหนาวนี่แหละค่ะเป็นโอกาสดีที่จะได้บำรุงพวกเขา” หลินชิงเหอบอก จากนั้นก็ถอนหายใจ “เสียดายที่เราไม่มีเป็ดแก่ ๆ สักตัวนี่สิคะ”

“เป็ดแก่เหรอ ที่บ้านตระกูลไฉ่ยังมีอยู่นะ พวกเขาอาจจะเชือดสักตัวสองตัวสำหรับปีใหม่นี้ ให้ฉันไปขอให้ไหม?” ท่านแม่โจวถาม

“บ้านคุณป้าไฉ่เหรอคะ?” หลินชิงเหอถาม

“อืม พวกเขามีอยู่ 4 ตัวน่ะ ตัวโตกันหมดแล้วด้วย” ท่านแม่โจวตอบ

“ก็ได้ค่ะ คุณแม่ไปขอมาเถอะค่ะ” หลินชิงเหอบอก

ถ้ามีเป็ดตัวใหญ่สักตัว เธอก็จะตุ๋นน้ำแกงเป็ดแก่ที่ให้สารอาหารสูงและยังให้ความชุ่มชื้น

ท่านแม่โจวไปขอเป็ดมาให้ โดยไม่คิดที่จะตำหนิสะใภ้สี่แต่อย่างใด

หลินชิงเหอทุ่มเทความสามารถเต็มที่ ระหว่างที่กำลังตุ๋นไก่ในกระเพาะหมูเธอก็ยังคิดว่าจะทำอาหารจานใหญ่อีกจากไปด้วย ช่วยไม่ได้นี่นะในเมื่อเธอมีเวลาอยู่กับบ้านสั้นเหลือเกิน

เธอไม่สามารถปรุงอาหารดี ๆ ทุกวันเพื่อบำรุงโจวชิงไป๋ได้หรอกถูกไหม?

ท่านแม่โจวกลับมาที่บ้านหลังออกไปนานครู่หนึ่ง นางถือเป็ดที่เพิ่งถูกเชือดมาด้วยหนึ่งตัว

“ตอนที่ฉันไปถึง ลูกชายคนโตของทางนั้นกำลังเชือดเป็ดอยู่พอดี ทันทีที่ได้ยินว่าฉันอยากได้สักตัว เขาก็บอกให้ฉันเข้าไปบอกให้แม่ของเขารู้ จากนั้นก็ยื่นตัวที่อยู่ในมือของเขามาให้ฉันนี่แหละ” ท่านแม่โจวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

หลินชิงเหอให้การดูแลโจวต้งกับโจวซีเป็นอย่างดี ตอนนี้พี่น้องทั้งคู่ได้เป็นครอบครัวฝั่งสามีของตระกูลไฉ่แล้ว พวกเขาจึงมีความสัมพันธ์อันดีเยี่ยมต่อกัน

แน่นอนว่าพวกเขาก็ไว้หน้าหลินชิงเหอด้วย

หลินชิงเหอยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นฉันก็ต้องขอบคุณคุณป้าไฉ่นะคะ พรุ่งนี้ฉันจะไปหาและแทะเมล็ดแตงคุยกับท่านค่ะ”

แม้ว่าความจริงแล้วทางคุณป้าไฉ่จะยังอยากแนะนำหลานสาวของนางให้กับลูกชายคนโตของเธอโดยตลอดต่อให้ไม่ได้ผล แต่มันก็ไม่ได้กระทบความสัมพันธ์ระหว่างสองครอบครัวเลย

สภาพอากาศตอนนี้ทำให้พวกเขาไม่กังวลว่าเป็ดจะเน่าเสีย วันนี้ยังมีไก่ตุ๋นกระเพาะหมูกับหมูตุ๋นอีกชิ้นหนึ่งอยู่ พวกเขาจึงไม่อาจกินเป็ดได้

ดังนั้นปล่อยทิ้งไว้เพื่อทำน้ำแกงเป็ดแก่ในวันพรุ่งนี้แล้วกัน ใส่วุ้นเส้นลงไปสักหน่อยก็น่าจะอร่อยแล้ว

ไก่ตุ๋นกระเพาะหมูของวันนี้มีรสโอชาอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ทั้งครอบครัวรับประทานกันอย่างอิ่มเอมใจ ท่านพ่อโจวเองก็เจริญอาหารมากเช่นกัน

มีแค่ตอนที่สะใภ้สี่กลับมาจริง ๆ อาหารในบ้านถึงได้ยอดเยี่ยมขนาดนี้

“ปีหน้าโจวเซี่ยไม่คิดจะเรียนต่อแล้วล่ะ เขาอยากจะตามรอยพ่อไปทำงานเก็บแต้มค่าแรง” ท่านแม่โจวเปิดประเด็น

หลินชิงเหอได้ยินก็ประหลาดใด “โจวเซี่ยอายุเท่าไหร่แล้วคะ? เขาจะได้แต้มค่าแรงเท่าไหร่หากทำงานในทุ่งนา?”

“เขาไม่อยากเรียนหนังสือจริง ๆ นั่นแหละ” ท่านแม่โจวบอก

ต้องบอกว่าหลานชายคนโตกับน้อง ๆ ของนางสามารถเรียนหนังสือได้เหมือนกับแม่ของพวกเขาเป๊ะ ไม่อย่างนั้นแล้วหากพึ่งพาแค่ตระกูลโจวฝ่ายเดียว พวกเขาคงไม่มีพรสวรรค์เช่นนั้น

ไม่ใช่แค่โจวเซี่ยลูกชายของพี่ชายรอง แม้แต่โจวหยางลูกชายของพี่ชายใหญ่ยังเรียนได้ระดับปานกลาง แม้พวกเขาอยากจะเรียนต่อ แต่ก็ไม่มีทางที่จะได้รับคัดเลือก

พวกเขาหัวไม่ดีเท่ากับบรรดาลูกชายของบ้านสี่หรอก

“ถ้าเขาไม่อยากเรียนหนังสือ ก็ให้เขาได้ทำงานฝีมือเถอะค่ะ แค่ทำงานในทุ่งนาเขาจะได้เงินในปีหนึ่งสักเท่าไหร่กันเชียว?” หลินชิงเหอไม่เห็นด้วย

“ติดตรงไม่รู้ว่าเขาจะเรียนรู้งานฝีมืออะไรได้น่ะสิ?” ท่านแม่โจวเชื่อใจสะใภ้สี่ของนาง

โจวเซี่ยเองก็เป็นหลานชายคนหนึ่งของนาง นางย่อมอยากให้หลานชายประสบความสำเร็จอยู่แล้ว

“งานช่างไม้ก็เป็นไปได้นะคะ” หลินชิงเหอบอก

ในยุคต้นปี 1980 อาชีพช่างไม้ถือเป็นอาชีพยอดนิยม พวกเขาถือว่าเป็นช่างฝีมือเลยทีเดียว โดยเฉพาะในตอนนั้นที่กิจการหลายอย่างที่ถูกระงับไปกำลังรอคอยที่จะตั้งต้นใหม่อีกครั้ง อย่างเช่นโรงเรียนและอื่น ๆ ที่ล้วนจะฟื้นตัวอีก แล้วการดำเนินการนี้จะขาดช่างไม้ไปได้อย่างไรล่ะ?

ท่านแม่โจวคงบอกเรื่องนี้กับสะใภ้รองอย่างแน่นอน หล่อนถึงมาหาในวันต่อมา

หลินชิงเหอกำลังปรุงน้ำแกงเป็ดแก่ ในตอนแรกเธอตุ๋นในหม้อ จากนั้นก็ย้ายมาตุ๋นต่อในเตาถ่านด้วยไฟอ่อน และคงจะพร้อมกินในคืนนี้ มันคงจะมีรสชาติหอมอร่อยจนคนกินต้องอยากกลืนลิ้นตัวเองลงไปเลยทีเดียว

“พี่สะใภ้รองมาแล้วเหรอคะ” หลินชิงเหอเอ่ยทักทาย

เมื่อก่อนนี้เธอไม่ชอบหน้าหล่อนนัก แต่หลังเวลาผ่านมาหลายปีเธอก็ลืมเลือนไป และในอนาคตเธอก็ไม่มีเวลามีปฏิสัมพันธ์กับหล่อนมากอยู่แล้ว

“แม่เจ้าใหญ่ พี่ได้ยินมาจากคุณแม่เมื่อวานนี้แล้วล่ะ เธอเสนอว่าเซี่ยเซี่ยเรียนรู้งานฝีมือได้ใช่ไหมจ๊ะ?” สะใภ้รองถาม

“ฉันแค่พูดไปแบบนั้นน่ะค่ะ ถ้าพี่มีความคิดเห็นอย่างอื่นพี่ไม่ต้องรับฟังก็ได้”หลินชิงเหอยิ้ม

“ไม่หรอกจ้ะ พี่คุยเรื่องนี้กับพี่รองทั้งคืนแล้ว เรารู้สึกว่ามันก็ดีเหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่าทางสายนี้จะมีอนาคตไหมน่ะสิจ๊ะ” สะใภ้รองเอ่ย

“ฉันจะพูดอย่างไรดีกับอนาคตของงานนี้นะคะ? เรื่องนี้ต้องขึ้นอยู่กับความหัวไวของเซี่ยเซี่ยแล้วล่ะค่ะ เขาต้องรู้ว่าเมื่อไหร่ควรทำอะไร และก็อย่ายึดติดกับกฎเดิม ๆ เวลาเปลี่ยนไป เขาต้องปรับตัวให้เข้ากับมัน ไม่ว่าเขาจะทำอะไรเขาต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยน่ะค่ะ” หลินชิงเหอตอบ

…………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ป้าไฉ่ยังขายตรงหลานสาวอยู่ไหมคะเนี่ย ป้าจะรู้ไหมว่าตอนอยู่ปักกิ่งเจ้าใหญ่ก็ฮอตเหมือนกัน

ยินดีกับสะใภ้รองด้วยค่ะที่ทำตัวดีขึ้นแล้ว

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset