บทที่ 263 โจวชิงไป๋มาเยี่ยม

บทที่ 263 โจวชิงไป๋มาเยี่ยม
โดย

บทที่ 263 โจวชิงไป๋มาเยี่ยม

ตอนนี้ไม่มีเวลาว่างเหลืออีกแล้ว

วันเวลาในมหาวิทยาลัยช่างยุ่งวุ่นวายนัก และปีนี้เมืองบ้านเกิดของเธอก็ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างใหญ่หลวง

อย่างแรกสุดก็คือบรรดาบัณฑิตหนุ่มสาวต่างพากันกลับเข้าเมือง ซึ่งหลายคนได้กลับไปแล้ว บางคนกลับโดยผ่านวิธีการของตัวเอง ขณะที่คนอื่น ๆ ยังไม่กลับและอยู่ที่นี่ชั่วคราว แต่เห็นชัดว่าพวกเขาคงไม่อยู่นานนัก

ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ พวกเขาจึงสัมผัสได้ว่าแค่ต้องรอเวลาก่อนจะกลับไปเท่านั้น

คนในหมู่บ้านต่างรู้สึกสับสนเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ส่งผลกระทบต่อกำลังผลิตโดยภาครวม

ความเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ที่สุดในหมู่บ้านก็คือพวกเขาสามารถเลี้ยงไก่ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าตัว

ปีนี้ท่านพ่อโจวหยุดทำงานในทุ่งนาแล้ว เขาต้อนเป็ดไปเลี้ยงที่แม่น้ำแทน โดยมีท่านแม่โจวเป็นคนส่งอาหารกลางวันให้เขา เพราะไม่จำเป็นต้องเลี้ยงพวกมันอยู่ที่บ้านตลอดทั้งวัน เขาจึงมีสถานที่ให้พักผ่อนหย่อนใจ

ในตอนเย็น เขาก็ต้อนฝูงเป็ดกลับบ้าน

พวกมันเป็นแค่เป็ดรุ่นที่ยังออกไข่ไม่ได้ แต่เมื่อพวกมันโตขึ้น เขาก็จะต้องคอยตรวจตราไม่ให้พวกมันออกไข่ข้างนอกบ้าน

เดิมทีพวกเขาวางแผนจะเลี้ยงเพียง 4 หรือ 5 ตัว แต่ท่านพ่อโจวรู้สึกว่าน้อยเกินไปไม่คุ้มแรง เขาจึงขอเลี้ยงตรง ๆ ไป 7 ถึง 8 ตัว

การเลี้ยงดูพวกมันใช้ต้นทุนของครอบครัวไปไม่มากนัก แค่ต้อนพวกมันออกจากบ้านและปล่อยให้หากินปลาเล็ก ๆ กับกุ้งในแม่น้ำ หากพวกมันอยากจะเตลิดหนีจากไปก็ปล่อยมันไป

อีกอย่าง โจวชิงไป๋ก็ไม่ได้คัดค้าน ดังนั้นจึงจบลงด้วยการเลี้ยงเป็ดจำนวนมาก

ที่สวนหลังบ้านก็ยังมีไก่อีกจำนวนมากเช่นกัน

พวกเขาเลี้ยงไก่เหมือนกับคนอื่น ๆ ในหมู่บ้าน จึงไม่มีใครตำหนิใคร

ส่วนคนที่มีเจตนาร้ายนำเรื่องนี้ไปรายงานก็ไม่อยู่ในความสนใจของใคร หมู่บ้านโจวเจี่ยไม่ใช่ที่เดียวที่ทำแบบนี้สักหน่อย

นับตั้งแต่แก๊งค์สี่คนล่มสลาย ตอนนี้ก็ไม่เหมือนกับเมื่อก่อน

เมื่อโจวชิงไป๋กลับมาจากทุ่งนา เจ้ารองกับเจ้าสามก็เพิ่งทำอาหารเสร็จและเอ่ยขึ้น “พ่อครับ หมูสามชั้นหมักกับกุนเชียงที่แม่ทำไว้ถูกกินหมดเกลี้ยงแล้ว นับจากวันนี้เราต้องรัดเข็มขัดประทังชีพแล้วนะครับ”

ก่อนที่แม่ของพวกเขาจะจากบ้านไป เธอก็ทำหมูสามชั้นหมักไว้เป็นจำนวนมาก ซึ่งมันเก็บไว้ได้นาน พวกเขาสามารถนำมากินได้อย่างมัธยัสถ์ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมมันถึงถูกใช้ไปเมื่อเร็ว ๆ นี้

“พรุ่งนี้จะมีเนื้อมาอีกนะ” โจวชิงไป๋บอก

เขาสั่งเนื้อไว้กับเหมยเจี่ยแล้ว และจะนำมาที่บ้านในช่วงบ่ายแก่ ๆ ของวันนี้

วันนี้พวกเขาจึงได้ทำอาหารอย่างเต็มที่

มีไข่คน ผัดกะหล่ำปลี และหมั่นโถว ซึ่งอาหารก็มีเท่านี้ แต่นับว่ายังเป็นมื้อที่ดีไม่น้อย

แน่นอนว่ายังห่างไกลนักเมื่อเทียบกับตอนที่แม่ของพวกเขาอยู่บ้าน

ท่านแม่โจวแบ่งอาหารส่วนของท่านพ่อโจวแยกไว้ก่อน จากนั้นนางก็กินส่วนที่เหลือพร้อมกับลูกชายและหลานชายทั้งสองก่อน คงไม่ช้ามากหรอกหลังกินเสร็จแล้วค่อยส่งอาหารให้สามี

“พ่อ เมื่อไหร่พ่อจะไปหาแม่เหรอครับ?” เจ้าสามถามขณะอยู่ที่โต๊ะอาหาร

“ช่วงนี้แกว่างเหรอ?” ท่านแม่โจวหันมามองลูกชาย

“ไม่ว่างครับ” โจวชิงไป๋ส่ายหน้า

เขาอยากไปหาภรรยาเหลือเกิน แต่ช่วงไถพรวนประจำฤดูใบไม้ผลิก็ยุ่งนัก และมันก็ใช้เวลาไปกลับนานหลายวัน ดังนั้นเขาจึงไปไม่ได้แน่นอน

แต่ถ้าฝนตกขึ้นมา เขาก็สามารถเดินทางไปได้

บางครั้งฝนจะตกเป็นเวลา 7 หรือ 8 วัน ซึ่งเหมาะเจาะที่จะเดินทางไปและกลับ

ตอนนี้โจวชิงไป๋รอคอยให้ฝนตกแล้ว จากนั้นความปรารถนาของเขาก็ถูกเติมเต็ม เมื่อถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม อากาศก็เริ่มขมุกขมัว

ทุกคนในหมู่บ้านต่างสัมผัสได้ว่าจะมีฝนตกหนักหลังจากนั้นแน่

ในตอนนี้ต้นกล้าทั้งหลายในทุ่งนากำลังเติบโตแข็งแรง พวกมันสามารถต้านทานฝนหนักขนาดนั้นได้แล้ว โจวชิงไป๋จึงมองท้องฟ้าและมาหาผู้นำหมู่บ้าน

เขาบอกความประสงค์ที่จะขอลาหยุดงานไป

ผู้นำหมู่บ้านเข้าใจเป็นอย่างดี ภรรยาของเขาอยู่ในเมืองหลวง ทำไมเขาถึงไปเยี่ยมในตอนนี้ไม่ได้ล่ะ?

โดยเฉพาะภรรยาของโจวชิงไป๋ที่อาจเป็นที่หมายปองของใครก็ตามด้วยความสวยและมีการศึกษาของเธอ

“ทำไมนายไม่ไปพรุ่งนี้เลยล่ะ? รีบไปรีบกลับ การเก็บเกี่ยวฤดูร้อนมีขึ้นในสิ้นเดือนนี้นะ” หัวหน้าฝ่ายผลิตบอก

“ครับ” ไม่มีเหตุผลที่โจวชิงไป๋จะไม่เห็นด้วย

เขาขี่จักรยานมาหาเหมยเจี่ย ในรุ่งเช้าวันนี้เขาก็กลับมาอีกครั้งเพื่อมาซื้อเนื้อหมู

กลางดึกคืนนั้น โจวชิงไป๋มาซื้อเนื้อสามชั้นไปไม่กี่ชั่ง เนื้อติดมัน 2 ชั่ง และเนื้อซี่โครงบางส่วนให้กับลูกชายและพ่อแม่ของเขา จากนั้นเขาก็ออกจากบ้านแต่เช้าตรู่พร้อมกับจดหมายแนะนำตัว

ทันทีที่เขาก้าวขึ้นรถไฟ ในอำเภอก็มีฝนตกหนัก

เขามองกลุ่มเมฆเหนือบริเวณที่น่าจะเป็นหมู่บ้าน ดูเหมือนอีกไม่นานในหมู่บ้านจะมีฝนตกหนัก

ที่หมู่บ้านมีฝนตกหนักมาก ท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวจึงอาศัยอยู่ในบ้านโดยไม่ออกไปไหน

ส่วนเจ้ารองกับเจ้าสามก็ไม่ได้ไปโรงเรียนเหมือนกัน

“พ่อจะไม่เปียกฝนใช่ไหม?” เจ้ารองพูด

“พ่อออกไปแต่เช้าขนาดนั้นแล้ว เขาคงไม่เปียกหรอก” เจ้าสามพยักหน้าอย่างมั่นใจ

“พ่อซื้อเนื้อหมูกลับมาเยอะขนาดนี้ เราจะกินอะไรตอนกลางวันกันดี?” เจ้ารองถาม

“ผัดหมูสามชั้นกับกะหล่ำปลีแล้วกันครับ” เจ้าสามตอบ

สองพี่น้องไม่จำเป็นต้องรอให้ปู่ย่าของพวกเขาลงมือ พวกเขาก็เดินไปทำอาหารที่ครัว อันดับแรกเจียวมันหมูให้ร้อนก่อน จากนั้นก็ใส่หมูสามชั้นหั่นเต๋าหมักเกลือลงไปทอดในน้ำมันจนมันกรอบ

เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการนี้ก็ใส่กะหล่ำปลีลงไปผัดโดยไม่ต้องใส่น้ำมันเพิ่ม ผลลัพธ์ที่ได้ช่างน่าอร่อยนัก

นี่คือสิ่งที่แม่ของพวกเขาสอนไว้

นอกจากอาหารจานนี้แล้วยังมีน้ำแกงซี่โครงหมูใส่สาหร่าย ต่อให้พ่อจะไม่อยู่บ้านและมีเพียงพวกเขาสองพี่น้องกับปู่ย่าของพวกเขา อาหารที่ทำก็ไม่ได้ธรรมดาเลย

ยิ่งกว่านั้นเนื้อพวกนี้ยังมีอายุเก็บรักษาสั้น จึงต้องรับประทานให้หมดโดยไวอย่างไม่ต้องบอก

ที่บ้านไม่มีอะไรต้องกังวล เด็กชายสองคนฉลาดจนสามารถดูแลปู่ย่าของพวกเขาแทนได้แล้ว

โจวชิงไป๋มาถึงเมืองหลวงหลังการเดินทางไม่กี่วัน

หลินชิงเหอไม่คิดเลยว่าเขาจะมาหา แม้เธอจะคิดถึงเขามาชั่วขณะหนึ่งแล้ว แต่หญิงสาวก็ยังต้องอึ้งเมื่อเธอเดินออกมาหลังยามรักษาการณ์มาบอกและได้เห็นโจวชิงไป๋อยู่ตรงหน้าทั้งคน

จากนั้นเธอก็รีบเดินไปหา เนื่องจากมีคนอื่นอยู่และเดินขวักไขว่ไปมา เธอจึงไม่ได้กอดเขา แถมในยุคที่พิเศษเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องดีนักที่จะแสดงความรักต่อกันอย่างโจ่งแจ้ง

“ทำไมคุณถึงมาได้ล่ะคะ? คุณไม่เห็นส่งข่าวว่าจะมาเลย” หลินชิงเหอเอ่ยพลางจ้องมองผู้ชายของเธอ

“ที่บ้านฝนตกน่ะ ผมเลยขอกับหัวหน้างานลางานมาหา” โจวชิงไป๋เอ่ยขณะมองภรรยาที่ดีใจจนเนื้อเต้น

แม้การเดินทางจะกินเวลาไปมากและไม่ได้สะดวกสบายนัก แต่โจวชิงไป๋ก็รู้สึกว่าทุกอย่างคุ้มค่ากับเวลาในตอนนี้แล้ว

“รอเดี๋ยวนะคะ” หลินชิงเหอยังถือหนังสืออยู่ในมือ เธอจึงบอกเขาก่อนจะนำหนังสือไปเก็บไว้ที่หอพักและขอลาหยุด 1 วันกับอาจารย์ที่ปรึกษา จากนั้นเธอก็รีบออกมาทันที

อันดับแรกเธอพาโจวชิงไป๋ไปยังภัตตาคารแห่งรัฐเพื่อกินอาหารดี ๆ มื้อหนึ่ง จากนั้นก็พาเขาไปพักที่บ้านพักรับรอง

เธอให้เขาอาบน้ำก่อน ชายหนุ่มไม่ได้นำเสื้อผ้าใด ๆ มาสักชุด เขามีแค่เงินจำนวนเล็กน้อย คูปอง และจดหมายแนะนำตัวเท่านั้น

แต่หลินชิงเหอเก็บเสื้อผ้าของเขาไว้ในมิติอยู่ เธอขอให้คนบางคนตัดชุดด้วยผ้าจากเมืองหลวง พอตัดเสร็จเธอก็นำมาเก็บไว้ในมิติหลังซักและตากเสร็จเรียบร้อย

เดิมทีเธอคิดจะให้เขาตอนกลับไปที่บ้านในช่วงวันหยุดฤดูร้อน แต่ไม่คิดเลยว่าเขาจะมาที่นี่

โจวชิงไป๋อาบน้ำเสร็จแล้ว หลินชิงเหอก็รู้สึกคันเนื้อตัวขึ้นมา เธอกระแอมไอแห้งและเอ่ยบอกเขา “คุณใส่เสื้อผ้าเถอะค่ะ ฉันจะไปอาบน้ำด้วยเหมือนกัน”

เมื่อเธออาบน้ำเสร็จ หญิงสาวก็เห็นว่าโจวชิงไป๋ยังไม่ได้แต่งตัวและนั่งรอเธออยู่

……………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

พ่อมาหาแม่แบบเซอร์ไพร์สแล้วค่ะ ฮือออ แพ้ผู้ชายแบบนี้ /กุมใจ/

หลังจากนั้นก็เป็นที่รู้กันนะคะว่าพ่อกับแม่เจอกันแล้วจะทำอะไร ๕๕๕

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset