บทที่ 277 ร้านค้าร้านแรก

บทที่ 277 ร้านค้าร้านแรก
โดย

บทที่ 277 ร้านค้าร้านแรก

หลินชิงเหอคิดว่ามันจะเป็นแค่ร้านค้าธรรมดาร้านหนึ่ง

แต่เมื่อได้มาเห็นจริง ๆ เธอก็พบว่าร้านค้าแห่งนี้เป็นร้านแบบตึกแถวอเนกประสงค์

พูดอีกอย่างก็คือ มันเป็นร้านค้าแบบมีชั้นสอง

ชั้นแรกสามารถใช้ทำธุรกิจได้ ขณะที่ชั้นสองก็ใช้เป็นที่อยู่อาศัย เรื่องนี้ช่างเหนือความคาดหมายของหลินชิงเหอนัก

โจวข่ายสำรวจดูแล้วก็รู้สึกชอบแต่ก็ยังลังเลอยู่บ้าง “ร้านค้าแบบนี้ต้องแพงแน่ ๆ เลยใช่ไหมครับ”

“ราคาเปิดรวมค่าธรรมเนียมในการถ่ายโอนที่ทางฝั่งนั้นคิดมาให้อยู่ที่ 3,000 หยวนน่ะ” คุณลุงหวังเอ่ย

“ 3,000 เหรอคะ?” หลินชิงเหอเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจอยู่บ้าง

คุณลุงหวังคิดว่าเธอคงเห็นว่ามันแพงเกินไปจึงพูดต่อ “เดิมทีมันอยู่ที่ 3,200 หยวน แต่พวกเขาเห็นแก่หน้าผมก็เลยลดให้ 200 หยวน ด้วยทำเลที่ตั้งบวกกับการเป็นทั้งบ้านและร้านค้าในตัวแล้ว มันขายต่ำกว่านี้ไม่ได้หรอกครับ”

โจวข่ายรู้สึกผิดหวังเมื่อได้ยินดังนี้ เขาเอ่ยกับผู้เป็นแม่ “แม่ครับ เราเปลี่ยนร้านเถอะ”

เขาชอบสถานที่นี้มาก แต่มันแพงเกินไป บ้านแบบนี้ราคาตั้ง 3,000 หยวนนี่นะ

“เปลี่ยนอะไรกันล่ะ? ร้านนี้เยี่ยมยอดไปเลยต่างหาก” หลินชิงเหอแย้งอย่างไม่พอใจ

เธอรู้ว่าคุณลุงหวังเข้าใจความหมายของเธอผิดไปเลยรีบเอ่ยขึ้น “คุณลุงหวังคะ เจ้าของที่จะมีเวลาว่างเมื่อไหร่เหรอคะ? ถ้าทั้งสองฝ่ายไม่คัดค้านอะไรแล้วก็หาเวลาว่างมาเจรจาส่งต่อร้านค้ากันเถอะค่ะ!”

3,000 หยวน อ้า! เงิน 3,000 หยวนกับการซื้อตึกแถวอเนกประสงค์ในทำเลแบบนี้เชียวนะ!

หลินชิงเหอรู้สึกว่ามันเป็นการต่อรองราคาที่ยอดเยี่ยมมากทีเดียว

หากเป็นในยุคหลังจากนั้นล่ะก็ ลืมเรื่องที่ซื้อตึกแถวได้ทั้งตึกในทำเลแบบนี้ด้วยเงิน 3,000 หยวนไปได้เลย คงซื้อได้เพียงพื้นที่อยู่อาศัยแค่ 1 ตารางเมตรในอำเภอเท่านั้นแหละ

“คุณตกลงจะซื้อเหรอครับ?” คุณลุงหวังหัวเราะในลำคอเมื่อได้ยินดังนี้

ในบรรดาอสังหาริมทรัพย์ทั้งหลาย เขาเองก็รู้สึกพอใจกับตึกหลังนี้เหมือนกัน ด้วยทำเลที่ตั้งที่ดีใกล้กับตลาดแล้ว หากใครต้องการทำมาค้าขายก็นับว่าสถานที่แห่งนี้เป็นทำเลที่สมบูรณ์แบบ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงพามาดูตึกที่นี่

“ตกลงสิคะ คุณลุงหาร้านดี ๆ แบบนี้ให้ฉันแล้วฉันจะไม่ดีใจได้ยังไงล่ะคะ?” หลินชิงเหอยิ้มกริ่ม

ร้านค้านี้มีขนาดพื้นที่เกือบ 80 ตารางเมตร นับว่าไม่ได้กว้างใหญ่เป็นพิเศษ แต่ก็ไม่ใช่ร้านค้าเล็ก ๆ เช่นกัน สิ่งสำคัญที่สุดก็คือมันมีชั้นสอง ดังนั้นเงิน 3,000 หยวนถือว่าไม่แพงเกินไปเลย

หลังนัดหมายเวลาที่จะถ่ายโอนร้านแห่งนี้ได้ในเช้าวันรุ่งขึ้น หลินชิงเหอก็พาโจวข่ายกลับมหาวิทยาลัย

“แม่ เราจะมีเงินเยอะถึงขนาดนั้นไหมครับ?” โจวข่ายถามตลอดทางที่เดินกลับ

“ลูกไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องเงินหรอก” หลินชิงเหอโบกมือ

โจวข่ายหัวเราะ เห็นเขาเป็นแบบนี้แล้วหลินชิงเหอก็ส่งสายตามองค้อน “ลูกหัวเราะทำไม? เจ้าเด็กตัวเหม็น ถ้ากล้าทำชีวิตให้มีจุดด่างพร้อยและทำลายอนาคตของตัวเองล่ะก็ คอยดูแล้วกันว่าแม่จะจัดการยังไง”

มันเป็นประโยคที่แฝงถึงการยอมรับ

“ทราบแล้วครับ” โจวข่ายบอก

“ขยันเรียนไปซะ เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องของพ่อแม่ ลูกไม่ต้องกังวล ไม่อย่างนั้นแม่จะกังวลแน่ เข้าใจไหม?” หลินชิงเหอเตือน

“รู้แล้วครับ ๆ” เห็นเธอพูดย้ำอีกรอบ โจวข่ายก็เอ่ยรัวเร็ว

หลินชิงเหอโบกมือไล่เขา

วันต่อมาเธอก็เดินทางมาที่สำนักงานจัดการทรัพย์สินพร้อมกับทะเบียนบ้านเพื่อยื่นเอกสารพร้อมกับเจ้าของบ้าน

หญิงสาวต้องจ่ายเงินเป็นจำนวน 3,000 หยวนไม่ขาดไม่เกิน เดิมทีคุณลุงหวังอยากถามว่าเธอต้องการยืมเงินหรืออะไรจากเขาหรือไม่ แต่ก็ต้องประหลาดใจที่เห็นว่าเธอมีเงินพอและสามารถหยิบออกมาได้ทันที

หลังได้รับใบรับรองอสังหาริมทรัพย์แล้ว ก็ไม่ต้องบอกเลยว่าหลินชิงเหอจะอารมณ์ดีขนาดไหน

เธอไม่อาจรู้สึกตื่นเต้นได้ยิ่งกว่านี้แล้ว

เธอถือกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์ในเมืองหลวง ในสถานที่ที่จะมีแต่คนรุ่นหลังโผทะยาน!

คุณลุงหวังมองเธอที่กำลังอยู่ในอาการปิติแล้วก็ยิ้มออกมา “คุณวางแผนจะทำธุรกิจอะไรเหรอครับ?”

“เรื่องนี้ต้องคุยกับพ่อของเจ้าข่ายก่อนน่ะค่ะ คุณลุงมีอะไรดี ๆ แนะนำไหมคะ?” หลินชิงเหอถาม

“เปิดร้านขายเกี๊ยวก็น่าจะดีนะ” คุณลุงหวังให้ความเห็น

หลินชิงเหออึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะออกมา “คุณลุงไปได้ยินมาจากเจ้าใหญ่หรือเปล่าคะที่ว่าพ่อของเขาทำเป็นแค่เกี๊ยว”

“ทำเกี๊ยวขายก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลว” คุณลุงหวังเอ่ยจริงจัง

หลินชิงเหอครุ่นคิดอย่างจริงจัง การมีธุรกิจเสริมไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ถ้าเป็นเกี๊ยวล่ะก็คงจะไม่มีปัญหา

ไม่ว่าจะเป็นเธอหรือโจวชิงไป๋ก็รู้จักวิธีทำเกี๊ยวทั้งคู่ เพราะมันใช้ทักษะฝีมือไม่สูงนัก

ตราบใดที่คิดจะทำธุรกิจในช่วงนี้ พวกเขาก็หวังแค่ว่ามันทำเงินหรือไม่เท่านั้นเอง ไม่สำคัญว่าพวกเขาจะทำอะไรขายหรอก

หลินชิงเหอคิดแล้วจึงเอ่ยออกมา “เมื่อไหร่ที่ฉันได้กลับบ้านในช่วงวันหยุดฤดูหนาวนี้ ฉันจะไปบอกเขานะคะ”

เป็นเพราะร้านค้าแห่งนี้นี่เอง หลินชิงเหอจึงรู้สึกอยากกลับบ้านขึ้นมาจริง ๆ

อากาศในวันต่อ ๆ มาหนาวเย็นลงเรื่อย ๆ กระติกน้ำร้อนที่โจวชิงไป๋ซื้อมาช่างใช้งานสะดวกจริง ๆ มันให้ความอบอุ่นขณะอยู่ในอ้อมแขนของเธอ

“อากาศหนาวมากจนจะแข็งเลยนะ” หวังลี่เอ่ย

หลินชิงเหอกลับรู้สึกไม่หนาวนักเพราะมีกระติกน้ำร้อนอยู่ในมือ จากนั้นเธอก็ถามขึ้น “ปีนี้เธอจะกลับบ้านหรือเปล่า?”

“ปีนี้ไม่กลับล่ะจ้ะ มีวันหยุดแค่ไม่กี่วันเอง เก็บเงินค่าเดินทางไว้ดีกว่า” หวังลี่ตอบ

วันหยุดฤดูหนาวในช่วงนี้มี 20 วันเท่านั้น แค่เดินทางไปกลับก็ใช้เวลาเป็นวัน หวังลี่จึงไม่คิดที่จะกลับบ้านในปีที่แล้ว และในปีนี้ก็เป็นเช่นเดียวกัน

หลินชิงเหอไม่เอ่ยอะไร เธอตั้งใจจะกลับไปอยู่แล้ว

เมื่อถึงวันที่ยี่สิบธันวาคมตามปฏิทินจันทรคติ เธอก็ได้หยุดพักอย่างเป็นทางการ โจวข่ายไม่คิดที่จะกลับบ้าน หลินชิงเหอก็ไม่ว่าอะไร

เธอให้เงินเขาไว้ 50 หยวน

เมื่อโจวข่ายเห็นดังนี้เขาก็ยิ้มกริ่ม “แม่ครับ งั้นผมไม่เกรงใจแม่แล้วนะ” แม่ของเขาช่างสมกับเป็นผู้เก็งกำไรโดยแท้ แต่ละครั้งเธอก็ใจกว้างให้เงินเขาเป็นจำนวนมาก

“ไปร่วมกินข้าวในวันสิ้นปีกับครอบครัวเพื่อนลูกด้วยล่ะ” หลินชิงเหอบอกเขา

คน ๆ หนึ่งไม่อาจหายไปในงานเลี้ยงวันสิ้นปีของครอบครัว ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถเชิญคนอื่น ๆ มาร่วมงานเลี้ยงในครอบครัวตัวเองได้ ซึ่งแน่นอนว่าสายสัมพันธ์โดยทั่วไปของของพวกเขาจะต้องดีอยู่แล้ว

หลินชิงเหอรู้ว่าลูกชายคนโตมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับเพื่อนร่วมชั้น เธอจึงไม่สนใจ

“รู้แล้วครับ” โจวข่ายตอบ

เขาจะนำเป็ดย่างกับไก่ไปรอกินพร้อมกับพวกเขา

หลินชิงเหอไม่สนใจเขาอีกและนั่งรถตรงไปที่ไห่หนาน

สิ้นปี 1979 นี้ ในไห่หนานก็จะปรากฏภาพบรรยากาศที่เจริญรุ่งเรืองเป็นพิเศษ

เธอจำได้ว่าตอนที่เธอมาในฤดูร้อนก็เห็นคนบางคนสวมกระโปรงกันแล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าเธอจะได้เห็นผู้คนสวมชุดเดรสสีสันสดใสในฤดูหนาว

ต้องบอกว่าฤดูใบไม้ผลิที่ไร้กฎข้อบังคับอยู่ที่นี่แล้ว

หลินชิงเหอยึดมั่นในกฎเดิม ครั้งนี้เธอซื้อเสื้อผ้าชุดหนึ่ง พัดลมไฟฟ้า นาฬิกา วิทยุ และอื่น ๆ อีกครั้ง

เธอได้เงินมาก้อนหนึ่งหลังแลกเปลี่ยนสินค้ากันกับคนอื่น ๆ

เธอเสียเวลาไปไม่มากนักเพราะคุ้นเคยกับสถานที่แล้ว หญิงสาวมาถึงที่นี่ในตอนเช้าและนั่งรถประจำทางกลับในตอนเย็น

มันเป็นเวลาเย็นย่ำมากแล้วเมื่อเดินทางมาถึงตัวเทศบาลมณฑล แต่หลินชิงเหอก็ไม่กลัว เพราะช่วงนี้ยังไม่ถึงยุคที่มีปัญหาด้านความปลอดภัย หากรอจนถึงปีหน้าแล้วเธอคงไม่กล้าทำอะไรแบบนี้

นับจากปีหน้าเป็นต้นไป เธอวางแผนจะล่องใต้พร้อมกับชิงไป๋เพื่อไปซื้อสินค้า!

เธอเก็บของที่มีประโยชน์เอาไว้บางส่วนและขายส่วนที่เหลือ

เธอเจอกับใครบางคนในเทศบาลมณฑลและขายเสื้อผ้าชุดใหม่ที่ซื้อกลับมา ซึ่งพวกมันขายคล่องมาก

ส่วนทางด้านเสิ่นอวี้ก็ลืมไปเสียเถอะ ต้องบอกว่าปีนี้เธอไม่ได้ไปหา พวกเธอไม่ใช่คนแปลกหน้ากัน จึงทำแบบนี้ในทุกปีไม่ได้

หญิงสาวพักค้างแรมในเทศบาลมณฑลหนึ่งคืน เมื่อถึงเช้าตรู่วันต่อมา เธอก็นั่งรถกลับไปที่ตัวอำเภอ

……………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

แม่ได้ร้านที่ปักกิ่งแล้ว เตรียมเปิดร้านเกี๊ยวแล้วค่า ขอเป็นลูกค้าคนแรกที่ไปชิมได้ไหมคะ

ไหหม่า (海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset