บทที่ 259 กระหนุงกระหนิง

บทที่ 259 กระหนุงกระหนิง
โดย

บทที่ 259 กระหนุงกระหนิง

“มันก็คงอีกนานแหละ” โจวชิงไป๋บอก

หลินชิงเหอหัวเราะในลำคอ “ทำตัวดี ๆ นะคะ ฤดูร้อนปีหน้าฉันก็เรียนจบแล้วล่ะ”

“ฤดูร้อนหน้า?” โจวชิงไป๋อึ้งไป “ผมคำนวณดูแล้ว คุณยังเรียนไม่จบหรอกจนกว่าจะถึงฤดูร้อนปี 1981”

เขานับวันเวลาอยู่ตลอดนับครั้งไม่ถ้วน

“ฉันวางแผนว่าจะจบเร็วน่ะค่ะ ตราบใดที่ผลการเรียนของฉันดี ทางคณะก็ไม่คัดค้านอะไร” หลินชิงเหอตอบ

แม้จะมีการฟื้นฟูและอาจารย์หลายคนทยอยกลับเข้าประจำการเรียนการสอนแล้วก็ตาม แต่ทางมหาวิทยาลัยก็ยังขาดอาจารย์อยู่อีกมาก

ถ้าเธอเรียนจบเร็ว ทำไมทางสถานศึกษาถึงจะไม่เห็นด้วยล่ะ?

“ฟังดูยากลำบากเหลือเกินนะ” โจวชิงไป๋เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเห็นใจ

“ยากลำบากอะไรกันคะ?” หลินชิงเหอไม่ใส่ใจ เธอเริ่มเรียนมานานมากแล้ว เธอไม่ได้ทำไปเปล่า ๆ หรอก

ส่วนที่จงใจไม่ให้โจวชิงไป๋ขายเครื่องใช้ไฟฟ้าเร็วเกินไปนั้นเป็นเพราะเธอไม่มีทางเลือก เนื่องจากทีวีกับวิทยุเป็นของที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ครอบครองเป็นการส่วนตัวในต้นยุค 1980

แต่นี่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการซื้อขายในตลาดมืดแต่อย่างใด

เธอวางแผนเอาไว้หมดแล้ว เมื่อโจวชิงไป๋มาถึงเมืองหลวง เธอก็จะให้เขาเปิดร้านเครื่องเขียนบังหน้า แต่ในความจริงก็คือ หากเธอมีเวลาว่าง เขาก็จะเดินทางลงใต้ไปกับเธอ

ในตอนนั้นทางตอนใต้ก็จะเริ่มมีการซื้อขายกันอย่างเสรีแล้ว ซึ่งปีหน้าคงไม่สายเกินไป

พวกเขาจะเก็บสิ่งของไว้จนเต็มมิติ เป็นของหรูหราทั้งหมด ตราบใดที่พวกเขาสามารถขายทีวีหรืออะไรบางอย่างได้ พวกเขาก็สามารถปิดบังค่าใช้จ่ายไว้ได้ระยะหนึ่ง

ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าของหรูหราทั้งหมดนั้นหายากขนาดไหนในตอนนี้ พวกมันเป็นที่นิยมอย่างมาก

หลินชิงเหอวางแผนว่าจะยังไม่บอกเรื่องนี้กับโจวชิงไป๋ เมื่อเวลานั้นมาถึงเขาก็คงจะรู้เอง

ส่วนเรื่องที่เธอจะจบการศึกษาในฤดูร้อนหน้านั้นเธอสามารถบอกโจวชิงไป๋ไว้ล่วงหน้าได้

โจวชิงไป๋รู้สึกยินดีโดยแท้ เขาไม่ได้คิดถึงเรื่องการเรียนจบก่อนกำหนดเลย

“มีเรื่องหนึ่งจะบอกคุณล่ะ ปีนี้คุณพ่อไม่ได้ไปทำงานแล้วนะ” โจวชิงไป๋นึกขึ้นมาได้และบอกภรรยา

“คุณพ่ออายุมากขนาดนั้นแล้วไม่จำเป็นต้องไปทำงานในทุ่งนาหรอกค่ะ ครอบครัวของเราไม่ได้ขาดแคลนแต้มค่าแรงมากขนาดนั้น ดีแล้วล่ะค่ะที่เขาไม่ได้ทำงาน ไม่งั้นสุขภาพของเขาจะยิ่งทรุดลง” หลินชิงเหอบอก

จำเป็นแค่ไหนต้องให้ท่านพ่อโจวที่อายุมากขนาดนั้นแล้วไปทำงานในทุ่งนา?

“คุณแม่บอกว่าในเมื่อเขาไม่ได้ทำงานในทุ่งนาแล้ว พวกเขาก็จะเลี้ยงเป็ดที่บ้านมากอีกหน่อย ท่านจะให้คุณพ่อเป็นคนเลี้ยงเป็ดแล้ว” โจวชิงไป๋บอก

“นั่นก็ได้นะคะ มีคนหนึ่งว่างงานแล้วพวกเขาก็คงกลัวว่าจะอยู่บ้านเบื่อ ๆ กัน” หลินชิงเหอตอบ “ปีนี้ฉันวางแผนจะไปไห่หนานน่ะค่ะ ถึงตอนนั้นฉันจะซื้อวิทยุมาไว้ที่บ้านเราเครื่องหนึ่ง”

“ตกลง” โจวชิงไป๋พยักหน้า

“ทำไมฉันไม่เห็นได้ยินข่าวติดตั้งไฟฟ้าในหมู่บ้านของเราเลยคะ? ฉันได้ยินเพื่อนร่วมหอพักบอกว่าทางหมู่บ้านหล่อนมีไฟฟ้าใช้แล้ว” หลินชิงเหอถามอย่างสงสัย

จากสิ่งที่หวังลี่พูดมา หล่อนบอกว่าบ้านของหล่อนมีไฟฟ้าใช้แล้ว

“ผมจะคอยดูว่าในปีนี้จะมีข่าวคราวไหมนะ” โจวชิงไป๋ตอบ

“ถ้ามีไฟฟ้าใช้แล้ว ฉันจะซื้อทีวีมาไว้ที่บ้านของเรานะคะ” หลินชิงเหอพูดต่อ

โจวชิงไป๋ยิ้ม เขาไม่แย้งการตัดสินใจใด ๆ ของเธอทั้งสิ้น

เขารู้ว่าเธอจะซื้อทีวีเครื่องนั้นมาให้พ่อแม่ของเขาดูเพื่อไม่ให้ผู้สูงอายุต้องรู้สึกเบื่อเหงา

เป็นเวลาดึกมากแล้วในตอนที่พวกเขากลับถึงบ้าน

ท่านแม่โจวเดินออกมาดูว่าครอบครัวนี้กลับบ้านไปนอนพักผ่อนแล้วหรือยัง

ทั้งครอบครัวต้มน้ำและล้างหน้าล้างเท้า ส่วนหลินชิงเหออาบน้ำอีกครั้งก่อนจะเข้านอน

ท่ามกลางอากาศเย็นเช่นนี้ มีเพียงหลินชิงเหอคนเดียวในหมู่บ้านที่อาบน้ำ

หลังจากวันที่สาม อู่นีกับโจวหยางก็มาหาอีกครั้ง

หลินชิงเหอจะจากบ้านไปพร้อมกับเจ้าใหญ่ในวันที่หก เธอจึงมีเวลาสอนพวกเขาเพียง 2 วัน ดังนั้นหลินชิงเหอจึงให้พวกเขามาหาอีกครั้งในตอนบ่ายและทำการสอนอีก 1 ชั่วโมง

ไม่นานนักวันที่หกก็มาถึง

เช้าตรู่วันนั้น โจวชิงไป๋ได้ส่งพวกเขาสองคนเข้าเมืองเพื่อขึ้นรถประจำทาง

รถประจำทางนี้จะเดินทางจากอำเภอเข้าไปในเทศบาลมณฑล จากนั้นพวกเขาต้องต่อรถไฟจากตัวมณฑลไปอีกทีหนึ่ง

“ปีนี้ผมจะหาเวลาว่างไปเยี่ยมคุณนะ” โจวชิงไป๋เอ่ยกับภรรยา

“ค่ะ” หลินชิงเหอตอบด้วยรอยยิ้ม

จากนั้นเธอก็พาลูกชายคนโตเข้าไปในรถ และโบกมือลาสามี

โจวชิงไป๋รอจนรถประจำทางเคลื่อนห่างไกลออกไปก่อนจะไปเยี่ยมสหายในกรม สหายถามเขาว่าทำไมถึงมีเวลามาที่นี่แทนที่จะเดินทางไปกับภรรยา มันเป็นเรื่องยากกว่าเธอจะกลับมาเชียวนะ

โจวชิงไป๋เอ่ยว่าเขาเพิ่งส่งภรรยาและลูกเข้าเมืองหลวง

สหายของเขาได้ยินแล้วก็เอ่ยปลอบ “น้องสะใภ้มีความสามารถแบบนั้น หล่อนคงจะได้อยู่ที่นั่นในฐานะอาจารย์แน่นอน หล่อนแต่งงานกับแกแล้ว หากได้อยู่ในสถานศึกษาก็สามารถทำเรื่องขอที่พักอาศัยได้ ถึงตอนนั้นครอบครัวของแกก็จะได้ย้ายไปที่นั่น”

หากมีงานและมีบ้านแล้ว พวกเขาก็สามารถย้ายทะเบียนบ้านได้

ในยุคนี้การย้ายทะเบียนบ้านไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ถ้าเงื่อนไขสมบูรณ์พร้อม มันก็ไม่ยากนัก

พูดถึงเรื่องนี้แล้ว สหายของเขาที่เป็นพ่อครัวก็รู้สึกอิจฉาโจวชิงไป๋ขึ้นมา

ภรรยาและบุตรชายของชายคนนี้ช่างมีความสามารถนัก เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยกันทั้งคู่! แถมยังเป็นมหาวิทยาลัยปักกิ่งด้วย แล้วพวกเขาจะไม่น่าอิจฉาได้อย่างไร?

“มีคนเยอะแยะเลยที่กลับเข้าเมืองในปีนี้ ถึงตอนนั้นก็จะมีปัญหาในทุกที่ที่คนเหล่านี้ไป ฉันเดาว่าในอนาคตจะมีปัญหาด้านความปลอดภัยแน่” โจวชิงไป๋เอ่ยกับสหาย

แน่นอนว่าภรรยาของเขาเป็นคนพูดเรื่องนี้

แต่โจวชิงไป๋ไม่ได้เอ่ยออกไปตรง ๆ

สหายของเขารู้ในทันทีโดยไม่ต้องถาม เขาเดาว่าภรรยาของสหายจะต้องได้รับข่าวนี้มาจากเมืองหลวงก่อน เขาพยักหน้ารับ “ฉันจะจำไว้นะ”

เห็นว่าสหายเข้าใจแล้ว โจวชิงไป๋ก็ไม่เอ่ยอะไร เขาลุกขึ้นและเดินทางกลับบ้าน

เมื่อถึงบ้านแล้ว เขาก็ไม่มีเรี่ยวแรงมากนัก เขายังไม่ได้เริ่มงานเลย เพราะการไถพรวนประจำฤดูใบไม้ผลิของปีนี้จะยังไม่เริ่มจนกว่าจะถึงสิ้นเดือนมกราคม

ท่านแม่โจววางแผนจะเลี้ยงลูกเจี๊ยบเพิ่มแล้ว

ในปีนี้ชายชราไม่ได้ไปทำงานอีก เมื่อเวลานั้นมาถึง นางก็จะจับเป็ดมาเลี้ยงจำนวนหนึ่ง แกงเป็ดแก่ที่สะใภ้สี่เป็นคนทำช่างอร่อยล้ำนัก

สิ้นปีนี้ครอบครัวของพวกเขาก็จะมีเป็ดไว้กิน

แต่สำหรับครอบครัวใหญ่ขนาดนี้การเลี้ยงเป็ดไม่กี่ตัวก็คงจะไม่พอกิน ดังนั้นต้องเลี้ยงไก่เพิ่มอีกสักหน่อย

ปีที่แล้วไม่มีใครกล้าเลี้ยงเป็ดไก่มากนัก โดยทั่วไปจะเลี้ยงกัน 3 หรือ 4 ตัวเพื่อดูแนวโน้ม

เมื่อเห็นชัดว่าไม่มีปัญหาแต่อย่างใด ท่านแม่โจวจึงวางแผนจะเลี้ยงไก่ 15 ตัวในปีนี้ เมื่อเป็นแบบนี้แล้วก็จะได้ไข่เร็วขึ้น

ท่านแม่โจวไม่ใช่คนเดียวในหมู่บ้านที่มีความคิดนี้

คนอื่น ๆ ก็มีความคิดแบบเดียวกัน ทำไมพวกเขาถึงจะไม่เลี้ยงไก่เพื่อเก็บไข่หรือขายออกไปบ้างเพื่อจุนเจือครอบครัวล่ะ?

“ชิงไป๋ มาซ่อมเล้าไก่ในสวนหลังบ้านหน่อย” ท่านแม่โจวตะโกนเรียก

โจวชิงไป๋เดินออกมาซ่อมเล้าไก่ เมื่อเห็นสภาพของเขาแล้ว ท่านแม่โจวก็เอ่ยขึ้น “เป็นอะไรไปน่ะ? ท่าทางแกดูหมดอาลัยตายอยากชอบกล”

“ไม่มีอะไรครับ” โจวชิงไป๋ตอบ

ได้ยินดังนี้แล้ว ท่านแม่โจวจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเกิดอะไรขึ้น นางยิ้มกริ่ม “แกสองคนนี่จริง ๆ เลย ลูกชายโตขนาดนี้แล้วก็ยังกระหนุงกระหนิงกันไม่หยุด”

ลูกสะใภ้แค่ไปเรียนหนังสือเอง ไม่ใช่ว่าเธอจะไม่กลับมาสักหน่อย ลูกชายคนเล็กของนางช่างอ่อนไหวเสียจริง

พูดถึงตอนนี้ ท่านแม่โจวก็เชื่อใจสะใภ้สี่อย่างแท้จริงแล้ว นางไม่รู้สึกกังวลใด ๆ เลย

โจวชิงไป๋ยังคงเงียบไป

“เมียแกยังเป็นห่วงว่าฉันจะทำให้แกอดอยากอยู่นะ ตอนที่หล่อนออกไป หล่อนยังตุ๋นไก่ฟ้าทิ้งไว้แถมยังมีหมูหนึ่งตะกร้าและซาลาเปาไส้กะหล่ำปลีอยู่อีก” ท่านแม่โจวเอ่ยขึ้น

เช้านี้หลินชิงเหอตื่นแต่เช้ามาตุ๋นไก่ฟ้า เมื่อคืนนี้เธอทำซาลาเปาและเกี๊ยวไว้เป็นจำนวนมาก ทั้งหมดล้วนไว้ให้ครอบครัวของเธอได้กิน

และยังมีหมูสามชั้นหมักอีกเป็นจำนวนมากด้วย

……………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

แผนธุรกิจแม่ช่างล้ำลึก มีมิติเก็บของมันดีอย่างนี้นี่เอง

แม่เรียนจบไม่นานหรอกค่ะ พ่ออย่าเพิ่งท้อแท้สิคะ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset