บทที่ 278 ย้ายบ้านหลังปีใหม่

บทที่ 278 ย้ายบ้านหลังปีใหม่
โดย

บทที่ 278 ย้ายบ้านหลังปีใหม่

เมื่อเดินทางถึงตัวอำเภอ หญิงสาวก็มุ่งหน้าไปที่บ้านของโจวเสี่ยวเหมย จากนั้นก็พบว่าโจวเสี่ยวเหมยคลอดบุตรแล้ว

หล่อนได้ลูกสาวที่ตอนนี้มีอายุพ้น 2 เดือน

หลินชิงเหอเห็นแล้วก็รู้สึกชื่นชม “เธอนี่มีลูกง่ายจริงนะ ลูกชาย 2 คน ลูกสาว 2 คนเลยทีเดียว”

ช่างลงตัวอย่างสมบูรณ์แบบจริง ๆ

โจวเสี่ยวเหมยได้รับการดูแลอย่างดีจากซูต้าหลินจนทั้งร่างอวบกลม หล่อนจีบปากจีบคออย่างร่าเริง “ลูกสาวคนนี้ส่งเสียงดังมากเลยค่ะ น่ารำคาญยิ่งกว่า 3 คนแรกอีก”

คำพูดของโจวเสี่ยวเหมยเต็มไปด้วยการดูถูก แต่ในดวงตาของหล่อนกลับปรากฏแววปิติ

อาการนี้มาจากคนที่เคยบอกว่าหล่อนต้องการลูกสาวแค่คนเดียว

แต่ตอนนี้หล่อนกลับมีลูกทั้งหมด 4 คน

ซูต้าหลินยังไม่ได้หยุดงาน เมื่อเขากลับมาจากที่ทำงานในตอนกลางวัน เขาก็เห็นหลินชิงเหอจนต้องร้องอย่างดีใจ “ทำไม…ทำไมคุณ…ทำกับข้าวล่ะครับ?”

ตอนที่เขากลับมานั้นเป็นเวลา 11.50 แล้ว แต่โจวเสี่ยวเหมยทำอาหารไม่เป็น หล่อนจึงได้แต่รอให้ซูต้าหลินกลับมา

ซึ่งซูต้าหลินก็ไม่บ่นอะไรทั้งสิ้น

หลังผ่านมานานหลายปี ต้องบอกตามตรงว่าในชีวิตนี้โจวเสี่ยวเหมยแต่งงานกับผู้ชายถูกคนแล้ว

ในเมื่อเธอมาที่นี่แล้ว หลินชิงเหอก็คงต้องลงมือทำอาหารเหมือนกัน

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอกจ้ะ” หลินชิงเหอยิ้มและเอ่ยขึ้น “พี่ต้องดีใจกับนายด้วยนะน้องเขย ที่นายได้เป็นพ่อคนอีกครั้งแล้ว”

ซูต้าหลินเผยรอยยิ้มกว้างระบายบนใบหน้า

พ่อแม่ของเขามีเขาแค่คนเดียว ทำให้เขารู้สึกโดดเดี่ยวในวัยเด็ก แต่เมื่อถึงคราวของเขา เขากลับมีลูกชาย 2 คนและลูกสาว 2 คน ชีวิตของเขาไม่มีอะไรน่ายินดีไปมากกว่านี้แล้ว

หลังกินอาหารกลางวันเสร็จ หลินชิงเหอก็หยิบเป็ดย่างที่พันห่อด้วยกระดาษไขออกมาจากกระเป๋า

“พี่สะใภ้สี่ทำไมไม่เอาออกมากินตั้งแต่มื้อกลางวันเมื่อกี้ล่ะคะ” โจวเสี่ยวเหมยถาม

“ถ้าพี่อยากกิน พี่ก็คงเอาออกมากินเมื่อกี้แล้วล่ะ ที่อยู่ในห่อในกระเป๋านี่คือพี่จะเอามาฝากคนอื่นต่างหาก” หลินชิงเหอตอบ เธอเองก็มอบขนมและลูกกวาดให้กับเด็ก ๆ ด้วยเช่นกัน

จากนั้นเธอก็หยิบสัมภาระขึ้นซ้อนท้ายจักรยาน และให้ซูต้าหลินผูกยึดไว้ให้มั่นคงก่อนจะปั่นกลับบ้าน

ส่วนโจวเสี่ยวเหมยไม่ได้กลับไปที่บ้านฝั่งแม่ในปีนี้ เพราะทารกยังเล็กนัก ส่งซูต้าหลินไปเยี่ยมครอบครัวฝั่งนั้นแค่คนเดียวก็พอแล้ว

เมื่อหลินชิงเหอกลับถึงบ้าน โจวชิงไป๋กลับไม่อยู่ เขากับน้องชายสามตระกูลหลินออกไปล่าไก่ฟ้ากับกระต่ายด้วยกัน

ที่บ้านจึงมีแค่ท่านแม่โจวกับเจ้าสามเท่านั้น ส่วนเจ้ารองออกไปล่าสัตว์กับพ่อด้วย

“ชิงไปออกไปตั้งแต่เมื่อวานซืนแล้วล่ะ แต่เมื่อวานนี้เขาคิดว่าเธอกำลังจะกลับมาก็เลยไม่ได้ไปและรออยู่ที่บ้านแทน แต่พอเห็นว่าเธอไม่ได้กลับมาวันนี้เขาก็เลยออกไป ปรากฏเธอดันกลับมาพอดีอีก” ท่านแม่โจวเอ่ยอย่างขบขัน

หลินชิงเหอก็เห็นว่าเป็นเรื่องตลกเช่นกัน

“แม่หิวหรือยังครับ? ผมทำเกี๊ยวให้กินสักชามดีไหมครับ?” เจ้าสามถาม

“ไม่เป็นไรหรอก แม่เพิ่งกลับมาจากบ้านของอาเล็กน่ะ” หลินชิงเหอตอบ

จากนั้นเธอก็เริ่มสั่งงาน “เอาเป็ดย่างพวกนี้ไปส่งให้คุณลุงสามคนหน่อยสิ”

เธอยังมีของบางส่วนให้พี่สาวใหญ่กับพี่สาวรองด้วย แต่พวกเขาอยู่ค่อนข้างห่างไกล เมื่อใดที่เจ้ารองกลับมา เธอจะให้เขาเป็นคนไปส่งพวกมัน

ส่วนเพื่อนบ้านคนอื่น ๆ ไม่จำเป็นต้องให้ของขวัญ จึงไม่ต้องกังวลว่าจะแบ่งของให้อย่างเท่าเทียมกันหรือไม่ ไม่ว่าจะมีของมากขนาดไหนก็แบ่งให้ไม่พอหรอก และไม่มีใครว่าอะไรได้หากเป็นของที่แบ่งกันเองภายในครอบครัว

“ทำไมเธอถึงซื้อของกลับมาบ้านทุกปีเลยฮึ” ท่านแม่โจวเอ่ยด้วยความเสียดายเงิน

“แค่ปีละครั้งเอง ถือว่าเป็นของรับขวัญที่ได้มาเจอหน้ากันอีกแล้วกันค่ะ” หลินชิงเหอบอก

ท่านแม่โจวไม่เอ่ยอะไรมากกว่านั้นและเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เมื่อวานชิงไป๋เพิ่งเชือดเป็ดไป 2 ตัว แช่แข็งอยู่ในสวนหลังบ้านน่ะ รอให้เธอกลับมาจัดการกับพวกมันอยู่”

“ค่ะ คืนนี้ฉันจะเอาไปตุ๋นหนึ่งตัว ส่วนที่เหลือจะสับ หมัก แล้วก็ทอดนะคะ” หลินชิงเหอพยักหน้า

เมื่อคืนเธอได้นอนหลับอย่างเต็มอิ่มจึงไม่รู้สึกเหนื่อย หญิงสาวเดินไปดูเป็ดตัวหนึ่งก่อนจะเริ่มตุ๋นด้วยไฟอ่อน

พี่สาวใหญ่กับคนอื่น ๆ มาหาพอดีในตอนที่กำลังตุ๋นเป็ดอยู่

หลังพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง พวกเขาก็กลับไป เมื่อพวกเขากลับไปแล้วก็ให้ลูก ๆ นำถั่วลิสงกะเทาะเปลือกกับเมล็ดงามาให้

หลินชิงเหอรับไว้อย่างเต็มใจ

“คุณแม่คะ ปีนี้หมู่บ้านเก็บเกี่ยวผลผลิตเป็นอย่างไรบ้างคะ?” หลินชิงเหอพูดขณะกินข้าวพองดอกชบา (ฝูหรงเกา) (1)

ที่บ้านมีเกี๊ยว ซาลาเปา และหมั่นโถวอยู่ แค่นำไปนึ่งในหม้อหรือต้มในหม้อก็ได้กินแล้ว นับว่าสะดวกสบายมาก ส่วนคืนนี้พวกเขาก็จะได้กินน้ำแกงเป็ดแก่ตุ๋นกับหมั่นโถว เพิ่มไข่คนเข้าไปก็ไม่มีปัญหา ตอนนี้ไม่ฉุกละหุกมากแล้ว เธอจึงมีเวลาไปคุยกับท่านแม่โจวได้

ท่านแม่โจวเองก็ถือข้าวพองดอกชบาชิ้นหนึ่งในมือขณะเอ่ยตอบ “ปีนี้ผลผลิตค่อนข้างดีนะ แล้วในปีนี้เจ้าใหญ่จะกลับมาที่นี่หรือเปล่าล่ะ?”

“เขาบอกว่าช่วงวันหยุดสั้นเกินไปก็เลยจะขออยู่ที่นั่น ปล่อยให้เขาอยู่เถอะค่ะ” หลินชิงเหอบอก “คุณแม่คะ ปีนี้ช่างมันเถอะค่ะ หลังปีใหม่ฉันวางแผนจะพาชิงไป๋ไปที่เมืองหลวง คุณแม่กับคุณพ่อไม่ต้องทำงานในทุ่งนาแล้ว ถ้าอยากได้อาหารก็ซื้อตรงกับฝ่ายผลิตเอา”

ท่านแม่โจวอึ้งไปครู่หนึ่ง “พาชิงไป๋ไปเมืองหลวงหลังปีใหม่นี้เหรอ?”

นางรู้ว่าลูกชายคนเล็กจะไปอยู่กับภรรยา แต่ไม่นึกว่าจะเร็วขนาดนี้

“ปีนี้อาจารย์คนหนึ่งในคณะตั้งครรภ์อยู่น่ะค่ะ ฉันก็เลยได้จบการศึกษาเร็ว ตอนนี้ฉันเป็นอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยแล้ว ในปีนี้ฉันสามารถพาชิงไป๋ไปอยู่ด้วยและย้ายทะเบียนบ้านไปเป็นทะเบียนบ้านของทางฝั่งนั้นกับตั้งรกรากอยู่ที่นั่นได้นะคะ” หลินชิงเหออธิบาย

“แล้วที่อยู่อาศัย…”

“ทางมหาวิทยาลัยจัดสถานที่อยู่ไว้ให้ฉันแล้วค่ะ เจ้าใหญ่กับฉันไปทำความสะอาดมาแล้ว มีเครื่องเรือนพร้อมหมดทุกอย่าง ต่อให้ไม่กว้างขวางมากนัก แต่ครอบครัวหนึ่งก็อยู่ได้โดยไม่มีปัญหาเลยค่ะ” หลินชิงเหอเอ่ยให้ความวางใจ

เดิมทีเธอจะทิ้งเจ้ารองกับเจ้าสามไว้ที่นี่ แต่อีกความคิดหนึ่งก็คือ ในเมื่อโจวชิงไป๋มาอยู่ด้วยแล้ว เธอก็วางแผนจะย้ายทั้งครอบครัวมาอยู่ที่นี่ในปีนี้เสียเลย

เมื่อใดที่ย้ายทะเบียนบ้านไปแล้ว เจ้ารองกับเจ้าสามก็สามารถเรียนในเมืองหลวงได้

ท่านแม่โจวรู้ว่าเธอหมายถึงอะไร “แต่ทันทีที่ทั้งพ่อและลูกย้ายไปแล้ว พวกเขาก็ต้องพึ่งเธอในการหาเลี้ยงครอบครัว…”

เห็นท่าทางของสะใภ้แล้ว เสียงของนางก็สั่นเครือ

“ฉันเช่าร้านค้าไว้ที่นั่นน่ะค่ะ วางแผนจะให้ชิงไป๋ขายเกี๊ยว แต่อย่าเพิ่งให้คนอื่นรู้เรื่องนี้นะคะ บอกแค่ว่าฉันทำงานที่มหาวิทยาลัยและยุ่งตลอดวันธรรมดา ในเมื่อเด็ก ๆ ย้ายไปอยู่ที่นั่นแล้วและต้องกิน ชิงไป๋ก็จะเป็นคนทำอาหารให้พวกเขากินน่ะค่ะ” หลินชิงเหอตอบ

เธอเอ่ยอย่างระมัดระวังอย่างมากและบอกแค่ว่าเช่าร้าน หากบอกไปว่าซื้อก็คงต้องอธิบายอีกยาว ดังนั้นช่างเถอะ บอกแค่ว่าเช่าก็พอ

“…ก็ได้” ท่านแม่โจวจะพูดอะไรได้อีก? นางไม่อาจแย้งอะไรได้ สะใภ้สี่มีความสามารถมากเหลือเกิน และทุกอย่างก็ถูกจัดการอย่างเรียบร้อย

แต่การเช่าร้านค้ามัน…

“มันจะขาดทุนไหม?” ท่านแม่โจวอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นมา

นางได้ยินว่ามีคนในเมืองเปิดร้านขายของ ทั่วทั้งอำเภอก็มีแต่ครอบครัวนี้ครอบครัวเดียว ซึ่งทุกคนรู้เรื่องนี้กันหมด

ดังนั้นพวกเขาจึงรู้ว่าตอนนี้สามารถเปิดร้านค้าได้แล้ว แต่นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญ ประเด็นหลักก็คือมันจะขาดทุนหรือไม่เท่านั้นเอง

“จะขาดทุนได้อย่างไรล่ะคะ? แค่ขายเกี๊ยวเท่านั้น คนที่ไม่อยากทำเองก็มาสั่งกินสักชามได้ แค่ทำให้พอต่อจำนวนที่ต้องการก็ไม่เลวร้ายนักหรอกค่ะ” หลินชิงเหอบอก

“ถึงมันจะไม่ใช่งานที่มีเกียรตินัก แต่ก็ช่างเรื่องนี้เถอะ ฉันไม่อาจปล่อยให้อาสี่ไปอยู่ที่นั่นและกินข้าวเปล่า ๆ หรอก” ท่านแม่โจวพยักหน้า

หลินชิงเหอไม่ได้แก้ไขคำพูดนางเช่นกัน ในตอนนี้การเริ่มธุรกิจด้วยตัวเองถือเป็นเรื่องไร้เกียรติมากกว่าการถูกว่าจ้างให้ทำงานในบริษัทเสียอีก

แต่ตราบใดที่โจวชิงไป๋ไม่ถือในเรื่องนี้ มันก็สบายใจได้

“พวกเธอจะย้ายไปหลังปีใหม่นี้สินะ” ท่านแม่โจวถอนหายใจเบา ๆ

“ถ้าทางเราลงตัวแล้ว ฉันจะมารับคุณแม่กับคุณพ่อไปอยู่ด้วยนะคะ” หลินชิงเหอเอ่ยให้ความมั่นใจ

……………………………………………………………………………………

(1)- ข้าวพองตัดเคลือบไอซิ่งสีชมพู (ภาพจาก https://images.app.goo.gl/BCwzKyWYP9cch6eX9)

สารจากผู้แปล

แม่วางแผนจะพาพ่อกับเด็ก ๆ ที่เหลือไปแล้วค่ะ อีกไม่นานพ่อก็จะหายคิดถึงแม่แล้ว เย้

ไหหม่า (海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset