บทที่ 258 วางแผนล่วงหน้า

บทที่ 258 วางแผนล่วงหน้า
โดย

บทที่ 258 วางแผนล่วงหน้า

โจวเสี่ยวเหมยยกยิ้ม

นี่เป็นเรื่องจริง ตอนนี้มีใครบ้างในพื้นที่นี้ไม่อิจฉาพี่ชายสี่ในการได้แต่งงานกับพี่สะใภ้สี่? ภรรยาที่สมบูรณ์แบบทั้งการดูแลครอบครัวและหน้าที่การงาน

นับว่าเป็นโชควาสนาไปถึงสามชั่วรุ่นเลยทีเดียว

“การขายซาลาเปามันทำเงินได้จริง ๆ เหรอคะ?” โจวเสี่ยวเหมยยังกังขา

“เธอนี่โง่หรือไง? ถ้ามันไม่ทำเงินแล้วพี่จะแนะนำความคิดนี้ให้เธอกับน้องเขยเหรอ? อีกอย่างหนึ่งมีธุรกิจไหนบ้างที่ไม่ทำเงิน?” หลินชิงเหอตอบ

จากนั้นหญิงสาวก็จาระไนให้โจวเสี่ยวเหมยฟัง หากซาลาเปา 1 ลูกมีค่า 5 เฟิน ซาลาเปา 10 ลูกก็จะทำเงินได้ 5 เหมา วันหนึ่งขายอย่างน้อย 50 ลูกก็เป็นไปได้แล้วถูกไหม?

ซาลาเปา 50 ลูกก็มีมากแค่นั้น มันต้องถูกขายหมดในเวลาไม่นานแน่

กำไรของซาลาเปา 50 ลูกอยู่ที่ 2.5 หยวน แล้วเดือนหนึ่งมันจะเป็นเท่าไหร่ล่ะ? ไม่ว่าอย่างไรก็ตามมันก็ไม่แย่ไปกว่าการถูกจ้างงานหรอก

ยิ่งกว่านั้นเมื่อรสชาติถูกปากและคนขายสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ เขาก็ขายได้มากขึ้น

โจวเสี่ยวเหมยอึ้งไป หล่อนไม่ได้คิดคำนวณไว้จริง ๆ

“บอกน้องเขยเกี่ยวกับเรื่องนี้นะ พี่ได้ยินมาว่าในเมืองหลวงมีกระแสปลดพนักงานออกแล้ว คนหลายคนจะตกงานในภายภาคหน้า พี่ไม่รู้ว่าฝั่งน้องเขยเป็นอย่างไร แต่เป็นความคิดที่ไม่เลวเลยในการวางแผนล่วงหน้า พี่รับประกันทางฝั่งพี่ให้กับเธอสองคน ดังนั้นไม่ต้องกังวลไป อย่างมากพวกเธอแค่ย้ายไปที่นั่น พี่ยังใช้ตำแหน่งงานในมหาวิทยาลัยของพี่ปกป้องพวกเธอได้” หลินชิงเหอให้ความมั่นใจ

ในฐานะนักเรียนดีเด่น ทางมหาวิทยาลัยย่อมให้สิทธิประโยชน์มากมายอยู่แล้ว

ไม่ว่าจะอยู่ตรงหน้าประตูมหาวิทยาลัยหรือที่ไหนก็ตามมันก็ถือว่าเป็นเรื่องดี เธอแค่ไปที่นั่นและบอกให้ทราบล่วงหน้าก็พอ

“ค่ะ งั้นฉันจะพูดเรื่องนี้กับต้าหลินนะคะ” โจวเสี่ยวเหมยเอ่ยและพยักหน้า

“ดังนั้นเธอต้องดูแลลูกให้ดี ๆ อย่าคิดมาก ตราบใดที่สามีภรรยาอย่างพวกเธอขยันทำงานหนัก เด็ก ๆ ก็จะไม่มีทางหิวโหยเลยในอนาคต” หลินชิงเหอบอก

“ตราบใดที่เราไม่อดตายก็ไม่เป็นไรค่ะ ฉันยังอยากจะตั้งรกรากและเจริญก้าวหน้าในเมืองหลวงอยู่นะคะ” โจวเสี่ยวเหมยเอ่ยอย่างรวดเร็ว

“พี่สะใภ้สี่ของเธอจะจำไว้นะ” หลินชิงเหอหัวเราะอย่างติดรำคาญเล็กน้อย

เมื่อพี่สะใภ้แวะมาคุยพอแล้ว พวกเขาก็จากไป

ซูต้าหลินคะยั้นคะยอให้พวกเขามากินอาหารกลางวันด้วยกัน แต่หลินชิงเหอก็บอกไปว่าไม่จำเป็น เพราะครอบครัวของเธอกำลังจะไปที่ร้านอาหาร

หลังโบกมือลา ครอบครัวนี้ก็ไปหาช่างภาพ

ช่างภาพคนนี้รู้จักมักคุ้นกับครอบครัวของพวกเขาดี พวกเขาจะมาที่นี่ในทุกปี ต่อให้ในช่วงปีใหม่จะมีหิมะตกหนัก พวกเขาก็ยังมาชดเชยหลังปีใหม่ แล้วพวกเขาจะไม่เป็นที่รู้จักได้อย่างไรล่ะ?

“เวลาผ่านไปเร็วนะครับ ตอนแรกที่มา เด็กสามคนนี้ยังตัวเล็กเท่านี้อยู่เลย” เจ้าของร้านทำมือเทียบความสูงในระดับของเด็กวัยหัดเดินจากนั้นก็พูดต่อ “ตอนนี้เขาสูงกว่าพ่อของเขาแล้ว”

โดยเฉพาะโจวข่ายที่ไม่ต่างจากพ่อของเขามากนัก

ทั้งครอบครัวถ่ายรูปกับภาพหนึ่งก่อน จากนั้นจึงค่อยถ่ายรูปรายบุคคล พวกเขาถ่ายรูปกัน 7-8 รูปก่อนจะเสร็จสิ้น

“จะว่าไป เด็กคนนี้อายุเท่าไหร่กันนะ? เขามีคนรักแล้วหรือยัง? ผมมีหลานสาวคนหนึ่งเพิ่งจะอายุ 18 …”

หลังเจ้าของร้านเอ่ยออกมา เจ้ารองก็หัวเราะ “ 18 ปียังโตเกินไปครับ พี่ใหญ่เพิ่ง 15 ในปีนี้เอง”

“แค่อายุ 15 ก็สูงขนาดนี้แล้วเหรอ?” ดวงตาของช่างภาพเป็นประกาย “ผมมีลูกสาวคนหนึ่งที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับคุณเลย”

“ยังเร็วเกินไปครับ พี่ใหญ่ผมยังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่เลย” เจ้าสามเอ่ยอย่างขบขัน

“นักศึกษามหาวิทยาลัยงั้นเหรอ?” สายตาของช่างภาพเบนไปทางเจ้าใหญ่อย่างหมายตาอยากให้เด็กหนุ่มคนนี้ได้เป็นสมาชิกในครอบครัวของเขา

“ไว้เจอกันคราวหน้านะครับ” เจ้าใหญ่ทนไม่ได้จึงโบกมือและผละจากไปอย่างรวดเร็ว

หลินชิงเหอขำแทบตาย ทุกที่ที่เขาไปก็จะมีแต่คนหมายตาเขา

“รู้สึกว่าเขามองพี่โตขึ้นอยู่แทบจะตลอด และรู้ว่าพี่เป็นคนยังไงนะครับพี่ใหญ่ แกถึงอยากให้พี่แต่งงานกับลูกสาวของแก” เจ้ารองชี้แนะ

“พี่อายุแค่ 15 แต่ถูกปฏิบัติตัวเหมือนคนอายุ 20 ผมเห็นใจพี่ใหญ่นะครับ พี่โตเร็วเกินไปแล้ว” เจ้าสามเอ่ย

“นายไม่ต้องพูดเกี่ยวกับฉันหรอก จากที่ฉันเห็น ถ้านายอายุเท่าฉันนายก็จะเจอแบบนี้เหมือนกัน” เจ้าใหญ่สวนกลับ

จากบรรดาพี่น้องสามคน มีแค่เจ้ารองเท่านั้นที่ดูเหมือนแม่ พี่น้องคนอื่น ๆ ต่างดูเหมือนพ่อกันหมด

ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเลยในการดูเหมือนพ่อของพวกเขา

พวกเขาตอนนี้อาจดูโตเกินวัย แต่ดูจากอายุปัจจุบันของผู้เป็นพ่อแล้ว เขาก็ไม่ได้เปลี่ยนจากหลายปีก่อนเลย

ดังนั้นเจ้าใหญ่จึงไม่สูญเสียความมั่นใจแม้แต่น้อย

เจ้าสามไม่เชื่อว่าเขาจะเติบโตอย่างรวดเร็วในอนาคต

ทั้งครอบครัวมาที่ภัตตาคารเพื่อกินอาหารกลางวัน จากนั้นก็ไปดูหนัง

หลังออกจากโรงภาพยนตร์แล้ว พวกเขาก็ไปที่ภัตตาคารอีกครั้ง หลังจากนั้นก็กลับบ้าน

หลินชิงเหอนั่งซ้อนท้ายจักรยานของโจวชิงไป๋ ส่วนเจ้ารองกับเจ้าสามนั่งซ้อนท้ายจักรยานของพี่ชายคนโตที่ปั่นพากลับบ้าน

“ชั่วพริบตาเดียวพวกเขาก็ตัวโตขนาดนี้แล้ว เมื่อก่อนที่เราเข้าไปในอำเภอ พวกเขายังเป็นเด็กน้อยกันอยู่เลยค่ะ” หลินชิงเหอระลึกถึงอดีตยามมองพี่น้องทั้งสามตรงหน้าที่กำลังกลั่นแกล้งกันขณะอยู่บนจักรยาน

ตอนที่เธอเคยพาเจ้ารองกับเจ้าสามเข้าไปในเมืองเพื่อขายเนื้อหมู สองพี่น้องได้นั่งเฝ้าจักรยานและกินหวานเย็นแท่งขณะรอให้เธอกลับมา

ตอนนี้เด็กน้อยสองคนได้เติบโตสูงใหญ่ขนาดนี้แล้วในชั่วพริบตาเดียว

ต้องยอมรับว่าการเห็นเด็ก ๆ เติบโตขึ้นในแต่ละวัน มันให้ความรู้สึกประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่เลยทีเดียว แม้ว่าการเลี้ยงพวกเขาจะเป็นเรื่องยากขนาดไหนก็ตาม

“คุณคุยอะไรกับเสี่ยวเหมยในห้องเหรอ” โจวชิงไป๋เอ่ย

“ทำไมคุณถามแบบนี้ล่ะคะ?” หลินชิงเหอรู้สึกประหลาดใจ เพราะเขาไม่เคยถามเรื่องอะไรพวกนี้เลย

“แม่ผมขอให้ผมบอกเสี่ยวเหมยว่าอย่าทำแท้ง ให้หล่อนคลอดลูกขณะที่ยังมีลูกได้” โจวชิงไป๋อธิบาย

เขาบอกเรื่องนี้กับซูต้าหลิน แต่ไม่ได้บอกน้องสาวของเขา

“อย่ากังวลไปเลยค่ะ ฉันคิดว่าเสี่ยวเหมยก็มีความคิดในแบบเดียวกัน” หลินชิงเหอพยักหน้าและเอ่ยขึ้น “เธอแค่กังวลเกี่ยวกับหน้าที่การงานของเธอหลังเด็กคนนี้เกิด เลยดึงตัวฉันไปคุยเรื่องนี้ให้รู้เรื่องน่ะค่ะ”

“คุณเอาความคิดอะไรไปบอกหล่อนเหรอ?” โจวชิงไป๋ถาม

“ถ้าน้องเขยไม่สามารถทำงานที่นี่ได้แล้ว ฉันก็วางแผนให้คนทั้งคู่พาเด็ก ๆ ไปอยู่ในเมืองหลวงและขายซาลาเปากันน่ะค่ะ” หลินชิงเหอตอบ

“ขายซาลาเปา? คุณสามารถทำกำไรได้งั้นเหรอ?” โจวชิงไป๋เอ่ยอย่างอดไม่ได้

“คุณดูถูกธุรกิจเล็ก ๆ พวกนี้เหรอคะ? ตอนนี้ซาลาเปาลูกหนึ่งขายได้เท่าไหร่?” หลินชิงเหอถาม

โจวชิงไป๋รู้เรื่องนี้ดี “อย่างน้อยก็ 7 หรือ 8 เฟิน”

“ก็ 7 ถึง 8 เฟินน่ะสิคะ แต่ถ้าเขาตั้งราคาถูกกว่านี้สักเล็กน้อย มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ขายกับลูกค้าอย่างเหมาะสม ใส่ไส้เพิ่มอีกนิด เพิ่มขนาดซาลาเปาอีกหน่อย? ลูกหนึ่งอาจตั้งราคาไม่สูงมาก แค่ลูกละ 5 เฟิน คุณคิดว่าวันหนึ่งเขาสามารถขายได้ถึง 50 ลูกไหมล่ะคะ?” หลินชิงเหอถาม

“ซาลาเปาของต้าหลินอร่อยนะ มันขายได้แน่” โจวชิงไป๋เคยกินซาลาเปาที่ซูต้าหลินทำแล้วก็พยักหน้า

“ดังนั้นก็ไม่มีอะไรต้องกังวลแล้วล่ะค่ะ เราคุยถึงเรื่องที่พวกเขาทำงานที่นี่ต่อไปไม่ได้ดีกว่า ฉันคิดว่าเสี่ยวเหมยกำลังตั้งหน้าตั้งตาจะไปเมืองหลวง ถ้าฉันไม่อยู่ที่นั่นอยู่แล้วก็ลืมไปได้เลย แต่ในเมื่อฉันอยู่ที่นั่น หล่อนก็จะย้ายไปที่นั่นไม่เร็วก็ช้า” หลินชิงเหอยิ้ม

น้องสามีโจวเสี่ยวเหมยคนนี้ช่างมุ่งมั่นที่จะเดินตามรอยพี่สะใภ้สี่เสียเหลือเกิน

“แล้วเราล่ะ?” โจวชิงไป๋เกิดความสงสัยบางอย่าง

เขาคิดเรื่องนี้มานานแต่ก็ยังจับจุดอะไรไม่ได้จนถึงตอนนี้ เขาจะทำอะไรได้หากไปอยู่ในเมืองหลวงแล้ว?

“ง่ายมากค่ะ เมื่อเวลานั้นมาถึง เราก็จะเปิดร้านเครื่องเขียนก่อน เมื่อใกล้จะได้เวลาเราก็ค่อยเดินทางลงใต้เพื่อซื้อสินค้ากัน” หลินชิงเหอตอบหลังวางแผนเอาไว้ล่วงหน้าเสร็จสรรพแล้ว

……………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เจ้าใหญ่ยังเนื้อหอมไม่เปลี่ยนเลยค่ะ ไปที่ไหนก็มีแต่คนอยากได้เป็นเขย

แม่เป็นนักวางแผนที่แท้จริง ทุกอย่างแม่คิดไว้หมดแล้ว ดังนั้นพ่อวางใจได้แล้วนะคะ

ไหหม่า (海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset